ดูแบบคำตอบเดียว
  #63  
เก่า 21-07-2015
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,159
Default

คม ชัด ลึก


เรื่องเล่าอ่าวคั่นกระได จาก 'ผู้ร้าย' กลายเป็น 'พระเอก' (จบ) ................... รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม โดย เสาวลักษณ์ ประทุมทอง สมาคมรักษ์ทะเลไทย



เมื่อพวกเขารวมตัวกันได้ จึงก้าวข้ามความกลัว!!!

ในปี 2552 บ้านคั่นกระไดต้องเผชิญปัญหาครั้งใหญ่จากโครงการบ่อบำบัดขยะและโรงไฟฟ้าขยะที่จะเกิดขึ้นในบริเวณช่องเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้าน โครงการนี้ถูกชักนำเข้ามาโดยผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ชาวบ้านใน ต.อ่าวน้อย ต่างเกรงกลัวมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย

ภูเขาดังกล่าว มีชื่อว่า ทุ่งกระต่ายขัง ตั้งอยู่ห่างชายฝั่ง 500 เมตร และเป็นจุดกำเนิดต้นน้ำที่ใช้สำหรับผลิตน้ำประปาของหมู่บ้านในบริเวณดังกล่าว ส่วนพื้นที่ระหว่างช่องเขาก็ถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะจากเทศบาลเมืองประจวบฯ มาหลายปีแล้ว จนกองขยะเริ่มใหญ่โต ส่งกลิ่นเหม็น และควันไฟจากการเผาขยะก็แพร่ไปไกลถึงเรือประมงที่กำลังวางอวนหาปลา ภายใต้โครงการดังกล่าวนี้ ในอนาคตขยะจากทั้งจังหวัดหรืออาจรวมไปถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วย จะถูกขนมาจัดการที่นี่ ทำให้ชาวบ้านวิตกกังวลกันมาก แต่ที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือ ความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของผู้ที่ชักนำโครงการโรงไฟฟ้าขยะเข้ามา

“เรายกขบวนกันไปปรึกษาพี่กระรอก (กรณ์อุมา พงษ์น้อย ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก) ว่าจะเอายังไงกันดี พี่รอกบอกว่า อันดับแรกเลยต้องถามก่อนว่า ถ้าจะค้านเรื่องนี้ กลัวไหม ? พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ พี่รอกก็ว่าถ้าจะค้าน อันดับแรกต้อง ก้าวข้ามความกลัว ให้ได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกันว่าจะเดินกันยังไงต่อ”

ความโหดเหี้ยมมาแต่ครั้งอดีตของผู้มีอิทธิพลดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนใน ต.อ่าวน้อย เล่าขานกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า และคนคั่นกระไดเองบางคนก็เคยถูกข่มเหงรังแกมาก่อน การลุกขึ้นคัดง้างกับอำนาจอิทธิพลเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในแถบชายทะเล ต.อ่าวน้อย

“ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรามา เวลาอยู่ต่อหน้าเขาได้แต่ยืนเอามือกุมเป้า ถ้าเราไม่มีความกล้า ลูกเราก็ต้องยืนกุมเป้าต่อหน้าลูกเขาต่อไป” หรั่ง มองย้อนไปถึงความคิดในตอนนั้น

“ถ้าเรากลัวก็ต้องลำบากไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ถ้าเราสู้ตั้งแต่ตอนนี้ เรายังมีโอกาสรอด พี่น้อยบอกว่างั้นเราค้านกัน มากรีดเลือดกินน้ำสาบานกันเลย”

พวกเขายกขบวนกลับไปหาพี่กระรอกอีกครั้ง จากนั้นการวางแผน “เดินงานมวลชน” ก็เริ่มต้นขึ้น ภายใต้การหนุนช่วยของพันธมิตรจากบ้านทุ่งน้อย บ่อนอก บ้านกรูด ที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินมาก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ถูกกำชับมาจากนักต่อสู้รุ่นพี่ก็คือ พวกเขาจะต้องสู้ด้วยตัวเอง ต้องสร้างความคิด “พึ่งพาตนเอง” ให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องสมาชิกในชุมชนให้ได้

“วันแรกที่ออกไปแจกใบปลิว กลับมาถึงบ้านไม่กล้านอนบนเตียง ลงไปนอนอยู่ใต้เตียง กลัวมาก”

บุช เล่าถึงตัวเองอย่างขันๆ ชาวบ้านคั่นกระไดได้ก้าวข้ามความกลัวที่ฝังรากลึกอยู่ในชุมชนจนสำเร็จ ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าขยะได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนช่องเขาทุ่งกระต่ายขัง ที่ถูกเอกชนบุกรุกยึดครองไปเป็นที่ทิ้งขยะ ก็ถูกทางการยึดกลับมาเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินตามเดิม นี่คือผลพวงจากพลังแห่งความร่วมมือของคนเล็กคนน้อยในชุมชน

การ “ก้าวข้ามความกลัว” และหันกลับมา “พึ่งตัวเอง” ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในสำนึกของชาวบ้านคั่นกระได พวกเขาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการเคารพตนเอง เลิกมองตัวเองเป็นผู้ต่ำต้อยอ่อนแอ

กลุ่มประมงเรือเล็กอ่าวคั่นกระได มี “เสื้อเขียว” เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ขบวนการคนเสื้อเขียว” ที่ประกอบไปด้วยชุมชนนักต่อสู้รุ่นพี่อื่นๆ ตั้งแต่ อ.กุยบุรี อ.เมือง อ.ทับสะแก ไปจนถึง อ.บางสะพาน ชุมชนเหล่านี้ประสานกันเป็นเครือข่ายในนาม “พันธมิตรสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์” และเมื่อใดที่ชุมชนประสบปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่มาจากนโยบายของรัฐ พวกเขาก็จะรวมตัวกัน

“ยังจำคำพูดของพี่เจริญ(เจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก)ได้ดี ที่บอกว่า เราสู้ได้ ถ้าพี่น้องประชาชนรวมตัวกัน” คือคำพูดของหรั่งที่มักบอกเล่าต่อผู้มาเยี่ยมเยือนเสมอ

แต่ปัญหาก็ไม่จบเพียงแค่นั้น

11 สิงหาคม 2556 ปิยะ เทศแย้ม ชาวประมงแห่งบ้านทุ่งน้อย อ.กุยบุรี ถูกรุมซ้อมจนสะบักสะบอมขณะขึ้นปลาที่สะพานปลาประจวบฯ เขาคือนายกสมาคมประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้มีบทบาทในการดูแลรักษาทะเลมานานกว่าสิบปี ปิยะ ถูกรุมทำร้ายโดยสมุนของนายทุน “เรือคราดหอยลาย” ซึ่งมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มประมงพื้นบ้านแทบจะทุกๆ ชายฝั่งของประเทศไทยมาช้านาน และกลางท้องทะเลที่ไกปืนเที่ยง การสาดกระสุนปืนเข้าใส่เรือของกันและกันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในทุกภูมิภาค และอาจยังคงเกิดขึ้นได้อีกเสมอ

ราวปี 2554 เครือข่ายประมงพื้นบ้านจากหลายอำเภอเริ่มรณรงค์เคลื่อนไหวกดดันต่อทางจังหวัดให้แก้ไขปัญหาเรือคราดหอยอย่างจริงจัง โดยมีการเสนอข้อมูลวิชาการและข้อเรียกร้องต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ปรับปรุงกฎหมาย ขยายเขตห้ามคราดหอยจากระยะ 3,000 เมตรเป็น 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง และให้ทางจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างชุมชนและราชการเพื่อเฝ้าระวังเรือคราดหอยที่รุกล้ำเขตหวงห้าม

ด้วยการเกาะติดปัญหาของชาวบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่อาจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ดังเช่นที่เป็นมาได้อีกต่อไป เพียงไม่นานหลังจากนั้น เรือคราดหอยในอ่าวประจวบที่มีอยู่ทั้งสิ้น 7 ลำก็ต้องเปลี่ยนเครื่องมือไปทำประมงอย่างอื่น คงเหลือเพียง 2 ลำ ที่ยังออกคราดหอยลายตามเดิม

ในขณะเดียวกัน การแก้ไขกฎหมายที่ชาวบ้านผลักดันต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็มีความก้าวหน้าเป็นลำดับ ทางกระทรวงรับข้อเรียกร้องของชาวบ้านไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะแนวเขตที่เหมาะสมในทางวิชาการที่จะกำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเครื่องมือคราดหอย จนในที่สุดเดือนธันวาคม 2555 ก็มีการออกประกาศกระทรวงฯ กำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมือคราดหอยจากเดิม 3,000 เมตร เป็น 5,400 เมตร หรือ 3 ไมล์ทะเล ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 5 อำเภอนับตั้งแต่ อ.หัวหิน จนถึง อ.เมืองประจวบฯ

แม้ว่าประกาศกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดระยะหวงห้ามไว้เพียง 3 ไมล์ทะเล ไม่ใช่ 12 ไมล์ทะเลตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินยอมออกประกาศขยายเขตห้ามเรือคราดหอยตามคำเรียกร้องของชาวประมง ทำให้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดเดียวของประเทศไทยในขณะนี้ที่มีการขยายเขตอนุรักษ์ชายทะเลออกไปถึง 5,400 เมตร

อย่างไรก็ตาม เรือคราดหอย 2 ลำ ที่เหลือในอ่าวประจวบ ยังคงออกทำการอย่างไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อถูกชาวบ้านแจ้งจับหลายครั้งเข้าก็เกิดความโกรธแค้น และสั่งลูกน้องให้มาดักรุม ปิยะ ที่สะพานปลา

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ ปิยะ ถูกทำร้ายบาดเจ็บ ชาวบ้านร่วมร้อยคนจากหลายหมู่บ้านตำบลก็มาประชุมที่ศาลาบ้านโพธิ์เรียง ปิยะ ในสภาพหน้าตาบวมช้ำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สะพานปลาจนกระทั่งไปถึงสถานีตำรวจ ซึ่งผลปรากฏว่าตำรวจสั่งปรับทั้งสองฝ่ายโดยสรุปว่าเป็นเหตุทะเลาะวิวาท ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกดักรุมทำร้ายโดยชายฉกรรจ์ถึง 3 คน และในระหว่างที่ถูกรุม เขาได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดว่า “เสือกแจ้งดีนัก”

“ผมโทรแจ้งประมงให้ออกไปจับ ก็มีแต่ประมงที่รู้ว่าผมเป็นคนแจ้ง แล้วมันรู้ได้ไง”

ปิยะ ถามขึ้นโดยไม่ต้องการคำตอบ ที่ประชุมชาวบ้านต่างก่นด่า “ประมง” กันดังขรม ก่อนที่จะปรึกษาหารือกันถึงการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ ปิยะ หัวข้อถกเถียงมาสะดุดอยู่ที่การกำหนดวันเคลื่อนไหวที่หาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้เสียที เพราะชาวบ้านต้องประสานงานนัดหมายกันถึง 14 หมู่บ้านอย่างกะทันหัน

“โต้ง” ภูษิต จิตรจำลอง จากบ้านคั่นกระได ที่ปกติแล้วเป็นคนพูดน้อย จึงลุกขึ้นกล่าวเสียงดังว่า

“เราไม่ใช่คนทุ่งน้อยก็จริง แต่เห็นแล้วยอมไม่ได้ ถ้าใครไปเห็นปิยะถูกทำเมื่อวานนี้ เห็นลูกปิยะที่เดือดร้อนตอนนี้ จะบอกได้เลยว่าพรุ่งนี้ก็ไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าทำมันเลยเรื่องอนุรักษ์น่ะ”

ทุกคนต่างปรบมือสนับสนุนความเห็นของโต้ง การตัดสินใจของเครือข่ายประมงพื้นบ้านครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ เช่นนี้เอง

13 สิงหาคม 2556 ขบวนชาวบ้านจาก 14 หมู่บ้านใน อ.กุยบุรี และ อ.เมือง ตั้งแถวยาวเหยียดออกเดินรณรงค์รอบเทศบาลเมืองประจวบฯ ปราศรัยบอกเล่าปัญหาของเรือคราดหอยที่ทำลายทรัพยากร และความป่าเถื่อนที่กระทำต่อ ปิยะ เทศแย้ม ต่อสังคม สุดท้าย ขบวนแถวชาวบ้านก็ไปหยุดยั้งอยู่ที่สุดปลายอ่าวประจวบ ใกล้บ้านของนายทุนเรือคราดหอยคู่กรณี เรือคราดหอยยังคงลอยลำสงบนิ่งอยู่หน้าหาด

เสียงปราศรัยของ ปิยะ ดังก้องไปทั่วตลาด เพื่อให้นายทุนเห็นว่า จะต้องต่อสู้กับอะไร ถ้ายังขืนใช้อิทธิพลเถื่อนคราดหอยแบบเดิม ท่ามกลางขบวนชาวประมง 14 หมู่บ้านที่หน้าตาเคร่งเครียดขมึงทึง

การเจ็บตัวของปิยะไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า เพราะพี่น้องชาวประมงไม่ปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว หลังจากออกมารณรงค์ปัญหาต่อสาธารณะในครั้งนี้ ก่อนสิ้นปี 2556 ชาวบ้านก็ได้รับข่าวดีว่า เรือคราดหอยเกเร 2 ลำสุดท้ายของอ่าวประจวบ ได้ยุติอาชีพคราดหอยลงแล้วโดยสิ้นเชิง

__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 21-07-2015 เมื่อ 15:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม