ดูแบบคำตอบเดียว
  #101  
เก่า 10-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,416
Default


สัญญาณเตือน "ไทย" แผนแก้ท่วมระยะยาว "จำเป็น" ต้องทำ



นับจากวันนี้ รัฐบาลจะต้องมองถึง "แผนระระยาว" ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

น้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ขณะนี้ ถือเป็น "สัญญาณ" เบื้องต้นของอนาคตที่น่ากลัวสำหรับเมืองหลวงของไทย

เพราะตั้งอยู่บนที่ลุ่มต่ำและจมลงช้าๆอย่างต่อเนื่อง

กทม.เป็นเมืองที่ตั้งอยู่เหนืออ่าวไทยเพียง 30 กิโลเมตร

มีผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ อย่างธนาคารโลก คาดการณ์กันว่า อีกประมาณ 39 ปี หรือปี พ.ศ.2593 ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้น 19-29 เซนติเมตร

กทม.เป็น 1 ใน 10 เมืองที่เสี่ยงต่อการจมน้ำ

เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำที่สูงขึ้นจะทำให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักผ่ากลาง กทม.สูงขึ้นตามไปด้วย

ธนาคารโลกระบุถึงขนาดว่า กทม.จะเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า

เหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ตรงกันคือ การขยายตัวของความเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ กทม. เพราะเหลือทางให้น้ำไหลน้อยมาก

มีการเสนอทางออกว่า ทางการไทยจะต้องแก้ปัญหาการใช้ที่ดินใน กทม. ปัญหาการวางผังเมือง และอาจต้องพิจารณาเรื่องย้ายโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม

รุนแรงที่สุดอาจถึงขึ้นต้องพิจารณาย้ายเมืองหลวง

เหล่านี้คือการคาดการณ์ เมื่อบวกเข้ากับ "สัญญาณ" ที่คนกรุงประสบอยู่เวลานี้

ทำให้รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ต้องเตรียมวางแผนระยะยาวในการแก้ไขปัญหา

เพราะครั้งนี้จะเป็นโอกาสดี ที่จะต้องร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

ทั้งการพัฒนาพื้นที่ตลอดสองฝั่งเจ้าพระยา ด้วยการทำคันกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยระบบที่ทันสมัยคล้ายประตูเปิด-ปิดประตูน้ำ พร้อมๆกับถือโอกาสในการจัดระเบียบริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด

เช่นเดียวกับคลองสำคัญต่างๆใน กทม.ทุกคลอง จะต้องทำการขุดลอก บูรณาการใหม่หมด ทำให้ชุมชนริมคลองหมดไป ด้วยการจัดระเบียบการพักอาศัยให้กับประชาชนใหม่ทั้งหมด

พร้อมบูรณะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ นี่เป็นโอกาส

รัฐบาลควรนำแนวคิด "โครงการแก้มลิง" ซึ่งเป็นโครงการพระราชดำริมาดำเนินการผันน้ำเหนือลงสู่ทะเล ด้วยการเสริมเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไป

เพราะลักษณะและวิธีการของโครงการแก้มลิง คือ

1.ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบนให้ไหลไปตามคลองในแนวเหนือ-ใต้ลงคลอง พักน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณชายทะเล เช่น คลองชายทะเลของฝั่งตะวันออก ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ แก้มลิง ต่อไป

2.เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลงกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ระบายน้ำจากคลองดังกล่าวออกทางประตูระบายน้ำ โดยใช้หลักการทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Flow) ตามธรรมชาติ

3.สูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่แก้มลิง ให้ระบายออกในระดับต่ำที่สุดออกสู่ทะเล เพื่อจะได้ทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ ไหลมาเองตลอดเวลาส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง

4.เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลองให้ปิดประตูระบายน้ำ เพื่อป้องกันมิให้น้ำย้อนกลับ โดยยึดหลักน้ำไหลทางเดียว (One Way Flow)

นอกจากนั้น ก็วางแผนในการชะลอน้ำอย่างถูกต้องตามหลักสากล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อน สร้างฝาย ตั้งแต่ด้านบนของประเทศ เรื่อยลงมาถึงพื้นที่ภาคกลาง เพื่อการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

จริงอยู่ เวลานี้รัฐบาลกำลังวุ่นวายอยู่กับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เยียวยาผู้ประสบภัย แต่จะต้องมองการแก้ไขปัญหาในอนาคตควบคู่กันไปด้วย

รัฐบาลจะต้อง "กล้า" กู้เงินเป็นแสนๆล้าน เพื่อทำระบบป้องกันภัยจากอุทกภัยที่ทันสมัย ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยของต่างประเทศมาปรับใช้

ซึ่งการแก้ปัญหาทุกอย่าง คงไม่มีอะไรที่ "สมองมนุษย์" ทำไม่ได้ เว้นแต่คิดจะทำหรือไม่

หากรัฐบาลคิดทัน ก็ควรจะต้องเร่งตั้งคณะกรรมการการแก้ไขปัญหาระยะยาวขึ้นมาศึกษาโครงการระดับอภิมหาโปรเจ็กต์ โดยมีระยะเวลาที่ชัดเจน

เพราะมีบทเรียนมให้เห็นแล้วว่า น้ำจะท่วมจะมิดหัวอยู่แล้ว ศปภ.เพิ่งจะสั่งซื้อเครื่องสูบน้ำ ขยะ ผักตบขวางทางระบายน้ำ กทม.เพิ่งจะเร่งเก็บขยะ ลอกผักตบ

เข้าลักษณะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

เพราะไม่เช่นนั้น อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สังคมไทยจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความเจ็บปวด สูญเสีย




จาก .................. มติชน วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม