ชื่อกระทู้: ป่าชายเลน (2)
ดูแบบคำตอบเดียว
  #8  
เก่า 19-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


ลดร้อน...ให้โลก ด้วยป่าชายเลน


เหตุการณ์ต่างๆที่มีให้เราพบเห็นกันอยู่บ่อยๆในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพลมฟ้าอากาศที่แปรปรวนผิดแปลกไปจากเดิม ฤดูกาลที่ผิดปกติไม่รู้ว่าไหนฤดูร้อน ฝน หรือหนาว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุที่รุนแรง อากาศที่ร้อนผิดปกติจนมีคนเสียชีวิต รวมไปถึงโรคระบาดชนิดใหม่ๆ หรือโรคระบาดที่เคยหายไปจากโลกนี้แล้วก็กลับมาให้เราได้เห็นใหม่ ตลอดจนพาหะนำโรคต่างๆที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบของ “ภาวะโลกร้อน” ทั้งสิ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์โลกร้อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเรื่องสำคัญที่มีการกล่าวถึงอย่างมาก ในประเทศไทยแทบทุกหน่วยงานต่างพยายามหาแนวทางที่จะนำมาใช้เป็นมาตรการในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ด้วยการควบคุมและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เพื่อเป็นการชะลอมิให้ระบบนิเวศบนโลกถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว

อธิบดี ทช. กล่าวต่อไปว่า เราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้หลายวิธี การปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เพราะในเวลากลางวัน ต้นไม้จะช่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกมาเป็นก๊าซออกซิเจน เช่นเดียวกับการปลูกป่าชายเลนก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดปัญหาโลกร้อน โดยที่ผ่านมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้รณรงค์ ให้มีการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ชายฝั่งต่างๆอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดหลายตระกูล เช่น แสม ฝาด ลำพู ลำแพน ตะบูน เหงือกปลาหมอ ปรงทะเล ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไม้พันธุ์โกงกางจึงถูกเรียกอีกชื่อว่า “ป่าโกงกาง”

“ป่าชายเลนมีคุณสมบัติพิเศษ โดยจากการศึกษาพบว่า ป่าชายเลนเป็นไม้ที่มีอัตราการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไร่สูงกว่าไม้ชนิดอื่นๆ โดยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 800-900 กิโลกรัม/ตัน/ปี ในขณะที่ต้นไม้บกซึ่งเป็นต้นไม้ป่าทั่วไปสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไอออกไซด์ได้เพียง 80-90 กิโลกรัม/ตัน/ปี ต้นไม้ป่าชายเลนทุกต้นจะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทุกวันและนำไปสะสมไว้ในลำต้น กิ่ง ใบ ราก เมื่อต้นไม้ตายลง เศษซากถูกทับถมจมลงใต้โคลนเลน การย่อยสลายจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในสภาพที่ไม่มีอากาศ ก๊าซคาร์บอนส่วนใหญ่จึงถูกเก็บในสภาพนั้นอีกนานแสนนาน ซึ่งน้ำหนักแห้งของพืชป่าชายเลน 100 กรัม จะมีคาร์บอนอยู่ประมาณ 46 กรัม โดยเฉลี่ยแล้วทุกส่วนของต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็น กิ่ง ราก ลำต้น ใบ จะกักเก็บคาร์บอนไว้ในปริมาณเท่าๆ กัน” อธิบดี ทช.กล่าว

ประเทศไทยมีป่าชายเลนประมาณ 1.5 ล้านไร่ ในแต่ละปีจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 4.5-6.0 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถยนต์ 1 คันปล่อยออกมา ขณะวิ่งรอบโลกถึง 500 รอบ และใน 1 ปี ยังสามารถผลิตออกซิเจนเพียงพอ สำหรับคนไทยถึงกว่า 10 ล้านคน การปลูกป่าชายเลนของประเทศไทย จึงเปรียบเหมือนการสร้างแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ตามธรรมชาติเพื่อลดโลกร้อน เป็นการลงทุนครั้งเดียว ใช้ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูงและสิ้นเปลืองน้อยกว่าการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆทางวิศวกรรม

“ป่าชายเลน” เป็นสมบัติของประเทศ และเป็นสมบัติของประชาชนทุกคน เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต รวมทั้งมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ประชาชนชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าชายเลนโดยเฉพาะทางด้านระบบนิเวศวิทยา โดยใช้เป็นแหล่งอาหารและอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นแนวช่วยป้องกันพายุคลื่นลม ป้องกันการกัดเซาะและการพังทลายของชายฝั่ง อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนสำหรับผู้ที่ไขว่คว้าหาอากาศบริสุทธิ์ เพราะป่าชายเลนช่วยฟอกอากาศ สร้างความสดชื่นแก่ทุกคน แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนได้ถูกบุกรุกทำลายทั้งจากภัยธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์เพื่อประโยชน์ด้านต่างๆ จากการขยายเมืองและชุมชน แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอุตสาหกรรม การก่อสร้างถนน ท่าเรือ หน่วยงานราชการและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทำให้เนื้อที่ป่าชายเลนลดลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาพื้นที่ป่าชายเลนอย่างจริงจัง เพื่อคงความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนไว้เพื่อประโยชน์แก่โลกของเราตราบชั่วลูกชั่วหลาน




จาก ................... บ้านเมือง วันที่ 18 เมษายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม