ชื่อกระทู้: แผ่นดินที่หายไป (3)
ดูแบบคำตอบเดียว
  #39  
เก่า 23-03-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default


แผ่นดินที่หายไปที่ “ขุนสมุทรจีน” .................. โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย ชัชวัสส์ คติพิพัฒน์พร วรรณวณัช สุดจินดา



การแก้ปัญหาการกัดเซาะของชุมชนชายฝั่งหลายพื้นที่เริ่มตั้งหลักได้ คือความหวังที่ทำให้ชาวชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เชื่อว่าพวกเขาก็น่าจะมีวิธีหยุดการกัดเซาะชายฝั่งได้เช่นกัน อีกทั้งพื้นที่แห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ของเขื่อนป้องกันการกัดเซาะต้นแบบที่เป็นงานวิจัยของนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้ชื่อโครงการเขื่อนกั้นคลื่น 49A2 อีกด้วย

“ในอดีตบริเวณนี้มีแผ่นดินเต็มไปหมด ปัจจุบันทะเลรุกเข้ามาหลายกิโลเมตร ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หมู่ 8 หายไปจากแผนที่ประเทศไทยแล้ว” ผู้ใหญ่สมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ตำบลแหลมฟ้าผ่าบอกกับทีมงานผู้จัดการ 360 ํ

ในอดีตชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนเป็นชุมชนชายฝั่งที่หากินกับทะเล พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรสัตว์น้ำ ทุกคนจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีที่ทำกินเป็นของตนเอง มีเพียงที่ปลูกบ้านที่อยู่อาศัยก็เพียงพอแล้ว

“ผู้คนที่นี่มีแต่ที่อยู่อาศัย ไม่มีที่ทำกิน ซึ่งก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะแค่ออกไปหาหอย หาปู ก็พออยู่พอกินซึ่งถือว่าพอเพียงแล้ว ได้วันละ 200-300 บาท วันไหนได้น้อย 50-60 บาทก็ไม่ขาดทุนเพราะเราไม่มีต้นทุน ไม่ได้ใช้เครื่องมือที่ต้องใช้น้ำมัน พูดง่ายๆ คือใช้มือเก็บสัตว์น้ำนั่นเอง” ผู้ใหญ่สมรบอกกับทีมงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ปัญหาใหญ่สุดที่ชาวบ้านและผู้ใหญ่สมรต้องเผชิญอยู่ก็คือปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่นับวันยิ่งจะรุนแรงขึ้นทุกที เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของชายฝั่งซึ่งมีระนาบขององศาที่อยู่ในเกณฑ์ชันมาก

เมื่อถามว่าปัญหาการกัดเซาะได้เริ่มขึ้นเมื่อใด ผู้ใหญ่สมรบอกว่า เริ่มมาตั้งแต่อดีตแล้ว เป็นภัยธรรมชาติ โดยดูได้จากลึกลงไปในทะเล 2-3 เมตรมีการขุดพบชุมชนโบราณชุมชนหนึ่งซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า มีการกัดเซาะชายฝั่งหรือแผ่นดินมาตั้งแต่ครั้งโบราณเลยทีเดียว

อีกทั้งภาพถ่ายในอดีตสมัยที่ผู้ใหญ่สมรยังสาวๆ เธอหยิบมาโชว์กับผู้จัดการ 360 ํ แสดงให้เห็นว่าชายฝั่งทะเลอยู่ห่างจากหมู่บ้านในปัจจุบันประมาณ 2 กิโลเมตร กว่า หลังหมู่บ้านก็จะเป็นวัดขุนสมุทรจีน ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณกิโลเมตรกว่าๆ และจากหมู่บ้านนั้นก็ห่างจากชายฝั่งปัจจุบันอีกประมาณ 1 กิโลเมตร

ปัจจุบันวัดขุนสมุทรจีนถูกน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นเกาะไปแล้ว จากเนื้อที่วัดเป็น 100 ไร่ตอนนี้เหลืออยู่แค่ 5-6 ไร่ เมื่อรวมระยะการกัดเซาะเปรียบเทียบพื้นที่จากอดีตที่มีหลักฐานภาพถ่ายก็พบว่า น้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาเป็นระยะกว่า 5 กิโลเมตรแล้ว นี่ยังไม่รวมข้อมูลจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่บอกว่าเคยมีการกัดเซาะมากกว่า 10 กิโลเมตรในอดีต

“นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วนะ จะเห็นว่าแนวเสาไฟฟ้าที่อยู่ไกลๆในทะเลนั่น เมื่อก่อนปักบนดิน ตอนนี้แผ่นดินหายหมด แล้วเหลือแต่เสาไฟฟ้าซึ่งห่างจากตลิ่งตั้ง 2 กิโลเมตร” ผู้ใหญ่สมรเปรียบเทียบระยะการกัดเซาะ

ผู้ใหญ่สมรเชื่อว่าสาเหตุหลักของการกัดเซาะส่วนใหญ่แล้วเกิดจากธรรมชาติและ ภูมิศาสตร์ของชายฝั่งเอง ส่วนที่มีผู้บอกว่าเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าและทำบ่อเลี้ยงกุ้ง ในพื้นที่นั้นเป็นความจริงเพียงบางส่วน เพราะว่าการตัดไม้ในพื้นที่นั้นเป็นการใช้ภูมิปัญญาของชาวบ้านซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่สั่งสอนไว้ว่าเวลาตัดไม้ไปใช้ให้แบ่งป่าไม้ออกเป็นแปลงๆ อย่าตัดทีเดียวหมด เมื่อตัดแปลงที่หนึ่งแล้วให้ปลูกเสริมรอโต ในขณะที่ตัดแปลงที่สองและที่สามในระยะต่อมา แปลงที่หนึ่งก็จะโตให้หมุนเวียนมาตัดใหม่ได้อีก และอีกอย่างหนึ่งก็คือป่าถูกทำลายโดยน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามา ชาวบ้านถึงไปตัดไม้ที่มันล้มอยู่ ส่วนการทำนากุ้งนั้น อย่าลืมว่าชาวบ้านไม่มีที่ทำกิน ดังนั้นการทำบ่อเลี้ยงกุ้งจึงเป็นของนายทุนซึ่งชุมชนไม่สามารถไปยับยั้งได้ แต่ปัจจุบันนี้นากุ้งก็ไม่มีแล้วเนื่องจากพื้นที่ถูกกัดเซาะไปหมด

ภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่องการตัดไม้ของขุนสมุทรจีนไม่ต่างจากหลักการทำป่าไม้ที่ใช้กันในยุโรปหรือประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก ซึ่งถือเป็นแนวทางการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน มีการใช้แบบหมุนเวียน เพราะโดยหลักวิชาการแล้วไม้ที่โตเต็มที่จะมีปริมาณการเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในต้นไม้ได้ต่ำกว่าไม้ที่อยู่ระหว่างเติบโต การตัดทิ้งแล้วให้ไม้รุ่นใหม่เติบโตจะเป็นผลดีต่อโลกมากกว่า แต่ด้วยความไม่เข้าใจบวกกับความโลภของมนุษย์ จึงนิยมที่จะฆ่าห่านทองคำไปเป็นอาหารมากกว่าจะรอเก็บไข่ไปขาย

การแก้ปัญหาของพื้นที่ขุนสมุทรจีนในช่วงแรกๆ เป็นการนำหินไปถมบริเวณชายฝั่ง เพื่อป้องกันการกัดเซาะ และยังคงทำต่อเนื่องแม้ในปัจจุบัน รอบวัดขุนสมุทรจีนที่มีกำแพงหินล้อมรอบ

“พวกเราทอดผ้าป่า ทอดกฐินที่วัด ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ไปซื้อหินมาลงหมด เพราะเราต้องการรักษาพื้นที่วัดตรงนี้ไว้” ผู้ใหญ่สมรพูดด้วยแววตาที่มีความวิตกกังวล

ระยะหลังบ้านขุนสมุทรจีนจึงเริ่มปักแนวไม้ไผ่ ตามอย่างชุมชนชายฝั่งในเครือข่าย แต่สำหรับที่นี่ไม้ไผ่ไม่สามารถป้องกันคลื่นที่ความแรงมากกว่า

โดยเฉพาะคลื่นลมในฤดูที่พัดจากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพัดเข้าปะทะพื้นที่เต็มๆ ไม้ไผ่ที่ปักไว้ถึงกับหลุดไปตามกระแสน้ำ

อย่างไรก็ตาม ทางชุมชนได้ขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานราชการและเอกชนต่างๆ ผลที่ได้กลับมาก็คือ บางหน่วยงานก็ไม่สนใจ หน่วยงานที่สนใจก็ไม่ได้ทำตามความต้องการของชาวบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ไส้กรอกทราย ซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เท่าที่ควร เวลาไส้กรอกทรายแตกจะทำให้ทรายในถุงไหลออกมาปนเปื้อนกับหาดโคลนทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนไป รวมไปถึงเศษถุงที่ห่อหุ้มทรายก็กลายเป็นขยะในทะเล

ในความคิดของผู้ใหญ่สมรบอกว่า สิ่งที่ชาวบ้านต้องการคือเสาไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว เพื่อนำมาปักไว้เป็นเขื่อนชะลอคลื่น การปักเสาไฟเป็นความคิดของชาวบ้านที่เชื่อว่าสามารถจะต้านทานคลื่นได้ แต่จากที่นักวิชาการนำโดย รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้ามาศึกษาวิจัย ออกแบบเขื่อนสลายกำลังคลื่นที่มีชื่อว่า “ขุนสมุทรจีน 49A2” ก็เป็นผลงานที่ชาวบ้านตอบรับว่าใช้ได้ผล

ขุนสมุทรจีน 49A2 ทำให้ชั้นตะกอนหลังเขื่อนเพิ่มขึ้น ให้ชาวบ้านเพิ่มพื้นที่ป่าได้เห็นเป็นรูปธรรม แต่น่าเสียดายที่งบประมาณสำหรับงานวิจัยนี้หมดแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มดำเนินการเป็นระยะทางของเขื่อนแค่ 250 เมตรเท่านั้น ขณะที่สภาพปัญหาในพื้นที่ยังไม่หมดไป เนื่องจากความยาวของบ้านขุนสมุทรจีน มีมากกว่า 2 กิโลเมตร ดังนั้นชาวชุมชนเลยช่วยตัวเองด้วยการขอการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างๆ ซึ่งชาวชุมชนก็ยังรองบประมาณนี้ด้วยจิตใจที่มีความหวังว่าจะหยุดการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งในขณะเดียวกันก็เพิ่มแผ่นดินและป่าชายเลนให้กับประเทศชาติ

“หลายคนมาทำงานวิจัยที่นี่แล้วก็เงียบไป มีแต่ความคิดในอนาคต แต่เราอยู่กับพื้นที่เรารอพวกนี้ไม่ได้ นักวิจัยบางท่านกล่าวว่า ถ้าจะแก้ไขที่นี่ต้องอีกประมาณ 50 ปี แต่ผมว่าถ้ารออีก 50 ปี รับรองว่าบ้านขุนสมุทรจีนหายไปจากแผนที่ประเทศไทยแน่นอน” วิษณุ เข่งสมุทร ลูกชายของผู้ใหญ่สมรและนักวิจัยชุมชนท้องถิ่นกล่าวกับผู้จัดการ 360 ํ

แนวคิดของวิษณุก็คือ แทนที่จะเสียงบวิจัยเพื่อขุนสมุทรจีน สู้เอางบตัวนี้มาทำเขื่อนสลายคลื่นดีกว่า แล้วทยอยปลูกป่าชายเลนที่หลังเขื่อน

ผู้ใหญ่สมรและลูกชายค่อนข้างเชื่อในประสิทธิภาพของขุนสมุทรจีน 49A2 เพราะ เห็นว่าไม้ไผ่ที่ใช้ได้ผลในพื้นที่อื่น แต่ต้านทานแรงลมในพื้นที่นี้ไม่ได้

“บางครั้งถ้าจะแก้ไขปัญหาในชุมชน ต้องให้ชุมชุนเข้ามามีส่วนในการแก้ปัญหาด้วย แม้เราจะมีคนนอกเข้ามาช่วยทำเขื่อนสลายคลื่น ซึ่งต้องขอบคุณทั้ง สกว.และจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยที่ส่งบุคลากรเข้ามาช่วยพร้อมกับทุนในการทำเขื่อน โครงการของเรายังจะช่วยไม่ให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองบาดาลดังคำนาย เราขอแค่แผ่นดินบ้านขุนสมุทรจีนนี้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่ถูกผลพวงของภัย ธรรมชาติและการถูกกัดเซาะจากน้ำทะเล แผ่นดินที่เหลือนี้เราจะรักษาไว้ให้ชาติ และจะช่วยกันปลูกป่าเพื่อตอบโจทย์และเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในเวลานี้ เพื่อให้ลูกหลานของเราได้มีใช้กันต่อไป” วิษณุกล่าวทิ้งท้าย

แนวคิดและวิธีการแก้ปัญหาของบ้านขุนสมุทรจีน โคกขาม และบางขุนเทียนต่างก็ได้จากการเรียนรู้ธรรมชาติและทดลองปฏิบัติจริงในแต่ละพื้นที่ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ชายฝั่งที่แตกต่างกัน มีการลองผิดและลองถูก ประโยชน์ที่พวกเขาได้รับจากการเรียนรู้จนเข้าใจธรรมชาติ จนกระทั่งรู้ว่าต้องจัดการแก้ไขปัญหาในธรรมชาติเพื่อชุมชนอย่างไรนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่สามารถตามทันการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่แปรปรวนมากขึ้นและยังไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ได้แต่หวังว่าต่อจากนี้ไปอีก 50 ปี 100 ปีข้างหน้า ผู้มีความรู้และมีอำนาจมากกว่าเขาจะมีส่วนช่วยเข้ามาวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนของชุมชนเหล่านี้ให้คงอยู่กับผืนแผ่นดินไทยไปตราบนานเท่านาน แทนที่จะปล่อยพวกเขาอยู่กับการแก้ปัญหาไปวันๆ หรือซ้ำร้ายอาจจะต้องรอเผชิญกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างที่หวั่นกลัวกันเช่นนี้ต่อไป



จาก ..................... นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เดือนมีนาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม