ดูแบบคำตอบเดียว
  #6  
เก่า 21-07-2012
Thoto_Dive Thoto_Dive is offline
Member
 
วันที่สมัคร: Dec 2010
ข้อความ: 80
Default

ขอเอามาเสริมนะครับ ของอาจารย์ธรณ์ที่แบ่งมาจาก FB ของอาจารย์ศักดิ์อนันต์

อาจารย์ครับ ผมเริ่มต้นเขียนเรื่องนี้ด้วยความสับสน ความคิดอลหม่านพันกันยุ่ง บางหนเห็นฉากที่ผมเข้าไปพบอาจารย์ในห้องเป็นครั้งแรก ภาพที่อาจารย์พูดอยู่กลางฝูงชน โดยมีผมแอบเชียร์อยู่เบื้องหลัง เวลาที่อาจารย์ขึ้นนำเสนอผลงาน ขณะผมเฝ้าแอบมองด้วยความชื่นชม ในความรอบรู้ ในความเป็นปราชญ์ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยได้เห็นได้รับทราบ

ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลาค่อนชีวิต ผมเคยพบปะกับใครมากมาย ในแทบทุกระดับความรู้ความสามารถ บางคนอยู่ในตำแหน่งบริหารสูงลิบ บ้างก็เป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ หรือระดับโลกด้วยซ้ำ แต่ในความรู้สึกของตัวเอง ผมยังไม่เคยเห็นใครเทียบเท่าอาจารย์ โดยเฉพาะความคิดและการพูด ทุกครั้งที่อาจารย์เริ่มต้น ทุกคนต้องเงียบฟัง ทุกคนจะคิดตาม และทุกคนจะเห็นภาพ

ผมเป็นศิษย์มีครู คุณครูของผมมีมากมาย ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเล็กจนเรียนจบปริญญาขั้นสูงสุด ผมเคารพรักคุณครูของผมทุกคน แต่มีเพียงหนึ่ง เพียงหนึ่งเท่านั้น ที่ผมจะกล่าวถึงทุกครั้งที่มีคนถามถึง และถึงจะไม่ถามถึง หากสบโอกาสผมจะพยายามบอก
เพราะเวลาผมพูดผมบอก ผมเชิดหน้า ผมภาคภูมิใจ ผมรู้สึกว่าชีวิตตนเองโชคดีอย่างยิ่งที่ได้บุคลผู้นี้มาเป็นครู เช่นเดียวกับลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลาย ที่ปัจจุบันหลายคนก้าวไกลไปในตามเส้นทางที่อาจารย์แผ้วถาง

อาจารย์ครับ ถ้อยคำที่อยากพูดอยากบอก แต่ไม่เคยได้พูดได้บอก ตอนนี้ผมจะบอกอาจารย์แล้วครับ

....

วันนั้นเป็นวันแรกๆ ของภาคต้น ปีการศึกษา ๒๕๒๘ ผมในฐานะนิสิตปีสอง ผู้เลือกเข้ามาเรียนต่อในภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เดินเข้าไปพบอาจารย์ในห้องพักที่ชั้นสาม ตึก ๗ ชั้นตามที่เรียกกันในสมัยนั้น ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์มาก่อนหน้า ทั้งจากหน้าหนังสือพิมพ์ และจากปากคำของคนอื่นๆ รวมทั้งคุณพ่อของผมเอง ผู้ที่บอกว่ามาเรียนที่นี่ต้องมาหาอาจารย์

อาจารย์ที่ผมเห็น ผิดจากอาจารย์ในความคิดของผมก่อนหน้านี้ อาจารย์รูปร่างท้วม แทนที่จะบึกบึนเหมือนภาพนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในอุดมคติ แต่เมื่อได้พูดกับอาจารย์เพียงไม่กี่ประโยค ผมลบภาพนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลในอุดมคติออกไปสิ้น เพราะผมมีภาพใหม่มาแทนแล้ว ภาพของอาจารย์ ผมอยากเป็นอย่างอาจารย์ครับ

การร่ำเรียนในตอนนั้นอาจจะต่างจากตอนนี้ ในสามชั้นปีของภาควิชาฯ พวกเรามีกันอยู่ไม่กี่คน คำว่าอาจารย์กับลูกศิษย์ ต่างจากคำว่าพ่อกับลูก...เพียงนิดเดียว ผมเริ่มเรียนกับอาจารย์ บางวิชามีเพียงอาจารย์หนึ่งลูกศิษย์หนึ่ง ห้องเรียนคือห้องอาจารย์ สิ่งที่ร่ำเรียนไม่ได้เป็นการจดคำพูดหรืออ่านตำราเล่มใหญ่ แต่เป็นการทำงานที่อาจารย์สั่งให้ไปค้นคว้ามานำเสนอ

ผมเริ่มออกภาคสนาม โดยอาจารย์เป็นผู้เปิดโอกาส ส่งผมให้ไปกับรุ่นพี่หลายคนที่ทำงานอยู่ใน "ห้องปะการัง" เราไปดำน้ำแทบทุกอาทิตย์ อาจารย์ไม่เคยไปด้วย แต่อาจารย์บอกจุดประสงค์ของการไปทำงาน และทุกครั้งที่เรากลับมา อาจารย์จะเรียกเราไปคุยทีละคน ให้บอกเล่าเรื่องราวที่พบประสบมา ข้อมูลและข้อสรุป ตลอดจนแนวความคิดของเราเอง

เราเติบโตกันมาด้วยวิธีการนั้น และแบบไม่คาดฝัน ในยามที่ผมเป็นนิสิตปีสาม เพิ่งเริ่มหัดทำงานมาเพียงหนึ่งปี อาจารย์มอบหมายให้พวกเราไปเข้าร่วมนำเสนอผลงานระดับประเทศ และระดับระหว่างประเทศ โดยพวกเราในคณะนั้นจะได้นำเสนอผลงานที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งไปฝึกวิจัยที่นั่นเป็นเวลาสองสัปดาห์

อาจารย์ครับ ผมรู้ดีว่าลูกศิษย์ของอาจารย์ทุกคน ห้ามพูดคำว่าทำไม่ได้ แม้ผมยังใหม่ต่อวงการ ผมทำได้แต่เพียงบอกว่าทำได้ครับ สบายครับ ไม่ต้องห่วงครับ ทั้งที่ใจจริง ยามเมื่อขึ้นยืนต่อหน้านักวิทยาศาสต์ทางทะเลและสาขาที่เกี่ยวข้อง 300 คนในที่ประชุม ผมสั่นผมฝ่อ ผมกลัวไปหมดเลยครับอาจารย์ แต่พอผมมองอาจารย์ ผมรู้สึกว่าอาจารย์เราอยู่กลัวอะไร จ้างให้ก็ไม่กลัว

และความรู้สึกนั้นยังอยู่ติดตัวเรื่อยมา ทุกครั้งที่ผมเข้าร่วมการประชุม ทุกครั้งที่มีอาจารย์อยู่ด้วย ผมเพียงมองหน้าอาจารย์ เพียงพูดไปในสิ่งที่ใจคิด ผมไม่เคยกลัว มีอาจารย์เราอยู่ด้วย แล้วเราจะกลัวอะไร

การร่ำเรียนด้วยภาคสนามเพิ่งเริ่มต้น และเข้มข้นเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา อาจารย์คงจำได้ใช่ไหมครับว่า ครั้งนั้นเรามีโครงการ ASEAN-Australia อาจารย์ส่งพวกผมไปสำรวจแนวปะการังทั่วอ่าวไทย พวกผมไปดำน้ำกันปีละเป็นร้อยวัน ถูกลากแท๊ดๆ อยู่กลางทะเลตั้งแต่เช้ายันค่ำ พอตกดึกผมก็หนีไปกินเหล้าบ้าง ไปหาสาวบ้าง ผมออกจะเป็นลูกศิษย์ที่ไม่อยู่กะร่องกะรอยที่สุดของอาจารย์

แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกนิด เมื่อรุ่นพี่จบไป มีรุ่นน้องเข้ามาแทนที่ ผมจำต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้นำทีมโดยปริยาย ผมสร้างปัญหาให้อาจารย์หลายครั้ง แต่ก็สร้างเรื่องตลกที่อาจารย์นำมาแซวติดต่อกัน 15 ปีรวด อาจารย์บอกว่านั่นคือเรื่องตลกมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน และอำผมทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงหรือการประชุม อาจารย์จำได้ดีใช่ไหมครับ

ผมยังได้ติดตามอาจารย์ไปหลายที่ ไม่ใช่งานภาคสนาม แต่เป็นงานแบบอื่น งานจัดประชุม งานเป็นวิทยากร งานจัดนิทรรศการ งานจัดค่ายโน่นนี่ ผมกลายเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ใช้งานทำนองนี้บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะอาจารย์อ่านขาด อาจารย์รู้ว่านายนี่โตขึ้นมาเป็นนักวิทยาศาสตร์แบบเพียวๆ ไม่ได้ ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นนักวิจัยที่ดี แต่พอมีอะไรอยู่บ้างหากได้งานที่ชอบ

ช่วงนี้เองผมจึงมีโอกาสศึกษาศาสตร์ที่ตัวเองชอบที่สุด วิชาว่าด้วยการให้ข้อมูลแก่คนอื่น จุดยืนของนักวิทยาศาสตร์ในสังคมที่สับสน อาจารย์มักกล่าวอยู่เสมอว่า เราต้องยืนขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ไทยต้องเป็นหนึ่งในแกนหลักเพื่อค้ำจุนประเทศชาติ เราจะไม่เงียบ

ผมเพิ่งคิดออก ทั้งที่ควรจะคิดออกตั้งนานแล้ว ผมเพิ่งเข้าใจว่า อาจารย์รู้ดีอยู่แล้วว่ามีบางอย่างกำลังรบกวนอาจารย์อยู่ มีบางอย่างที่อาจทำให้อาจารย์ต้องจากไกล อาจารย์รู้อยู่แล้ว ในช่วงหลังที่อาจารย์พบผม อาจารย์จึงย้ำเสมอว่า ธรณ์ต้องอย่ายอม อย่าปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป หากเรารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เราต้องพูด

ผมมันโง่เอง ผมไม่เคยเอะใจ ไม่เคยสงสัย ทำไมอาจารย์ต้องพูดต้องย้ำข้อความนี้ให้ผมฟัง ? ทั้งที่เจอะเจอกันมาตั้งนานเกือบยี่สิบปี ทำไมต้องมาย้ำซ้ำๆ ในช่วงนี้ ผมมัวแต่ไปคิดว่า ถึงผมไม่พูด อาจารย์ก็พูดได้ ด้วยฝีมือที่ฝากไว้ ขอเพียงอาจารย์พูด ใครก็ต้องฟัง

ผมมันโง่ เพราะไม่เข้าใจว่าที่อาจารย์ย้ำถ้อยคำนี้ หลายต่อหลายครั้ง ที่อาจารย์ยิ้มให้ผมพร้อมพยักหน้า ในการประชุมครั้งสุดท้ายเพียงไม่กี่วันก่อนอาจารย์จะเข้าโรงพยาบาล เป็นเพราะอาจารย์ทราบว่าตัวเองจะจากไปแล้ว ไปไกล อาจารย์คงไม่มีโอกาสพูดอีกแล้ว อาจารย์ได้แต่หวังในบุคลที่อาจารย์ปั้นมากับมือ สอนมากับมือ

อาจารย์เป็นคนรักเมืองไทย รักประเทศเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยความสามารถของอาจารย์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลทั้งโลกต่างยอมรับ อาจารย์ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ จะเลือกชีวิตอย่างไรก็ได้ แต่อาจารย์เลือกที่จะกลับมาอยู่เมืองไทย เลือกที่จะสร้างจะปั้นคนไทยเพื่อเดินตามรอยเท้าอาจารย์

อาจารย์ครับ อาจารย์ไม่เคยเงียบใช่ไหมครับ ไม่ว่าต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงสุดของกี่รัฐบาล ไม่ว่าต่อหน้าโครงการไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนล้านบาท อาจารย์ไม่เคยเงียบใช่ไหมครับ อาจารย์ไม่เคยปล่อยให้สิ่งผิดผ่านไปโดยไม่พูด ไม่เคยหยุดที่จะแสดงความคิดเห็นดังใจบอก...ใช่ไหมครับ?

และถึงวันนี้ วันที่อาจารย์ทราบดีว่า เสียงอาจารย์กำลังจะหายไป ไม่ใช่ด้วยอำนาจใดๆ ยกเว้นสิ่งที่อาจารย์ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ใครก็ไม่สามารถทัดทานได้ อาจารย์จึงอยากให้เสียงของอาจารย์ยังคงอยู่ แม้ว่าอาจไม่ใช่ความคิดของอาจารย์เปี๊ยบ แต่ก็เป็นเสียงที่กลั่นกรองมาจากคำสั่งสอนของอาจารย์ เสียงที่ยึดมั่นในหัวใจของนักวิชาการไทย เสียงที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเอง

ถึงผมจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ประเภทหยำเป ไม่ได้เป็นนักวิชาการในอุดมคติ แต่อาจารย์เชื่อได้เลยครับว่า เสียงที่พูดแทนนก ที่พูดแทนปลา ที่พูดแทนสัตว์ป่าสัตว์ทะเล เสียงของอาจารย์ที่ดังอยู่ในสังคมไทยติดต่อกันกว่า 30 ปี จะไม่มีวันเงียบ จะไม่แผ่วจางไปด้วยอำนาจไหนๆ

เพราะเสียงนั้นเกิดจากความผูกพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ เกิดและกลั่นกรองมาจากกาลเวลาเกือบ 20 ปี เป็นเสียงที่ผมไม่มีวันยอมแลกกับสิ่งใด

และไม่ได้มีเพียงผมคนเดียว ยังมีลูกศิษย์ของอาจารย์อีกนับสิบนับร้อย ในยามที่สังคมไทยต้องการเสียงนั้น

เสียงของอาจารย์จะดัง และจะดังกระหึ่ม ให้รู้ว่าลูกศิษย์มีครูทั้งหลาย ไม่ได้ร่ำเรียนมาให้เงียบครับ
...

อาจารย์ครับ อาจารย์อยู่บนนั้นสบายดีใช่ไหมครับ อาจารย์อย่าลืมเฝ้าดูพวกผมด้วยนะครับ เหมือนที่อาจารย์ทำสมัยก่อน สมัยที่พวกเราไปประชุมกัน ไปนำเสนอผลงาน ไปร้องเย้วๆ อยู่หน้าชาวบ้าน ไปนั่งประจันหน้าสบตากับคนแทบทุกอาชีพทุกสาขา

อาจารย์อย่าลืมเอ็ดพวกผมด้วยนะครับ เหมือนอย่างที่อาจารย์โทรมาว้ากผมบ่อยๆ ไงครับ เวลาผมทำผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เวลาพูดแล้วกำกวม เวลาที่ออกจะหลงระเริงไปหน่อย เวลาไหนๆ ก็ได้ที่อาจารย์คิดว่าผมทำผิด

สังคมไทยของเรากำลังอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อครับ ผู้คนเริ่มให้ความสนใจทะเลมากขึ้น เรากำลังมีทะเลที่หลายคนเข้ามาเห็นเข้ามารับทราบ มีทะเลที่หลายคนอยากเข้ามาช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง

ผมเพิ่งทราบว่า การประชุมครั้งสุดท้ายที่อาจารย์จัดขึ้น เป็นการประชุมเรื่องการประสานงานสร้างเครือข่ายในกลุ่มผู้คนที่มีสิทธิช่วยทะเลได้ การประชุมที่ทั้งข้าราชการ นักวิชาการ และผู้คนทั่วไป ต่างร่วมกันเข้าประชุม

เพิ่งทราบว่า อาจารย์ที่อยู่ระหว่างการเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ออกมาจากโรงพยาบาลในตอนเช้าเพื่อร่วมการประชุมครั้งนี้ นั่งอยู่บนเวทีเป็นผู้ดำเนินรายการโดยตลอด ก่อนกลับเข้าโรงพยาบาลทันทีที่ประชุมเสร็จ โดยที่คนเกือบทั้งหมดไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอาจารย์ป่วย รวมถึงตัวผมเองด้วย

อาจารย์เอาความเข้มแข็งอย่างนั้นมาจากไหนครับ กำลังใจเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ

หรือว่านั่นคือสิ่งที่อาจารย์อยากบอกพวกเรา อยากให้งานสุดท้ายที่อาจารย์ทำได้ เป็นการเริ่มต้นให้พวกเรา อยากให้พวกเรารับทราบรับรู้ว่า การรักษาทะเล การทำนุบำรุงทะเล สิ่งที่จะทำให้ทะเลอยู่กับคนไทยไปได้นานๆ คือสิ่งนี้เท่านั้น สิ่งที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันสร้าง

ความร่วมมือที่กลั่นกรองมาจากใจ ปราศจากอคติใดๆ ความร่วมมือของคนที่มีใจรักทะเล
...

อาจารย์ครับ จดหมายถึงอาจารย์ฉบับนี้ คงต้องจบแล้วครับ ผมใช้เวลาทั้งวัน เขียนจดหมายฉบับเดียว ไม่ได้เขียนแล้วแก้แล้วเขียนใหม่นะครับ แม้บทความอื่นต้องค้นต้องคว้า ต้องเขียนซ้ำซากให้ตรงใจคนอ่าน แต่จดหมายนี้ไม่ต้องครับ ผมเพียงต้องล้างหน้าบ่อยครั้ง กว่าจะจบทั้งฉบับ ผมล้างหน้าไปยี่สิบกว่าครั้ง ล้างจนหน้าแห้งผากตาบวมปูด

อาจารย์คงเห็นด้วยกับผมที่จดหมายฉบับนี้ไม่ได้บอกเล่าถึงสิ่งที่อาจารย์ทำ ไม่ได้เชิดชูผลงานของอาจารย์ เพราะทุกสิ่งที่อาจารย์ทำ คนอื่นรู้อยู่แก่ใจ สำหรับคนที่ไม่ทราบ ผมเพียงแต่อยากบอกว่า นักสิ่งแวดล้อมดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา ได้จากพวกเราไปแล้วครับ

อาจารย์ครับ โลกนี้ผมโชคดีที่สุด ที่มีอาจารย์มาเป็นอาจารย์ของผม ของพวกเราทุกคน โลกหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ผมหวังเพียงว่าอาจโชคดีเหมือนโลกนี้

เขียนต่อไม่ได้แล้วครับ คิดถึงอาจารย์มากครับ วันนี้โทรศัพท์คุยกันหลายคนแล้ว ทุกคนล้วนคิดถึงอาจารย์ อาจารย์อย่าลืมพวกเรานะครับ

อยู่บนนั้นคอยดูพวกเราไว้ด้วยนะครับ นะครับอาจารย์
...

28 ปีให้หลัง เสียงของกลุ่มทุนดังเหลือเกิน หลายเสียงของสังคมแผ่วเบาลงไป
แต่ไม่ใช่เสียงของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของ “สุรพล สุดารา”
ไม่ใช่ในวันนี้ ไม่ใช่ในวันหน้า และไม่ใช่ตลอดไปดูเพิ่มเติม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม