greennewstv
14-05-2015
"เรือปั่นไฟ" ปัญหาเรื้อรังสู่หายนะทะเลไทย
นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย-สหพันธ์ประมงพื้นบ้านเอือมปัญหา เรือปั่นไฟ มฤตยูของทรัพยากรทางทะเลที่กำลังสร้างหายนะอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่แก้ได้ง่ายแต่รัฐไม่ยอมทำ
ปัญหาการทำประมงด้วยเรือปั่นไฟ นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ในท้องทะเลอย่างรุนแรง และต่อระบบเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมประมงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนับว่าไม่ต่างจากการประมงโดยใช้อวนลากหรืออวนรุน แต่กลับไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือเป็นที่รู้จักมากนัก
บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย หนึ่งในผู้ต่อต้านการประมงโดยวิธีการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง อธิบายว่า การจับปลาโดยวิธีการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อจับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยใช้แสงไฟล่อให้ปลาเข้ามาหาจำนวนมากแล้วจึงลงอวนจับ แต่สิ่งที่ได้มานอกจากปลากะตักแล้วยังมีลูกปลาเศรษฐกิจอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต ทั้งหมดถูกลากขึ้นมากองเป็นภูเขา หนึ่งในนั้นที่เห็นได้ชัดคือลูกปลาทู ที่ถูกนำมาขายราคาถูกๆอย่างไร้คุณค่า กลายเป็นอาหารสัตว์ แทนที่เมื่อเจริญเติบโตจะมีราคาดีและเป็นอาหารของมนุษย์
นักอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลกล่าวว่า จริงๆแล้วเรื่องดังกล่าวสามารถห้ามได้เพียงการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคือ เคยถูกบังคับใช้มาแล้วเมื่อปี พ.ศ.2526 โดย นพ.บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น ที่ได้ออกประกาศกระทรวงให้ยกเลิกการทำการประมงด้วยวิธีปั่นไฟ แต่พอมาในปี พ.ศ.2539 ยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี กลับถูกยกเลิกประกาศเก่าแล้วออกประกาศกระทรวงฉบับใหม่ โดย นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ขณะนั้น) เปิดโอกาสให้กลับมาใช้วิธีการทำการประมงด้วยวิธีใช้แสงไฟล่อปลาได้เช่นเดิม ทำให้พันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนชนิดต่างๆจำนวนมาก ก็ยังถูกทำลายเหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน
แม้เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ลูกปลาตัวเล็กๆยังคงถูกจับโดยวิธีทำลายล้างเช่นนี้มาตลอด แต่จำนวนปลาที่จับได้ในแต่ละครั้งยังคงมีจำนวนมาก นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ระบุว่า นั่นคือสิ่งที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย
ลองจินตนาการดูว่าหากเราสามารถหยุดการกระทำเหล่านี้ได้ เราจะมีสัตว์ทะเลมากมายสมบูรณ์เพียงใด แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้คือระบบนิเวศน์ถูกทำลาย ปลาใหญ่ไม่มีโอกาสโตและมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากไม่มีปลาเล็กให้กิน นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว
ด้าน วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พ.ร.บ.ประมง 2558 ที่ผ่านออกมานั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวมากนัก เป็นเพียงการพูดหลักการกว้างๆ และยังคงให้อำนาจรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะหากให้อำนาจกลุ่มท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจคงจะมีการยกเลิกการประมงวิธีการดังกล่าวไปแล้ว
สิ่งที่เป็นอยู่คือการทำลายวงจรทั้งทางระบบนิเวศน์และเศรษฐกิจ ทรัพยากรที่มีอยู่นั้นจำกัดด้วยศักยภาพการผลิตของทะเลไทย หากปล่อยให้มีกลุ่มประมงสัก 10-20 รายกวาดเอาปลาตัวเล็กตัวน้อยไปขายถูกๆจนหมด แล้วคืนอื่นจะเหลืออะไร ในเมื่อหากปล่อยไว้แล้วมาจับใหม่ปริมาณจะเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยหลายพัน วิโชคศักดิ์กล่าว
ผู้จัดการสมาคมสหพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยยังกล่าวว่า อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ผู้คนตระหนักคือ อาหารทะเลที่มีคุณภาพเกือบทั้งหมดมาจากประมงรายเล็กซึ่งใช้วิธีจับแบบพื้นบ้าน และไม่มีสารที่เป็นอันตราย ต่างจากอาหารทะเลที่มาจากประมงรายใหญ่ที่มักมีสารแปลกปลอม อาทิฟอร์มาลีนที่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อรักษาปลาให้สดเป็นระยะเวลานาน และกว่าครึ่งหนึ่งของการประมงโดยใช้อวนลาก อวนรุน หรือเรือปั่นไฟเช่นนี้เป็นไปเพื่อนำมาเลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เลี้ยงคน
__________________
Saaychol
|