ดูแบบคำตอบเดียว
  #6  
เก่า 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,359
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


นักวิทยาศาสตร์กำลังเรียนรู้ที่จะพูดภาษาวาฬ ................ โดย แคเธอรีน ลาแธม ผู้สื่อข่าวฟีเจอร์


วาฬหลังค่อมและลูกของมัน
ที่มาของภาพ,JODI FREDIANI



นักวิทยาศาสตร์เพิ่งมีการ "สนทนา" กับวาฬเป็นครั้งแรกของโลก ขณะนี้ นักวิจัยกำลังพยายามไขปริศนาว่า เหล่าวาฬต้องการจะสื่อสารอะไรกันแน่

เสียง "ธรอป" อันดังกึกก้องเลียนแบบเสียงคราง ถูกส่งออกมาจากลำโพงใต้น้ำของเรือวิจัย วาฬหลังค่อมตัวหนึ่งแยกตัวออกจากฝูงและว่ายน้ำเข้ามาหา มันวนรอบตัวเรือ โผล่ขึ้นมาหายใจแล้วดำลงไปอีก หางจมหายลงสู่น้ำอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับร้องเลียนเสียงนั้นตอบกลับ

เหล่านักวิจัยที่ "สนทนา" กับวาฬหลังค่อมตัวนี้ บอกว่า การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจเป็นก้าวแรกสู่การสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอัจฉริยะต่างสายพันธุ์ โดยมันเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2021 บริเวณนอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของอะแลสกา เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์ 6 คน ได้เปิดเสียงบันทึกเสียงทักทายของวาฬหลังค่อมผ่านลำโพงใต้น้ำ พวกเขาต้องตะลึงพรึงเพริดเมื่อวาฬหลังค่อมตัวหนึ่งที่พวกเขาตั้งชื่อว่า ทเวน ตอบสนองกลับมาในลักษณะที่เหมือนการสนทนา

โจซี ฮับบาร์ด นักพฤติกรรมสัตว์ผู้กำลังศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส กล่าวว่า "มันเหมือนกับได้สัมผัสกับโลกอีกใบหนึ่ง คุณจะได้ยินเสียงพวกมันโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แล้วก็มีเสียงหายใจแรง ๆ คุณมองเห็นมัน และพวกมันอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม มันวิเศษจริง ๆ"

ฮับบาร์ดอยู่บนเรือวิจัยที่กำลังลอยลำ โดยเครื่องยนต์ทั้งหมดถูกปิดเงียบอยู่ในเฟรเดอริก ซาวน์ รัฐอะแลสกา ขณะที่เธอพบเข้ากับวาฬหลังค่อมเป็นครั้งแรก "ตามกฎระเบียบแล้ว คุณต้องหยุดห่างจากวาฬประมาณสองร้อยถึงสามร้อยเมตร และดับเครื่องยนต์" ฮับบาร์ด กล่าว เธอบอกว่า วาฬอาจจะเข้ามาหาบ้าง ในกรณีนี้ ทเวน วัย 38 ปี ได้เคลื่อนตัวเข้ามาหาเรือ และวนรอบเรือเป็นเวลา 20 นาที

ฮับบาร์ดเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัยเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ทรงภูมิปัญญา (Search for Extraterrestrial Intelligence) เรียกย่อ ๆ ว่า "SETI" พวกเขาหวังที่จะทำความเข้าใจความซับซ้อนในการสื่อสารและสติปัญญาของวาฬหลังค่อม และเมื่อขณะอยู่บนชั้นดาดฟ้าด้านบน ฮับบาร์ด ก็ลืมไปสนิทเลยว่านักวิทยาศาสตร์ด้านเสียงกำลังทำงานอยู่ใต้น้ำ

ด้านล่างนั้น เบรนดา แม็คโคเวน กำลังส่งเสียงเรียกติดต่อของวาฬหลังค่อมที่บันทึกไว้ เสียง "วัป" หรือ "ธรอป" ถูกส่งผ่านลำโพงใต้น้ำ ในที่สุดทเวนก็ว่ายจากไป ด้านฮับบาร์ดวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อพบกับความตื่นเต้น เมื่อทราบว่าทเวนได้ "พูด" ตอบกลับ และมีส่วนร่วมในการ "สนทนา" ที่กินเวลานานถึง 20 นาทีเต็ม

บทเพลงขับร้องของวาฬที่กินเวลาค่อนข้างนาน เป็นจังหวะ และมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ สามารถเดินทางข้ามแอ่งมหาสมุทรได้ทั้งแอ่ง พวกมันสื่อสารกันด้วยเสียงหวีด ๆ และเสียงสั่น หรือใช้การสะท้อนเสียงเพื่อสร้างภาพจำลองของโลกใต้ทะเล

มนุษย์ถูกวาฬมัดใจมาหลายศตวรรษแล้ว ในความเป็นจริง พวกมันแสดงพฤติกรรมมากมายที่คล้ายกับมนุษย์ วาฬร่วมมือกันเองเช่นเดียวกันกับสัตว์สายพันธุ์อื่น ๆ พวกมันสอนทักษะที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดูแลลูกของกันและกัน และเล่นด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม พวกมันต่างจากมนุษย์ตรงที่ประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุดของวาฬไม่ใช่การมองเห็น แต่เป็นการได้ยิน เมื่อดำดิ่งลงไป 200 เมตรใต้ผิวน้ำ คุณจะเดินทางไปไกลเกินกว่าที่แสงจะส่องถึง ในทางกลับกัน เสียงสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลกว่าและเร็วกว่าในน้ำมากกว่าในอากาศ

วาฬบาลีน รวมถึงวาฬหลังค่อม วาฬขวา และวาฬสีน้ำเงิน ได้วิวัฒนาการกล่องเสียงที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้พวกมันสร้างเสียงความถี่ต่ำพิเศษที่สามารถเดินทางได้ไกลเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น วาฬสีน้ำเงินปล่อยเสียงความถี่ต่ำถึง 12.5 เฮิรตซ์ จัดเป็นเสียง "อินฟราซาวด์" ซึ่งต่ำกว่าระดับที่หูมนุษย์จะได้ยิน ในขณะเดียวกัน วาฬมีฟัน ซึ่งรวมถึงวาฬสเปิร์ม (หรือวาฬหัวทุย) โลมา พอร์พอยส์ และวาฬเพชฌฆาต จัดเป็นสัตว์ที่ส่งเสียงได้ดังที่สุดชนิดหนึ่งบนโลก และใช้เสียงคลิกความถี่สูงมากสำหรับการสะท้อนเสียง เพื่อ "มองเห็น" โลกของพวกมัน เช่นเดียวกับการใช้การสั่นสะเทือนที่แผ่เป็นคลื่นอ่อน ๆ และเสียงหวีดเพื่อสื่อสารจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในน้ำได้วิวัฒนาการมานานกว่า 50 ล้านปี เพื่อสร้างและรับฟังเสียงที่ซับซ้อนหลากหลาย พวกมันอาศัยเสียงในการสื่อสารกันเอง นำทาง หาคู่และหาอาหาร ปกป้องอาณาเขตและทรัพยากร และหลีกเลี่ยงผู้ล่า ลูกวาฬส่งเสียงอ้อแอคล้ายกับทารกมนุษย์ เชื่อกันว่าบางตัวมีชื่อเป็นของตัวเอง และวาฬกลุ่มต่าง ๆ จากบริเวณต่าง ๆ ของมหาสมุทรมีสำเนียงถิ่นที่แตกต่างกัน มีการบันทึกเสียงวาฬเลียนแบบสำเนียงถิ่นของกลุ่มแปลกถิ่น และบางคนยังคิดว่าวาฬบางตัวเคยลองเลียนแบบภาษาของมนุษย์

เสียงร้องของวาฬหลังค่อมนั้น เชื่อกันว่ามีความซับซ้อนมากที่สุดชนิดหนึ่งในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ บนโลก การบันทึกเสียงร้องของวาฬหลังค่อมครั้งแรก ทำโดยวิศวกรกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา แฟรงก์ วัตลิงตัน ในปี 1952 เกือบ 20 ปีต่อมา นักชีววิทยาทางทะเล โรเจอร์ เพย์น สังเกตว่า เสียงร้องเหล่านี้ถูกจัดระเบียบเป็นรูปแบบที่ซ้ำ ๆ การค้นพบนี้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเสียงร้องของวาฬ และจุดประกายความสนใจที่นำไปสู่การวิจัยยาวนานหลายทศวรรษ

กลับมาที่ปัจจุบัน ทีมวิจัย SETI หวังว่าการถอดรหัสการสื่อสารของวาฬจะช่วยให้เราเข้าใจมนุษย์ต่างดาว หากเขาพบเจอพวกมัน ทีมวิจัยนี้ตั้งสมมติฐานว่า เสียงของวาฬประกอบด้วยข้อความที่ซับซ้อนและชาญฉลาด คล้ายกับภาษาที่มนุษย์ใช้หรืออาจจะเป็นภาษาของมนุษย์ต่างดาวก็ได้ อย่างไรก็ตาม แม็คโคเวน บอกว่า ความเข้าใจของเรายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น

ในวันนั้น ตรงบริเวณชายฝั่งของอะแลสกา แม็คโคเวน ได้เปิดเสียงต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่มีการตอบสนอง "แต่เสียงเรียกนี้ถูกบันทึกไว้ในวันก่อนหน้านั้น" เธอกล่าว "และมันมาจากประชากรวาฬกลุ่มนี้ หลังจากเล่นเสียงติดต่อสามครั้ง เราก็ได้รับการตอบสนองอันยอดเยี่ยม จากนั้นเพื่อให้สัตว์ตัวนี้สนใจต่อไป ฉันจึงเริ่มพยายามจับคู่เสียงเรียกของมันกับเสียงเรียกของเรา ดังนั้น ถ้ามันรอ 10 วินาที ฉันก็รอ 10 วินาที สุดท้ายเราก็ตอบสนองซึ่งกันและกัน เราทำแบบนี้ 36 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 20 นาที"

ตลอดการสนทนา ทเวนมักจะจับคู่กับความแปรผันของช่วงเวลาระหว่างเสียงเรียกที่เล่นซ้ำแต่ละครั้งอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับวาฬหลังค่อมครั้งแรกใน "ภาษา" ของวาฬหลังค่อม และเนื่องจากเสียงบันทึกนั้นมาจากกลุ่มครอบครัวของทเวน ฮับเบิร์ดเสริมว่า สิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงการรับรู้ในบางรูปแบบ อาจจะรวมถึงการรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม การศึกษาเกี่ยวกับวาฬนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม็คโคเวน เน้นย้ำว่า ทเวนเลือกที่จะเข้ามาใกล้เรือและสามารถจากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่ปัญหาก็อยู่ตรงนั้นเอง โดยทั่วไปแล้ว วาฬมักจะพบได้ทุกที่ที่มีปลา ฮับบาร์ดกล่าว "แต่เราไม่รู้ว่าปลาอยู่ที่ไหน ดังนั้น คุณต้องค้นหาเพื่อที่จะศึกษาพวกมัน" และเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ นักวิจัยจำเป็นต้องจำลองข้อมูลกับฝูงวาฬหลายฝูงที่แตกต่างกัน

ขั้นต่อไป ทีมวิจัยวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงเสียงที่พวกเขาเปิด "เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น" แม็คโคเวน กล่าว "ความท้าทายใหญ่สำหรับเราคือการจำแนกสัญญาณเหล่านั้นและกำหนดบริบทของมัน เพื่อที่เราจะสามารถระบุความหมายได้ ฉันคิดว่าปัญญาประดิษฐ์จะช่วยเราทำสิ่งนั้น"

ห่างจากจุดนี้กว่า 8,000 กิโลเมตร มีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ นักถอดรหัส นักภาษาศาสตร์ นักชีววิทยาทางทะเล ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ และนักสำรวจเสียงใต้น้ำ อีกกลุ่มหนึ่งที่หวังจะใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อถอดรหัสบทสนทนาของวาฬสเปิร์มหรือวาฬหัวทุย

โครงการริเริ่มการแปลภาษาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลหรือ Ceti (Cetacean Translation Initiative) เปิดตัวในปี 2020 โดยมี เดวิด กรูเบอร์ นักชีววิทยาทางทะเลเป็นผู้นำโครงการ ได้ทำการบันทึกเสียงวาฬกลุ่มหนึ่งบริเวณชายฝั่งของโดมินิกา ซึ่งเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ไมโครโฟนบนทุ่น เรือดำไร้คนขับ และแท็กที่ติดอยู่กับหลังของวาฬ

กรูเบอร์ค่อนข้างเป็นคนแปลกประหลาก เขาเป็นนักจุลชีววิทยาซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก แต่กลับกลายเป็นผู้ที่ทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งบนโลก เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการมองไปที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบคทีเรียและโปรโตซัวในมหาสมุทร ที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคาร์บอนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากนั้นเขาเปลี่ยนไปศึกษาปะการัง แมงกะพรุน และฉลาม จนความสนใจนำพาเขามาสู่วาฬ "มันเป็นเรื่องของการมองโลกจากมุมมองของสัตว์" เขากล่าว หรือในกรณีของวาฬ มันคือ "การได้ยินโลก"

วาฬสเปิร์ม ซึ่งมีสมองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด จะรวมตัวกันที่ผิวน้ำของมหาสมุทรเป็นกลุ่มครอบครัว และสื่อสารกันโดยใช้ลำดับการคลิกที่คล้ายรหัส มอร์ส เรียกว่า "โคดาส" กลุ่มวาฬสเปิร์มที่ทีมวิจัย Ceti ทำงานด้วย ประกอบด้วยแม่วาฬ ยายวาฬ และลูกวาฬรวม 400 ตัว ฝูงดังกล่าวนี้หรืออาจจะแบ่งออกเป็นสองฝูงก็ได้ ส่งเสียงคลิกที่เว้นระยะเท่า ๆ กัน แล้วตามด้วยสามคลิกติดต่อกันอย่างรวดเร็ว

"มันยากสำหรับเราที่จะมองเข้าไปในโลกของพวกมัน นอกเหนือจากการโต้ตอบสั้น ๆ เหล่านี้ที่ผิวน้ำ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ อ่อนโยน และมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น" กรูเบอร์ กล่าว "ทุกครั้งที่เรามอง เราพบความซับซ้อนและโครงสร้างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการสื่อสารของพวกมัน" เขาเชื่อว่าเรากำลังเข้าสู่จุดของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งหมายความว่าเรา "อาจจะ" ถอดรหัสการสื่อสารของวาฬได้

ข้อมูลที่รวบรวม ถูกประมวลผลโดยใช้ขั้นตอนการเรียนรู้ของเครื่องกลเพื่อตรวจจับและจำแนกประเภทการคลิก โดยผลลัพธ์มีกำหนดเผยแพร่ในปี 2024 เป้าหมายของ กรูเบอร์ คือการสามารถสร้าง "บทสนทนาหลายฝ่าย" ขึ้นใหม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการสร้าง "บทสนทนา" โดยใช้เสียงร้องของวาฬสเปิร์มเอง

แต่แม้ว่าเราจะคุยกับวาฬได้ แล้วเราก็ควรคุยไหม ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการติดต่อกับวาฬ อาจถูกนำไปใช้ล่าพวกมันได้หรือไม่ ?

เทคโนโลยีใหม่เคยถูกใช้เพื่อช่วยเหล่านักล่ามาก่อน ตัวอย่างเช่น โซนาร์สามารถใช้ค้นหาและไล่วาฬขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อให้ยิงได้ง่ายขึ้น "เราอาจจะต้องฟังให้มากขึ้นและพูดให้น้อยลง" ซาแมนธา เบลกแมน ผู้จัดการข้อมูลทางทะเลของศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งชาติกล่าว

เธอเตือนว่าเราควรระมัดระวังกับการมองสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ในมิติของความเป็นมนุษย์ "ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ คุณพยายามศึกษาสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ลำเอียง" เธอกล่าว "คุณพยายามถอดตัวเองออกจากสมการเสมอ แม้ว่ามันเป็นเรื่องยากจริง ๆ"


(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม