ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 10-02-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ศรชล.เดินหน้ารุกฆาตรื้อขนำ-คอกหอยผิดกฎหมาย

สุราษฎร์ธานี - ศรชล.เดินหน้ารุกฆาตรื้อขนำ-คอกหอยผิดกฎหมายในทะเลอ่าวบ้านดอน จะต้องหมดก่อน 15 มีนาคมนี้ ก่อนเจอยาแรง



วันนี้ (9 ก.พ.) นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง พร้อมด้วย พล.ร.ต.สุรศักดิ์ ประทานวรปัญญา ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและกฎหมาย ศรชล. ลงพื้นที่กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยและแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรวจสอบความคืบหน้าแผนการรื้อถอนขนำคอกหอยผิดกฎหมาย ก่อนคืนพื้นที่ให้ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการดูแลต่อไป ซึ่งในวันนี้มีผู้นำท้องถิ่น ผู้ประกอบการเลี้ยงหอยแครงในพื้นที่ 5 อำเภอที่ติดชายฝั่งทะเล ที่ประกอบด้วย อ.ไชยา อ.ท่าฉาง อ.พุนพิน อ.เมืองสุราษฎร์ธานี อ.กาญจนดิษฐ์ เข้าร่วมประชุมรับฟังการชี้แจงจาก ศรชล.ส่วนกลาง ซึ่งทางผู้ประกอบการบางส่วนก็มีการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และมีบางส่วนที่ยินยอมรื้อถอนโดยไม่มีข้อแม้

สำหรับความคืบหน้าการรื้อถอนขนำและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่สาธารณะอ่าวบ้านดอน พื้นที่อำเภอเมือง มีทั้งหมด 89 ขนำ รื้อถอนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว 34 ขนำ ส่วนพื้นที่อำเภอพุนพิน มีทั้งหมด 83 ขนำ รื้อถอนเสร็จสิ้นแล้ว 16 ขนำ อ.กาญจนดิษฐ์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการรื้อขนำ มีขนำผิดกฎหมายทั้งหมด 434 หลัง ดำเนินการรื้อแล้ว 7 หลัง ขณะที่อำเภอไชยาและอำเภอท่าฉาง อยู่ในระหว่างการดำเนินการสำรวจขนำ

พล.ร.ต.สุรศักดิ์ ประทานวรปัญญา ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและกฎหมาย ศรชล.ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ขอผู้นำชุมชนและผู้ประกอบการให้เข้าใจตรงกันว่าไม่มีโรดแมปอื่นนอกจากโรดแมปทาง ศรชล.ได้กำหนดไว้ว่า ผู้ประกอบการในพื้นที่ 5 อำเภอจะต้องดำเนินการรื้อถอนขนำเฝ้าหอย และคอกหอยที่เป็นสิ่งผิดกฎหมายของกรมเจ้าท่าให้แล้วเสร็จภายใน 15 มีนาคมนี้ หากมีการฝ่าฝืนหรือดื้อแพ่ง ทาง ศรชล.ก็จะใช้กฎหมายที่รุนแรงสูงสุดเข้าดำเนินการเอาผิดให้ถึงที่สุด

และมีรายงานว่า ทีมสอบสวนของสำนักงาน ปปง. จะลงพื้นที่อีกครั้งในสัปดาห์หน้าเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดต่อผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนคำสั่งทางปกครองที่ให้รื้อสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางการเดินเรือในท้องทะเล


https://mgronline.com/south/detail/9640000013163


*********************************************************************************************************************************************************


นักวิทยาศาสตร์ชี้เป้า ?โลกร้อน? เหตุสำคัญธารน้ำแข็งหิมาลัยถล่ม


ผู้คนเดินผ่านเขื่อนที่ถูกทำลายหลังจากธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยแตกและชนเข้ากับเขื่อนที่หมู่บ้าน Raini Chak Lata ในเขต Chamoli รัฐอุตตราขัณฑ์ ประเทศอินเดีย (Credit Photo : Reuters)

สำนักข่าวอัลจาชีรา (8 ก.พ.2021) รายงานสะท้อนถึงสาเหตุของภัยพิบัติธารน้ำแข็ง Nanda Devi ในเทือกเขาหิมาลัยถล่ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า

แผ่นดินไหวและการสะสมของแรงดันน้ำอาจทำให้ธารน้ำแข็งแตกออก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อน ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณหิมะที่น้อยลงสามารถเร่งการละลายซึ่งทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่อาจเป็นอันตรายได้

"ธารน้ำแข็งบนภูเขาส่วนใหญ่ทั่วโลกในอดีตมีขนาดใหญ่กว่านี้มาก และได้ละลายและหดตัวลงอย่างมากเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน" ซาราห์ดาส (Sarah Das) นักวิทยาศาสตร์ร่วมจากสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์โฮลกล่าว

"มีการระบุสถานการณ์น้ำท่วมและธารน้ำแข็งที่อาจเป็นอันตรายถึงตายจำนวนหนึ่งทั่วโลกรวมทั้งในเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้

แต่สถานที่ห่างไกลของธารน้ำแข็งและการขาดการตรวจสอบ หมายความว่าเราไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นบ่อยเพียงใดและเพิ่มขึ้นหรือไม่" ดาส กล่าว

"เมื่อพิจารณาถึงรูปแบบโดยรวมของการร้อนขึ้นการล่าถอยของธารน้ำแข็งและการเพิ่มขึ้นของโครงการโครงสร้างพื้นฐานดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะตั้งสมมติฐานว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นบ่อยขึ้นและจะกลายเป็นการทำลายล้างโดยรวมมากขึ้นหากไม่มีการใช้มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้" ดาส กล่าว

" มีธารน้ำแข็งและทะเลสาบที่ถูกทำลายด้วยธารน้ำแข็งจำนวนมากทั่วเทือกเขาหิมาลัย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจสอบ" ดาส กล่าวอีกว่า

"ทะเลสาบเหล่านี้หลายแห่งอยู่ต้นน้ำของหุบเขาแม่น้ำที่สูงชันและมีโอกาสเกิดน้ำท่วมรุนแรงเมื่อเกิดการแตก เมื่อน้ำท่วมเหล่านี้ไปถึงพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานที่ละเอียดอ่อนสิ่งต่างๆจะเป็นหายนะ"

ก่อนหน้าเกิดภัยพิบัติธารน้ำแข็งหิมาลัยถล่มราวสองสัปดาห์

มีงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ The Cryosphere โดย Thomas Slater และคณะเมื่อวันจันทร์ที่ 26 ม.ค.2021 ว่าน้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลาย ในอัตราเร็วซึ่งน่ากังวลที่สุดเท่าที่ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) เคยคำนวณไว้

งานวิจัยสรุปความได้ว่า โลกได้สูญเสียน้ำแข็งไปกว่า 28 พันล้านตันในช่วงปี 1994-2017 ซึ่งเท่ากับปริมาตรน้ำแข็งสูง 100 เมตร บนพื้นที่ขนาดเท่าประเทศอังกฤษ 2/3 ของน้ำแข็งที่ละลายเกิดจากความร้อนของชั้นบรรยากาศ ส่วนอีก 1/3 จากมหาสมุทรที่ร้อนขึ้น

ในช่วงเวลาดังกล่าว น้ำแข็งละลายเร็วขึ้น 65% โดยปี 1990 อยู่ที่ปีละ 800 ล้านตัน ปี 2017 เพิ่มขึ้นถึง 1200 ล้านตันต่อปี ครึ่งหนึ่งของน้ำแข็งที่ละลายมาจากแผ่นดินไหลลงสู่ทะเล ทำให้ตั้งแต่ปี 1994-2017 น้ำทะเลสูงขึ้น 35 มิลลิเมตร

ยิ่งน้ำแข็งปริมาณมากที่ขั้วโลกที่ละลายไป ยิ่งทำให้สมดุลเสียและน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เดิมน้ำแข็งสีขาวช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป เมื่อพื้นที่สีขาวลดลง บริเวณพื้นที่สีเข้มเช่นน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ยิ่งดูดซับความร้อนมากขึ้นและเร่งการละลายยิ่งขึ้น
ธารน้ำแข็งกว่า 6 พันล้านตัน หรือคิดเป็น 1/4 ของธารน้ำแข็งทั่วโลกหายไปในช่วง 1994-2017 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและการขาดแคลนแหล่งน้ำจืดในหลายพื้นที่

"ขณะนี้น้ำแข็งกำลังละลายในอัตราเร็วที่แย่ที่สุด ที่องค์กร Intergovernmental Panel on Climate Change ได้เคยทำนายไว้ น้ำทะเลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบเลวร้ายต่อชุมชนชายฝั่งอย่างมากในศตวรรษนี้"

"ทุกๆ หนึ่งเซนติเมตรที่น้ำทะเลสูงขึ้น จะมีประชากรหนึ่งล้านคนได้รับผลกระทบ จนต้องย้ายที่อยู่"


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000012778
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม