ดูแบบคำตอบเดียว
  #80  
เก่า 05-03-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default


ไขปริศนาหายนะปี 2012 โลกาวินาศ - มนุษยชาติสูญสิ้น!?



ในปี ค.ศ. 2012 นี้นับเป็นปีที่มีกระแสข่าวรุนแรงในเรื่องของความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเรา ซึ่งบางกระแสข่าวรุนแรงถึงขั้นมีหลักฐานยืนยันว่าโลกจะแตกในปีนี้ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษยชาติสูญสิ้นกันเลยทีเดียว โดยสาเหตุมาจากหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพความแปรปรวนของอากาศ เหตุภัยพิบัติและอุทกภัยซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน ด้วยเกรงว่าคำทำนายและความเชื่อนั้นจะเป็นจริง...!!

จากการกล่าวอ้างรวมทั้งกระแสข่าวต่าง ๆ ทั้งหมด องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จึงร่วมกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. จัดเสวนาให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อจะได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องขึ้น ในหัวข้อ “โลกาวินาศ วิทยาศาสตร์วิพากษ์ พยากรณ์ 2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น” โดย ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกันให้ความรู้ว่า ความเชื่อกับหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์มักจะสวนทางกันอยู่เป็นประจำ เช่น เรื่องของโลกาวินาศ ซึ่งเรื่องแรกที่เราจะพูดถึงกันคือ “ปฏิทินมายา” อันมีที่มาจากชาวมายาซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณอยู่แถวอเมริกากลาง ปัจจุบันเป็นประเทศกัวเตมาลา

จุดเริ่มต้นของกระแสข่าวนี้คือ ในปี ค.ศ. 1966 มีหนังสือมายาเกิดขึ้นเป็นหนังสือเล่มแรกของฝรั่งที่อ้างว่าน่าจะมีวันสิ้นสุดของโลกในปี ค.ศ. 2012 นี้ ประมาณเดือนธันวาคม แต่ว่าวันที่จะเลื่อนไปเลื่อนมาในการพิมพ์แต่ละครั้ง และถูกปรับมาเป็นวันที่ 21 ธ.ค. เพราะมีข่าวหลายกระแส ซึ่งวิธีคิด คือชาวมายาจะใช้ระบบปฏิทินอย่างน้อย 3 แบบหลัก คือแบบแรกและแบบที่ 2 เป็นการนับวัน ส่วนแบบที่ 3 เรียกว่าปฏิทินแบบลองเคาทน์ มีการนับ 2 แบบ คือรอบยาวและรอบสั้น โดยรอบสั้นถูกนำมาใช้อ้างอิงในทฤษฎีโลกแตกปี ค.ศ. 2012 ซึ่งแบบสั้นจะอยู่ที่ 13 baktuns หรือ 1,872,000 วัน หรือ 5,125 ปี เมื่อสิ้นสุดวันจะเริ่มนับใหม่ จากข้อมูลอ้างว่าวันสุดท้ายของปฏิทินตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2012 จึงตีความกันว่าจะเป็นวันสุดท้ายของการสิ้นโลก เพราะตามตำนานเมื่อถึงวันสุดท้ายของปฏิทินจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่ก็เป็นเพียงความเชื่อในตำนานการสร้างโลกของชาวมายาเท่านั้น แต่เรื่องร้ายมักจะกล่าวถึงกันมากกว่า



เรื่องที่ 2 คือ ’ดาวนิบิรุ” พุ่งชนโลก โดยทฤษฎีนี้เชื่อกันว่าวันหนึ่งจะมีดาวนิบิรุหรือวัตถุจากฟากฟ้าพุ่งชนโลก โดยในอดีตเคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คือดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง หรือวัตถุขนาดใหญ่พุ่งชนโลก การชนมีทั้งผลดีและผลเสีย ขณะเดียวกันก็เกิดผลดีเพราะในระบบสุริยะช่วงที่โลกร้อนจัดเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะมีน้ำ แต่ปัจจุบันเราเห็นมหาสมุทรที่อยู่บนผิวโลก 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งตัวเราก็มีองค์ประกอบหลักเป็นน้ำ และน้ำเหล่านี้มาจากวัตถุที่หลงเหลือจากการเกิดระบบสุริยะนั่นคือดาวหาง ซึ่งดาวหางองค์ประกอบหลักหรือโมเลกุลสำคัญของมันคือน้ำ และเมื่อเกิดการชนของดาวหางบนโลกยุคแรกๆมากมาย น้ำจากดาวหางค่อยๆสะสม ซึ่งตัวเราส่วนหนึ่งก็เป็นองค์ประกอบของดาวหางเช่นกัน เพราะน้ำในตัวเราไม่มีที่มาอย่างแน่นอน นอกจากการชนโลกของดาวหาง

จากหลักฐานมีการชนเกิดขึ้นจริงเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2537 มีดาวหางชื่อว่า ชูเมกเกอร์ชนดาวพฤหัสบดี โดยก่อนชนมีการแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ หลายชิ้น และพุ่งชนดาวพฤหัสบดีทีละลูก ซึ่งด้านที่ชนดาวพฤหัสบดีหันมาทางโลกพอดี ทำให้ยานอวกาศชื่อกาลิเลโอถ่ายภาพด้วยกล้องอินฟาเรดขณะชนได้ ในภาพจะเห็นว่ามันปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา ซึ่งเราจะเห็นแผลดำๆเกิดขึ้นบนดาวพฤหัสบดีนานปีกว่าๆด้วยกัน โดยเศษดาวหางแต่ละลูกถ้าชนโลกคงน่ากลัวมาก แต่ว่าดาวพฤหัสบดีโดนชนง่ายกว่าโลก เพราะมีแรงโน้มถ่วงสูง และครั้งสุดท้ายที่มีการชนโลกจริงๆที่มีหลักฐานคือการชนที่ทังกัสก้า ประเทศไซบีเรีย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1908 หรือเมื่อ 103 ปีที่แล้ว ซึ่งแรงระเบิดเทียบเท่าระเบิด TNT ถึง 30 เมกะตัน ต่อมามีการวิจัยศึกษาทางด้านธรณีวิทยาพบว่าจากการชนมีการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ พอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการชนของอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อย เป็นวัตถุขนาด 20-30 เมตร แต่มีอำนาจการทำลายล้างมหาศาล ซึ่งวัตถุที่ว่านี้ไม่ได้พุ่งชนที่พื้นแต่มีการระเบิดก่อนถึงพื้นที่ประมาณความสูง 4-5 เมตร แต่โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต เพราะเป็นบริเวณที่ไม่มีใครอาศัยอยู่

สำหรับดาวนิบิรุอ้างถึงว่า เป็นดาวเคราะห์ถูกค้นพบโดยชาวสุเมเรียน เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล วงโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 3,600 ปี และจะพุ่งชนโลกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 นี้ จากการวิเคราะห์คาบโคจรในทางฟิสิกส์แล้วถ้าดาวนิบิรุมีจริงน่าจะมีวงโคจรที่เป็นวงรีมาก ๆ และปัจจุบันจะต้องอยู่ใกล้เคียงวงโคจรของดาวพฤหัสบดี มีความสว่างสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ขณะนี้ยังไม่มีการค้นพบดาวดวงนี้ ส่วนกรณีที่ดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกโดยมีการกล่าวอ้างว่าองค์การนาซาปกปิดนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันมีหลายโครงการทั่วโลกที่ค้นหาและติดตามวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 200 เมตร ที่มีวงโคจรเข้าใกล้โลกไม่เกิน 4.5 ล้านไมล์

ปัจจุบันเราค้นพบดาวเคราะห์น้อยที่มีโอกาสเข้าใกล้โลกมากที่สุด คือดาวเคราะห์น้อย 1950 DA มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.1 กม. มีวงโคจร 2.2 ปีรอบดวงอาทิตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนวงโคจรเลยมีโอกาสจะพุ่งชนโลกได้ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2880 ดังนั้นเราจึงยังมีเวลาเตรียมตัวอีก 800 ปีข้างหน้า และโอกาสความน่าจะเป็นที่จะชนโลก มี 0.33 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นในช่วงอีก 800 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าทางวิทยาการของมนุษย์คงสามารถจัดการมันได้



เรื่องที่ 3 ’การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์” เกิดแรงดูดมหาศาลและส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงทั่วโลก รวมทั้งเกิดพายุสุริยะถาโถมเข้าใส่โลกนั้น จากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากอิทธิพลของแรงดึงดูดจากดาวเคราะห์เหล่านั้นมีผลต่อโลกน้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่มีต่อโลก หรือแม้แต่กระแสข่าวที่ว่าโลกจะถูกหลุมดำที่ใจกลางทางช้างเผือกดูดเข้าไปในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ก็ขอยืนยันว่าจากการศึกษาการโคจรของดาวฤกษ์หลายดวงรอบหลุมดำต่าง ๆ ประกอบกับแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อโลก สูงกว่าแรงโน้มถ่วงของหลุมดำถึง 100,000 ล้านเท่า ทำให้โลกของเราจะไม่ถูกหลุมดำนี้ดูดเข้าไปแน่นอน หรือ ถ้าจะมีการดูดเกิดขึ้นดวงดวงอื่นที่อยู่ใกล้กว่าโลกก็จะต้องถูกดูดเข้าไปก่อนแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีดาวดวงใดถูกดูดเข้าไปเลยซักดวง

(มีต่อ)

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม