ชื่อกระทู้: กรุงเทพฯจะ จมน้ำ (2)
ดูแบบคำตอบเดียว
  #22  
เก่า 31-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


ขั้วโลกละลาย...น้ำทะเลเพิ่มสูง หนึ่งชนวนวิกฤติ 'น้ำท่วมกรุง'!?



นาทีนี้หากใครติดตามข่าวสารมาโดยตลอดจะทราบว่าคงไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียวที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ เพราะทั่วโลกในหลายๆประเทศต่างก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน แต่อาจจะมากหรือน้อยแตกต่างไป และนี่อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างถึงความผิดปกติของโลกของเราในวันนี้ เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น แล้วปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลนี้จะท่วมโลกหรือไม่อย่างไร...?!?

ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงก็เหมือนว่าเรากำลังเผชิญกับปัญหาอันหนักอึ้งและใหญ่หลวงมากหลายล้านเท่าหรือจะเป็นไปได้ว่าโลกของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่ยุคเมื่อ 10,000 ปีแล้วก็อาจเป็นได้…!!

ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี ให้ข้อมูลย้อนกลับไปว่า เมื่อประมาณ 12,000 ปีที่แล้วโลกอยู่ในยุคน้ำแข็ง บริเวณอ่าวไทยมีสภาพเป็นพื้นดินที่มีแม่น้ำไหลผ่าน เนื่องจากระดับน้ำทะเลในขณะนั้นมีระดับต่ำกว่าปัจจุบันเป็นอย่างมาก จวบจนสิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นและไหลท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำโดยรอบอ่าวไทย

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคโลกร้อนและถึงจุดสูงสุดเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 4 เมตร และน้ำทะเลได้ท่วมเข้าไปไกลสุดถึงบริเวณตอนบนของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการตกทับถมของตะกอนจากน้ำทะเลเป็นชั้นดินโคลนสีดำเนื้อนิ่ม และมีซากเศษหอยทะเลปนอยู่ทั่วไป อย่างเช่น เปลือกหอยนางรมยักษ์ที่พบอยู่ที่วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ต่อมาระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยขยับตัวขึ้นลงตามสภาพภูมิอากาศที่ผันผวน จนกระทั่งเมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลได้ลดลง ทำให้เกิดพื้นที่ชายฝั่งเช่นในปัจจุบัน

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลนั้นมีมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในช่วงที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นก็จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มระดับสูงขึ้นตามไปด้วย และในช่วงที่โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งระดับน้ำทะเลก็จะลดลง ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางกรมทรัพยากรธรณีได้มีการศึกษาและติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ แต่จากการศึกษาเรื่องระดับน้ำทะเลในประเทศไทยนั้น เราพบว่ามีปัญหาเรื่องของการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกและทรุดตัวของพื้นดินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการปรับกระบวนการวัดระดับน้ำทะเลเพื่อหาค่าระดับที่แท้จริงของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมบูรณ์ ซึ่งจากข้อมูลการตรวจวัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี และนำมาประมวลผล เราพบว่าระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นประมาณ 4 มิลลิเมตรต่อปี

นอกจากปริมาณน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ในส่วนของการทรุดตัวของพื้นดินของที่ราบลุ่มภาคกลางนั้น มีอัตราแตกต่างกัน แล้วแต่บริเวณโดยมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งความหนาของชั้นดินโคลนทะเล การลดระดับของน้ำบาดาล และการพัฒนาพื้นที่ ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมาพื้นดินที่ราบลุ่มภาคกลางติดชายทะเลมีอัตราการทรุดตัวของพื้นดินประมาณ 2-5 เซนติเมตรต่อปี โดยพื้นที่ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีอัตราการทรุดตัวน้อยกว่าทางด้านตะวันออก ตามความหนาของชั้นดินโคลนทะเล ซึ่งจะมีความหนามากที่สุดอยู่ทางตะวันออกของกรุงเทพฯ ในเขตลาดกระบัง และหนองจอก และต่อเนื่องไปจนถึงอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยชั้นดินโคลนทะเลในบริเวณดังกล่าวมีความหนามากกว่า 18 เมตร อัตราการทรุดของพื้นดินในบริเวณดังกล่าวจะลดลง เนื่องจากชั้นดินโคลนทะเลมีการเกาะตัวกันแน่นขึ้น

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอ่าวไทยตอนบน เป็นผลมาจากการทรุดตัวของพื้นดินมากกว่าการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมบูรณ์ ซึ่งบางคนอาจไม่ทราบว่าบางพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ติดกับชายทะเล พื้นดินทรุดตัวลงจนกระทั่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบในหลายด้านดังที่พบเห็นในปัจจุบัน เช่น การกัดเซาะชายฝั่ง การท่วมขังของน้ำทะเลในพื้นที่ลุ่มต่ำ และมีผลต่อระบบการระบายน้ำลงทะเลทำได้ยากขึ้น

ปัญหาเหล่านี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากลักษณะธรณีสัณฐานของพื้นที่ภาคกลางมีลักษณะค่อนข้างลุ่มต่ำมีความลาดชันน้อยมาก เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประกอบกับพื้นดินทรุดตัว จึงส่งผลให้เหตุการณ์น้ำขึ้นน้ำลงประจำวันของทะเลมีอิทธิพลต่อพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางมากขึ้นทุกวัน และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลและสองฝั่งแม่น้ำ

ปัจจุบันได้ส่งผลกระทบต่อการระบายน้ำที่ท่วมขังอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการระบายน้ำตามแม่น้ำสายหลัก ซึ่งได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางปะกง หากระดับน้ำทะเลมีระดับสูงกว่า น้ำก็ไม่สามารถระบายลงสู่ทะเลได้ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง และต้องกระทำด้วยความรอบคอบ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อปกป้องเมืองหลวงของพวกเราให้รอดพ้นจากพิบัติภัยธรรมชาติครั้งนี้ให้ถึงที่สุด

วิกฤติมหาอุทกภัยร้ายแรงในปี พ.ศ. 2554 นี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่เราต้องนำมาศึกษาหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์อันชอกช้ำนี้เกิดขึ้นมาซ้ำรอยได้อีกในอนาคต…!!.

.....................

แนวคิดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของเนเธอร์แลนด์

ประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนแห่งกังหันลมมีสภาพปัญหาใกล้เคียงกับพื้นที่ลุ่มภาคกลางของประเทศไทย คือตั้งอยู่บนพื้นที่ปากแม่น้ำสายใหญ่ มีพื้นที่ลุ่มต่ำ น้ำทะเลรุกเข้ามาในแผ่นดิน และในอดีตเคยประสบปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน สร้างความสูญเสียทั้งทางด้านชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคนฮอลแลนด์จึงมีความคิดที่จะสร้างคันกันน้ำทะเลมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งปี ค.ศ.1918 โครงการสร้างคันกั้นน้ำทะเลขนาดใหญ่จึงได้รับการอนุมัติ และเริ่มสร้างจนกระทั่งแล้วเสร็จเมื่อปี 1932 โดยคันกั้นน้ำหลักมีชื่อว่า Afsluitdijk ตัวคันกว้าง 90 เมตร ยาว 32 กิโลเมตรและสูงกว่าน้ำทะเล 7.25 เมตร เมื่อกั้นเสร็จแล้วพื้นที่ด้านในได้กลายเป็นทะเลสาบปิดขนาดใหญ่ มีชื่อว่า Ijsselmeer หลังจากนั้นจึงเริ่มวิดน้ำออก ทำให้ระดับน้ำลดลง พื้นที่บางส่วนโผล่พ้นน้ำ ปัจจุบันประเทศเนเธอร์แลนด์ได้พื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วมกลับคืนมาแล้ว จึงได้นำพื้นที่ดังกล่าวมาทำเป็นพื้นที่การเกษตรเป็นหลัก และบางส่วนสร้างเป็นเมืองใหม่.




จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 31 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม