
19-07-2024
|
 |
Senior Member
|
|
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
|
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
น้ำบาดาลกำลังจะดื่มไม่ได้ เพราะโลกเดือดเกินควบคุม จนอุณหภูมิสูง และปนเปื้อนสารพิษ
Summary
- น้ำบาดาลเป็นน้ำที่อยู่ใต้ผิวโลกตามช่องว่างระหว่างหินและดิน สำคัญต่อสิ่งมีชีวิตในโลก ดังนั้น อุณหภูมิน้ำบาดาลมีผลต่อระบบนิเวศ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาน้ำใต้ดินตกอยู่ในอันตราย
- น้ำที่อุ่นขึ้นแม้เพียงแค่ 1 หรือ 2 องศาเซลเซียส สามารถเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของออกซิเจน ทำให้แบคทีเรียที่เป็นอันตรายเติบโตได้ดีขึ้น รวมถึงละลายโลหะหนัก เช่น สารหนู แมงกานีส ให้ปะปนออกมา
- ไทยและประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร อยู่ในพื้นที่อุณหภูมิน้ำใต้ดินสูงที่สุด คือประมาณ 30 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิน้ำใต้ดินสูงขึ้นจนไม่สามารถใช้ได้ คนไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมากแน่นอน

เวลาพูดถึงโลกร้อน โลกเดือด โลกรวน หลายคนมักคิดเชื่อมโยงไปถึงภูมิอากาศเป็นหลัก แต่เมื่อความผิดปกติเกิดขึ้นกับ ?โลกทั้งใบ? สิ่งที่อยู่ใต้ดินก็ไม่รอดจากผลกระทบที่โลกบนดินกำลังเผชิญ
ในด้านการวิจัย การศึกษาผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมักมุ่งความสนใจไปที่น้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยละเลยน้ำบาดาลหรือน้ำที่อยู่ใต้ดิน ทั้งที่ผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กัน
ทีมนักวิจัยที่ทำงานร่วมกันหลายสถาบันพัฒนาแบบจำลองอุณหภูมิน้ำบาดาลระดับโลก ภายใต้สภาพแวดล้อมต่างๆ จากสภาวะโลกเดือด เปิดเผยผลการศึกษาว่า ภายในปี 2100 ประชากรโลกราว 590 ล้านคน จะไม่สามารถดื่มน้ำบาดาลได้ เพราะอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำบาดาลเต็มไปด้วยสารพิษ โดยมีการประเมินว่า สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะทำให้น้ำบาดาลมีอุณหภูมิสูงขึ้นระหว่าง 2.1-3.5 องศาเซลเซียส
ภาวะน้ำบาดาลอุณหภูมิสูงขึ้นนั้นน่ากังวลอย่างมาก ดีแลน เออร์วิน หนึ่งในนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย ชาร์ลส์ ดาร์วิน ออสเตรเลีย กล่าวว่า น้ำบาดาลเป็นน้ำที่อยู่ใต้ผิวโลกตามช่องว่างระหว่างหินและดิน สำคัญต่อสิ่งมีชีวิตในโลก ดังนั้น อุณหภูมิน้ำบาดาลมีผลต่อระบบนิเวศ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นทำให้สิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาน้ำใต้ดินตกอยู่ในอันตราย เราจึงต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบของสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
น้ำที่อุ่นขึ้นแม้เพียงแค่ 1 หรือ 2 องศาเซลเซียส สามารถสร้างความเสียหายรุนแรง เปลี่ยนสภาพแวดล้อมของออกซิเจน ทำให้แบคทีเรียที่เป็นอันตรายเติบโตได้ดีขึ้น รวมถึงละลายโลหะหนัก เช่น สารหนู แมงกานีส และฟอสฟอรัส ให้ปะปนออกมา
โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลต่อกระบวนการสำคัญ เช่น กระบวนการทางเคมีของน้ำบาดาล การชะละลายของโลหะ และจุลชีววิทยา ซึ่งกระทบกับคุณภาพน้ำ นอกจากนี้แม่น้ำต่างๆ ยังพึ่งพาน้ำบาดาลให้สายน้ำไหลได้ในช่วงหน้าแล้ง น้ำที่อุ่นขึ้นทำให้ออกซิเจนละลายน้อยลง ซึ่งจะทำให้ปลาตาย หากอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจทำให้น้ำบาดาลอันตรายเกินกว่าจะดื่ม
แบบจำลองคาดการณ์ว่าภายในปี 2099 ประชากร 59-588 ล้านคนทั่วโลกจะอยู่ในบริเวณที่น้ำบาดาลมีอุณหภูมิสูงที่สุด จนต้องมีการทำคู่มือสำหรับการนำไปใช้ดื่ม ยิ่งน้ำบาดาลอุ่นขึ้นเท่าไร เชื้อโรคจะยิ่งเติบโตได้ดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำดื่ม
เศรษฐกิจก็ได้รับผลจากเรื่องนี้เช่นกัน อุตสาหกรรมที่สำคัญ ทั้งเกษตรกรรม โรงงานต่างๆ และอุตสาหกรรมพลังงาน ต่างก็อาศัยน้ำบาดาล เมื่อน้ำบาดาลร้อนเกินไป หรือปนเปื้อนสารพิษมากเกินไป ก็จะส่งผลต่อกระบวนการการผลิตจนอาจสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
ในสถานการณ์เลวร้ายขั้นสุดจากปริมาณการปล่อยคาร์บอน ประชากร 588 ล้านคนอาจต้องบำบัดน้ำในท้องถิ่นก่อนดื่ม ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำบาดาลตื้นกว่ามีอัตราเสี่ยงกว่า ที่น่าเป็นห่วงก็คือชุมชนที่ปัจจุบันก็เข้าถึงน้ำสะอาดได้ยากอยู่แล้ว
ซูซานน์ เบนซ์ นักธรณีวิทยา สถาบันเทคโนโลยี คาร์ลสรูห์ (Karlsruhe Institute of Technology: KIT) เยอรมนี หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ตอนนี้ประชากรราว 30 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ซึ่งน้ำบาดาลอุ่นเกินกว่าระดับที่กำหนดไว้จากเกณฑ์น้ำดื่มแล้ว นั่นหมายความว่า ไม่ปลอดภัยที่จะดื่มน้ำโดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ อย่างน้อยๆ ควรจะต้องต้มก่อน
นักวิจัยพัฒนาแอปพลิเคชันบน Google Earth เพื่อให้คนทั่วไปเข้าไปสำรวจว่ามีพื้นที่ใดบ้างจะได้รับผลกระทบ โดยแบบจำลองวัดอุณหภูมิน้ำที่ระดับความลึก 5 และ 30 เมตรใต้พื้นผิวดิน และชี้ว่าจุดที่ได้รับผลกระทบจากความร้อนสูงที่สุดอยู่บริเวณตอนกลางของรัสเซีย ทางเหนือของจีน อเมริกาเหนือ และป่าเขตร้อนแอมะซอน นอกจากนี้ยังคาดว่าอุณหภูมิของน้ำบาดาลในทวีปออสเตรเลียจะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ซึ่งน้ำบาดาลอยู่ลึกกว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น บริเวณเทือกเขาแอนดีสและร็อคกี้ อาจจะมีน้ำที่เย็นกว่าและปลอดภัยกว่า
อ้างอิงจากแผนที่เดียวกันใน Google Earth จะพบว่า ไทยและประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร อยู่ในพื้นที่อุณหภูมิน้ำใต้ดินสูงที่สุด คือประมาณ 30 องศาเซลเซียส
หากอุณหภูมิน้ำใต้ดินสูงขึ้นจนไม่สามารถใช้ได้ คนไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมากแน่นอน
อ้างอิงข้อมูลปี 2566 จากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ไทยมีน้ำบาดาลอยู่ใต้ดิน 1,137,713 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยน้ำบาดาลที่สามารถนำมาใช้ได้ 60,975 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำน้ำบาดาลมาใช้เพื่อในการเกษตร 12,741 ล้านลูกบาศก์เมตร อุปโภคบริโภค 1,223 ล้านลูกบาศก์เมตร และอุตสาหกรรม 777 ล้านลูกบาศก์เมตร
อ้างอิง: University of Newcastle Australia, Science Alert, กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104609
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|