
26-01-2022
|
 |
Senior Member
|
|
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
|
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
26 ม.ค.นี้ ศาลตัดสินคดีประวัติศาสตร์ เขื่อนกันคลื่น "หาดสะกอม"

26 ม.ค.นี้ คดีประวัติศาสตร์ ยาวนาน 11 ปี กำลังจะสิ้นสุดลง ศาลปกครองสงขลานัดตัดสินคดีที่ชาวบ้านพื้นที่หาดสะกอม จ.สงขลา และนักวิชาการ ฟ้องหน่วยงานรัฐกรณีสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่น ปัจจัยปัญหากัดเซาะชายฝั่งลุกลาม กระทบวิถีชีวิต
ต้นสนที่ล้มระเนระนาด และแนวแผ่นดินที่พังทลาย เป็นภาพปัจจุบันของหาดสะกอม จ.สงขลา ที่เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ไม่เพียงภูมิทัศน์ของหาด แต่ยังรวมถึงอาชีพของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากแนวชายฝั่งที่หายไป
เจ๊ะหมัด สังข์แก้ว ชาวบ้านผู้ฟ้องคดีหาดสะกอม กล่าวว่า หลังจากก่อสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นก็เกิดผลกระทบอย่างชัดเจน รวมทั้งวิถีชีวิตชาวบ้าน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นแนวหาหอยเสียบ หากไม่มีหาด หอยเสียบก็หายไป
"ตลิ่งพังลงมาเลย ผลกระทบเยอะมาก เจ็บปวดมาก"
ย้อนกลับไปก่อนปี 2540 หาดสะกอม ยังคงความสมบูรณ์ระบบนิเวศชายหาด แต่เมื่อกรมเจ้าท่า ก่อสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นบริเวณปากร่องน้ำสะกอม และเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง จำนวน 4 ตัว เพื่อให้สามารถเดินเรือได้สะดวก ต่อมาเพียง 1 ปี หาดสะกอมที่ทอดยาวเกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง หาดถูกคลื่นตัดชันเป็นหน้าผาลึกกว่า 5 เมตร ตลอดแนวยาวเกือบ 3 กิโลเมตร
จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทำให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบและนักวิชาการ เชื่อว่า การก่อสร้างโครงสร้างแข็งที่ยื่นออกไปในทะเลมีผลทำให้หาดทรายถูกกัดเซาะเพิ่มขึ้นทุกปี
ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.อ. กล่าวว่า ทุกที่ที่มีปัญหากัดเซาะชายฝั่ง สามารถตรวจสอบแผนที่และภาพถ่ายย้อนหลังเป็นหลักฐานชัดเจน โดยพิสูจน์ได้แล้วว่า ปัญหากัดเซาะชายฝั่งมีจุดเริ่มต้นและการซ้ำเติมมาจากกระบวนการของมนุษย์และสิ่งก่อสร้างดังกล่าว
จาก 10 เมตร ในปีแรก เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 80 เมตรภายใน 10 ปี หรือในปี 2551 บ้านในชุมชนที่อยู่ใกล้หาดค่อย ๆ ได้รับผลกระทบ จนในที่สุดสิ่งปลูกสร้างหลายแห่งในชุมชนค่อย ๆ พังลง วิถีชีวิตที่ถูกเปลี่ยนกลายเป็นจุดเริ่มต้น ห้ชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐ นำไปสู่กระบวนการในชั้นศาล
อภิศักดิ์ ทัศนี ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Beach for life กล่าวว่า จากกรณีหากสะกอม ส่งผลให้ชุมชนในละแวกนี้ตื่นตัว และเข้าใจมากขึ้นว่าโครงสร้างเขื่อนเหล่านี้มีปัญหา พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถ่ายเททรายบริเวณนี้ ให้ทรายไหลกลับสู่ตามระบบ
คดีหาดสะกอมนับเป็นคดีประวัติศาสตร์คดีแรกของการฟ้องร้องประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโครงการของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อชายหาด เป็นคดีต้นแบบที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภาคภาคประชาชน ของการฟ้องร้องคดีชายหาดอื่น ๆ อีก 6 คดี ประกอบด้วย คดีหาดคลองวาฬ คดีอ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์, คดีหาดม่วงงาม และหาดมหาราช จ.สงขลา คดีหาดสมิหลา และหาดชลาทัศน์ และคดีหาดตากใบ จ.นราธิวาส
ในวันที่ 26 ม.ค.นี้ ศาลปกครองสูงสุดจังหวัดสงขลา ได้นัดฟังคำพิพากษา หลังเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้กรมเจ้าท่ากลับไปศึกษาผลกระทบการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่น และเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง
https://news.thaipbs.or.th/content/311987
*********************************************************************************************************************************************************
เร่งคุมคราบน้ำมันในทะเล 4 จุด ใกล้เรืออับปางกลางอ่าวไทย
ทร.เผยพบคราบน้ำมันกระจายตัวในทะเล 4 จุด ใกล้เรือบรรทุกน้ำมัน 500,000 ลิตร ที่อับปางกลางอ่าวไทย เร่งควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด พร้อมส่งยานสำรวจใต้ดำ ค้นหาตำแหน่งเรือจม

วันนี้ (25 ม.ค.2565) พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ เรือบรรทุกน้ำมันดีเซล ชื่อ ป. อันดามัน 2 ซึ่งจอดทอดสมอและอับปางลง บริเวณห่างจากปากน้ำชุมพร ประมาณ 24 ไมล์ทะเล เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยภายในเรือ มีน้ำมันอยู่ประมาณ 500,000 ลิตร
วันนี้ นับเป็นระยะเวลากว่า 40 ชั่วโมง ที่เรือลำดังกล่าวที่จมลง ศูนย์ปฏิบัติกองทัพเรือ โดยศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ได้ส่งอากาศยานเข้าทำการสำรวจบริเวณโดยรอบพื้นที่ พบว่า มีคราบน้ำมันกระจายเป็นวงกว้างรอบพื้นที่เรือจม มีสีรุ้ง และมีกลิ่นแรง โดยยังคงเห็นการรั่วไหลขึ้นมาเรื่อยๆ และมีทิศทางขึ้นไปทางเหนือ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ จากจุดที่เรือจมขนานไปกับชายฝั่ง ห่างจากชายฝั่ง 15 ไมล์ทะเล มีความกว้างโดยประมาณ 200 หลา
จากการส่งเรือหลวงบางระจันเข้าพื้นที่โดยใช้ Sonar ค้นหาตำแหน่งเรือจม ที่ระดับความลึก 46 เมตร พบว่า ลักษณะการจมเรือวางตัว ในแนวตะวันออก ตะวันตก หัวเรือเอียงจากพื้น ประมาณ 20 องศา จากนั้นได้ส่งยานสำรวจใต้น้ำ Seafox I (Inspection Vehicle) และนักประดาน้ำลงสำรวจในตำแหน่งเรือจม โดยใช้เรือวีนัสเป็นฐานการดำ โดยในส่วนบนผิวน้ำได้ทำการทดลองฉีดน้ำแรงดันสูง เพื่อเร่งกระบวนการแตกสลายของน้ำมันดีเซลที่รั่วไหลโดยใช้เรือหลวงบางระจันและหลวงสงขลาดำเนินการ
พล.ร.ท.ปกครอง เปิดเผยว่า น้ำมันที่รั่วไหลออกมามีการกระจายตัว แตกตัว เข้าสู่กระบวนการระเหย โดยจากภาพจะเห็นการจับตัวกับแพลงก์ตอน? ไดโนแฟลกเจลเลต หรือ? Noctiluca ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนชนิดหนึ่ง?จาก? 32? ชนิด? เป็นสัตว์เซลล์?เดียว? มีสาเหตุการเกิดได้หลายปัจจัย? เช่น? มีฝนตกหนัก? คลื่นลมแรง?ทำให้มีปริมาณธาตุ?อาหาร (Nutrient) ?เพิ่มมากขึ้นและมีสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโต?ของแพลงก์ตอน?
ทั้งนี้ หากมีกาเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น?จะทำให้เกิดภาวะ?น้ำมีออกซิเจนน้อย (Hypoxia)?ในชั้นน้ำ? นำไปสู่สาเหตุน้ำไม่มีออกซิเจนและทำให้สัตว์น้ำตายได้
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและจะรายงานผลการปฏิบัติให้ทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยืนยันว่า กองทัพเรือ มีความพร้อมทั้งยุทโธปกรณ์และกำลังพลในการรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยานสำรวจใต้น้ำ ที่ประจำอยู่บนเรือหลวงบางระจันซึ่งถือเป็น ยุทโธปกรณ์ที่ ใช้ในการปฏิบัติการด้าน การล่าทำลายทุ่นระเบิด ก็สามารถนำมาปรับใช้กับ ภารกิจในการสำรวจและค้นหาเรือที่ ที่ประสบเหตุในครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี
https://news.thaipbs.or.th/content/311983
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|