ดูแบบคำตอบเดียว
  #12  
เก่า 25-07-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


นักวิชาการย้ำปัญหาแผ่นน้ำทะเลสูง หวั่นอีก 10 ปี แผ่นดินหายกว่า 1 กม.



บรรยากาศแถววัดขุนสมุทรจีนในอดีต



วัดขุนสมุทรจีนปัจจุบัน


น้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น หนึ่งในผลพวงจากภัยคุกคามของภาวะโลกร้อน จากข้อมูลวิชาการบ่งชี้ชัดเจนว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาสำคัญนี้ ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแผ่กระจายไปในพื้นที่ชายฝั่งเกือบทั่วประเทศ โดยเฉพาะความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนต่อปัญหาวิกฤติด้านการกัดเซาะชายฝั่ง

ความเสียหายของบ้านเรือนริมชายฝั่งที่เพิ่มขึ้น คือกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เกิดผลกระทบอย่างไรต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิต ขณะที่ข่าวคราวของนักวิชาการที่ออกมาเตือนน้ำจะท่วมกรุงเทพฯจากภาวะโลกร้อน หรือกรุงเทพฯในอนาคตจะจมใต้บาดาล ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนที่อยู่อาศัยในเมืองกรุงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดงานเสวนา “จับตาประเทศไทยกับวิกฤตการณ์ภัยน้ำทะเลเพิ่มสูง” ขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมี รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา และหัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และ ผู้ใหญ่สมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ผู้ได้รับผลกระทบเข้าร่วมเสวนา

รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า สภาพพื้นที่อ่าวไทยตอนบนมีแม่น้ำสำคัญ 4 สายไหลลงสู่ทะเล ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง บางปะกง เจ้าพระยา และท่าจีน มีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของอ่าวไทยตอนบนในปัจจุบันจากการตรวจวัดระดับน้ำเฉลี่ยรายปีอย่างละเอียดนั้น ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทุกขณะ

เมื่อได้ตรวจวัดระดับน้ำทะเลที่สถานีปากแม่น้ำท่าจีน พบว่า ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 42 มิลลิเมตรต่อปี สถานีป้อมพระจุลจอมเกล้า 20.5 มิลลิเมตรต่อปี สถานีปากแม่น้ำเจ้าพระยา 15 มิลลิเมตรต่อปี สถานีบางปะกง 4 มิลลิเมตรต่อปี ล้วนแต่เป็นตัวเลขที่สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอดีตมาก เมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 1.2-1.8 มิลลิเมตรต่อปี แต่จากรายงานของไอพีซีซี ปี 2550 พบว่า ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 มิลลิเมตรต่อปีแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยมีตัวเลขจากรายงานของกรมทรัพยากรธรณี ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 4.1 มิลลิเมตรต่อปี (DMR 2010) ส่วนระดับน้ำทะเลในพื้นที่ชายฝั่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเก็บบันทึกการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลเอาไว้ เช่น มาเลเซีย 2.4 มิลลิเมตรต่อปี เวียดนาม 2.56 มิลลิเมตรต่อปี บังกลาเทศ 7.8 มิลลิเมตรต่อปี มัลดีฟส์ 4.1 มิลลิเมตรต่อปี

“จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั่วทั้งชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งการทำลายพื้นที่ ก่อปัญหาและสร้างความเดือดร้อนให้คนในชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงถึงจังหวัดเพชรบุรี มีชายฝั่งยาวกว่า 120 กิโลเมตร กำลังเผชิญปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรง โดย 30 ปีที่ผ่านมา ที่ดินชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยหายไป 18,000 ไร่ ยิ่งไปกว่านั้น การกัดเซาะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะชายฝั่งเท่านั้น แต่กัดเซาะลึกลงไปในพื้นที่ท้องทะเลด้วย ทำให้สูญเสียชายหาดโคลนทุกวินาที ทั้งนี้พบว่า 30 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินใต้ทะเลที่เป็นหาดโคลนหายไปประมาณ 180,000 ไร่" รศ.ดร.ธนวัฒน์ เผยข้อมูล

นอกจากนั้น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยตลอด 2,600 กิโลเมตร ถูกกัดเซาะไปแล้วถึง 600 กิโลเมตรหรือคิดเป็นประมาณ 22% ซึ่งถือว่าผิดปกติมาก และจากการสำรวจติดตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่าพื้นที่บางปู จ.สมุทรปราการ ในอดีต 40 ปีที่แล้ว เมื่อระดับน้ำทะเลลงต่ำสุดมีหาดโคลน ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลได้โผล่พ้นน้ำกว้างกว่า 5 กิโลเมตรจากแผ่นดิน แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ในกรณีเดียวกันที่บ้านขุนสมุทรจีน มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม 2.5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1 กิโลเมตร ขณะที่พื้นที่มหาชัย เคยมีหาดโคลน 1.5 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 250 เมตรเท่านั้น

การศึกษาผลกระทบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอนาคตพบว่า พื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลจะมีอัตราการกัดเซาะเพิ่มเป็น 65 เมตรต่อปี ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ อีก 10 ปีข้างหน้า แผ่นดินจะหายไป 1.3 กิโลเมตร อีก 50 ปีข้างหน้า 2.3 กิโลเมตร และในอีก 100 ปีข้างหน้าประมาณ 6 กิโลเมตร

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เปลี่ยนแปลงและมีแนวโน้มสูงขึ้น คือปัญหาแผ่นดินทรุดของประเทศไทย มีผลกระทบ 70-80% ที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของประเทศไทยสูงขึ้น โดยปัญหาที่เห็นได้ชัดคือบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ ปี 2527 มีอัตราการทรุดของแผ่นดินมากกว่า 10 เซนติเมตรต่อปี แต่เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการป้องกันต่างๆ ในปัจจุบันนี้อัตราการทรุดเหลือประมาณ 1-4 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นข่าวดี

ส่วนที่เป็นข่าวร้ายก็คือจุดศูนย์กลางของการทรุดตัวเปลี่ยนอยู่ใกล้พื้นที่ชายฝั่ง มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนจากระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ที่สูงขึ้นอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผลกระทบปรากฎแล้วที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย แผ่นดินทรุดไปแล้วราว 55 เซนติเมตร

ปัจจัยที่เหลือคือ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็ง และธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วกว่าในอดีต ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งมีการคำนวณแล้วว่ามีอัตราเฉลี่ยทั่วโลกประมาณ 3 มิลลิเมตรต่อปี นอกจากนี้ การก่อสร้างเขื่อนบริเวณต้นน้ำ ซึ่งส่งผลให้ตะกอนไหลลงสู่พื้นที่ชายฝั่งน้อยลง เช่น เขื่อนเจ้าพระยา, เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์ หลังสร้างเขื่อนที่ต้นน้ำทำให้อัตราการงอกของแผ่นดินเหลือ 4.5 เมตรต่อปีเท่านั้น จากเดิมที่มีการงอก 60 เมตรต่อปี ตะกอนที่หายไปเพราะเขื่อนกักเก็บไว้ ส่งผลกัดเซาะหนักกว่าเดิม

ในส่วนของความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลง “ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์” นั้น รศ.ดร.ธนวัฒน์ ระบุว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเมืองชายฝั่งของบ้านเรา โดยยกตัวอย่าง กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากแผ่นดินทรุดและภาวะโลกร้อน ส่งผลต่อเมืองใหญ่แห่งนี้ เกิดปรากฏการณ์น้ำหนุนสูง มีน้ำทะเลเข้าท่วมถึงระดับหน้าอก ชาวบ้านในพื้นที่ก็พยายามปรับตัวไม่ทิ้งพื้นที่

“ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรต่อปี แต่จาการ์ตา 8 มิลลิเมตรต่อปี ขณะที่ประเทศไทยระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นอัตราที่มากสุดในโลกแห่งหนึ่ง ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูงแบบนี้จะเห็นบ่อยขึ้นในบ้านเรา ขณะนี้แถบสมุทรปราการเจอปัญหาเดียวกัน แต่ยังไม่รุนแรงเท่าจาการ์ตา ซึ่งชุมชนริมชายฝั่งอย่างจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ที่จะเผชิญสภาพอย่างนี้ จะเตรียมรับมือยังไง”

ทุกวันนี้ผลกระทบหลายอย่างปรากฏจากวิกฤติระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง ขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรงมากในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ทุกหน่วยงาน นักวิชาการ ตลอดจนชุมชนพยายามหามาตรการ และวิธีการที่เหมาะสมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดโครงการรูปแบบต่างๆหลั่งไหลลงสู่พื้นที่

เมื่อเร็วๆนี้ มีแนวคิดจะก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแบบประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้ข้อมูลสตรอมเสิร์ช (Strom Surge) ที่จะพัดเข้ากรุงเทพฯ ทำให้น้ำทะเลท่วมเข้ามา 30 กิโลเมตร และข้อมูลระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นของแผนที่นาซา ที่จะทำให้น้ำทะเลท่วมตั้งแต่ 4-12 เมตร โดยประเด็นนี้ในทัศนะของ รศ.ดร.ธนวัฒน์ ให้ความเห็นว่า การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่แบบเนเธอร์แลนด์ นอกจากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่ชายฝั่งที่มีความอ่อนไหวสูงแล้ว เขื่อนยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหาดโคลน ทำให้หาดโคลนหายไป ซึ่งหาดโคลนถือเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์วัยอ่อนที่สำคัญที่สุดของอ่าวไทย เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีความสำคัญเป็นแหล่งห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศบกและทะเล

อีกทั้งยังเป็นที่ทำมาหากินของชุมชนประมงพื้นบ้านไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนที่ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและจับสัตว์น้ำตามชายฝั่งทะเล รวมไปถึงอาจจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นของปลาทู ขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จัดโดยชุมชนและวิถีชุมชนประมงพื้นบ้าน นับเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะลงไปพัฒนาต้องมีความเข้าใจในพื้นที่ และเชื่อมโยงระบบนิเวศกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยใช้ข้อมูลที่ต้องทำการศึกษาอย่างจริงจัง

"ผลกระทบจากความผิดปกติของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น เริ่มปรากฏให้เห็นในพื้นที่ชายฝั่งแล้ว และสิ่งที่นักวิชาการคาดการณ์ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 10 - 20 ปีข้างหน้า ภาคประชาชนจะแตกตื่นหรือเตรียมรับมือก่อนสถานการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกหน่วยงานต้องตระหนัก แม้หลายคนจะมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่การรู้เท่าทันทำให้เราปรับตัวและวางแผนเพื่อความอยู่รอดได้ เพราะภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนคงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป" รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 25 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม