ดูแบบคำตอบเดียว
  #94  
เก่า 21-07-2015
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,159
Default


ผู้จัดการออนไลน์
6-07-15

ทะเลไทยในกำมือ “พล.อ.ประยุทธ์” เมื่อชาวบ้านหนุนล้างบางเรือผิดกฎหมาย เลิกเครื่องมือทำลายล้าง



ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นที่บ้านแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายต่อเรือประมงเถื่อนของรัฐบาล พร้อมเปิดตลาดสินค้าสัตว์น้ำปลอดสารพิษราคาเป็นธรรม ยืนยันสินค้าสัตว์น้ำยังไม่ขาดแคลน แนะรัฐประกาศยกเลิกอวนลาก อวนรุน เรือปั่นไฟ ทะเลไทยจะอุดมสมบูรณ์ถึงลูกหลาน ชี้อนาคตทะเลไทยอยู่ในกำมือ “พล.อ.ประยุทธ์”

หลังจากที่สหภาพยุโรป (EU) ให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทยกรณีไม่สามารถควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมายได้ ทำให้รัฐบาลต้องยื่นคำขาดออกมาตรการเข้มบังคับให้เรือประมงทุกลำต้องดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามระเบียบ หากไม่ปฏิบัติตามเจ้าของเรือจะถูกดำเนินคดีทันที ซึ่งมาตรการนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา

และไม่น่าเชื่อว่า ผลจากการประกาศบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดของรัฐบาล ส่งผลให้ประมงพาณิชย์ไม่ต่ำกว่า 3,000 ลำ ต้องนำเรือเข้าจอดเทียบท่าเพราะเรือกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเรือที่ทำประมงโดยผิดกฎหมาย มีจำนวนมากที่ใช้เครื่องมือประมงซึ่งไม่ตรงกับที่ระบุในอาชญาบัตร หรือใบอนุญาตการทำประมง และมีจำนวนมากที่เป็นเรือสวมทะเบียน

มาตรการเข้มงวดของรัฐบาลครั้งนี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ที่มีเรือประมงไม่ถูกกฎหมายได้รวมตัวกันยื่นข้อเรียกร้องกดดันรัฐบาลให้ผ่อนผันมาตรการทางกฎหมายออกไปอีก ขณะเดียวกัน พบว่าการพร้อมใจกันหยุดออกหาปลาของเรือประมงพาณิชย์ดังกล่าวได้ทำให้สินค้าสัตว์น้ำขาดตลาด และเริ่มมีราคาสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เรือประมงพาณิชย์ที่ปฏิบัติตามระเบียบถูกต้องตามกฎหมาย และเรือประมงของเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านยังคงออกหาปลาตามปกติ แต่เนื่องจากท่าเรือหลายแห่งได้ปิดกิจการไม่มีกำหนดทำให้ระบบการซื้อขายสินค้าสัตว์น้ำมีปัญหา โดยมีรายงานว่า มีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้สังคมเข้าใจว่า การหยุดออกหาปลาของเรือผิดกฎหมายนั้นทำให้สินค้าอาหารทะเลขาดตลาด

สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ซึ่งติดตามสถานการณ์การแก้ปัญหาเรือประมงผิดกฎหมายมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ได้ออกมาเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ด้านหนึ่งสนับสนุนให้รัฐบาลจัดการขั้นเด็ดขาดต่อเรือประมงที่ผิดกฎหมายเพื่อปลดล็อกใบเหลืองจาก EU และฟื้นฟู และรักษาทรัพยากรในท้องทะเลไทยให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืนด้วยการเสนอให้รัฐบาลประกาศยกเลิก และสั่งห้ามการใช้เครื่องมืออวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ โดยเด็ดขาด

โดยนายสะมะแอ เจ๊ะมูดอ สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ระบุในคำแถลงการณ์ถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ประชาชน และสื่อมวลชน ว่า ชาวประมงพื้นบ้านจากทั่วประเทศได้รับความเดือดร้อนจากการทำประมงผิดกฎหมาย เราติดตามการแก้ไขปัญหากรณีประเทศไทยโดนสหภาพยุโรปออกใบเตือนว่า อาจคว่ำบาตรสินค้าประมงไทย เพราะยังมีปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่มีการควบคุม และไม่มีรายงาน โดยพวกเราเองก็เป็นชาวประมงเล็กๆ ที่ถูกมาตรการของภาครัฐโดย ศป.มผ. ให้ดำเนินการจดแจ้งรายละเอียดต่างๆ เช่นกัน

“เราอยากบอกท่านทั้งหลายว่า ประมงทะเลไทยเป็นแหล่งทำการประมงที่สำคัญและเป็นแหล่งอาหาร สัตว์น้ำที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เป็นแหล่งรายได้ที่ชาวบ้านท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ใช้พึ่งพาอาศัยจับสัตว์น้ำเป็นอาหารคุณภาพปลอดภัยให้สังคมไทย จนมีเครื่องมือประมงอวนลาก อวนรุน เรือปั่นไฟจับสัตว์น้ำวัยอ่อนในเวลากลางคืน เกิดขึ้นในประเทศไทย และจำนวนมากมุ่งจับสัตว์น้ำเพื่อป้อนโรงงานอาหารสัตว์ ทำให้ทะเลไทยเกิดความเสื่อมโทรมลง เรือผิดกฎหมายได้ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำขนาดเล็กมากเกินไป เป็นเครื่องมือที่ทำลายระบบนิเวศ และทำลายเครื่องมือชาวประมงอื่นเสมอๆ จนหลายประเทศเริ่มห้ามมิให้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำการประมง”

ที่สังคมไทยต้องทราบคือ การประมงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการประมงแบบธุรกิจของนักลงทุน พวกเขาลงทุนใช้เครื่องมือชั้นเลว เพื่อหวังกอบโกยทำร้ายทรัพยากรทะเล และชาวประมงอื่นๆ มาโดยตลอด ดังนั้น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายในการควบคุมเครื่องมือประมงเหล่านี้ไม่ให้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็ใช้วิธีการลักลอบทำอย่างผิดกฎหมาย เมื่อถูกจับกุมมักวิ่งเต้นจ่ายค่าปรับ แล้วกลับมาทำผิดต่ออีก



เมื่อปี 2515 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศห้ามทำการประมงอวนลาก อวนรุนในเขต 3,000 เมตร จากชายฝั่งเพื่อป้องกันการขัดแย้งต่อชุมชน และทำลายทรัพยากรมากเกินไป อนุญาตให้ทำได้ในทะเลไทยนอกเขต 3,000 พันเมตรออกไป ซึ่งกินพื้นที่กว่า 300,000 เมตรหรือประมาณ 300 กิโลเมตร ในขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านเฝ้าระวังพื้นที่แค่ 3 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ปรากฏว่า กลุ่มทุนจำนวนมากยังคงบุกรุกเข้ามาจับปลาในเขตหวงห้าม 3,000 เมตร

“เรารับรู้ว่ากลุ่มนายทุนเหล่านี้กำลังให้ข่าวอ้างว่า ชาวประมงพื้นบ้านที่มีจำนวนมากน่าจะเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดการประมงเกินศักยภาพการผลิตของทะเล ซึ่งเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างหน้าด้านๆ เป็นการตอกย้ำว่า กลุ่มนายทุนเหล่านี้ใช้วิธีสกปรกทุกทางเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความผิด และจะได้กระทำการเอารัดเอาเปรียบชาวประมงเล็กๆ ต่อไป ทั้งที่มีข้อมูลชัดเจนยืนยันได้ว่า ในการประมงทะเลไทยนั้น ชาวประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นคนในชุมชน ท้องถิ่น มีจำนวนมากถึงประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของชาวประมงทั้งหมด แต่จับปลาในทะเลรวมกันได้ 23 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ทั้งหมดใช้ป้อนตลาดเป็นอาหารของคน ในขณะที่อีก 77 เปอร์เซ็นต์ จับโดยนายทุนประมงพาณิชย์ที่ใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ และจับจำนวนมาก ทำแบบผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิชุมชนท้องถิ่น โดยสัตว์น้ำที่จับได้เกือบทั้งหมดใช้ป้อนโรงงานปลาป่นผลิตอาหารสัตว์ สร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น”

ล่าสุด หลังรัฐบาลกำหนดจะใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อแก้ปัญหา IUU เมื่อจะถึงกำหนด บรรดาเรือประมงขนาดใหญ่ รวมทั้งเรืออวนลากจำนวนมากกลับเข้าฝั่ง และเสนอว่าหากรัฐไม่ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมาย จะทำให้พวกเขาไม่สามารถออกทำการประมงได้ และประเทศจะขาดสินค้าประมงตามข่าวในสื่อต่างๆ แต่สิ่งที่เรารับรู้ในหลายมาตรการมีการหมกเม็ด และให้การผ่อนผันทำประมงผิดประเภท แรงงานผิดกฎหมายต่อไป ยกเว้นกรณีให้ติดเครื่องมือติดตาม (VMS) เท่านั้นที่กำหนดให้ต้องติดตั้งภายในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลับปรากฏว่า บรรดาเรือประมงใหญ่เหล่านี้ยังเรียกร้องให้ผ่อนผันต่อไปเพื่ออะไร

เราขอเรียนว่า มีเครื่องมือประมงที่ดี ที่รับผิดชอบ ที่สามารถสร้างผลผลิตสัตว์น้ำให้ประเทศไทย ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าประเทศไทยจะขาดอาหารทะเลบริโภค เพียงต้องยกเลิกการทำประมงที่ทำลายมากเกินไปเท่านั้น

“ถึงแม้ว่าทะเลไทย และชาวประมงพื้นบ้านเจ็บช้ำจากการกระทำของกลุ่มนายทุนอวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ มาเป็นเวลานาน ทั้งเครื่องมือประมงพื้นบ้านเสียหาย ถูกรุมทำร้ายเคยถูกชาวประมงอวนลากไล่ยิงกลางทะเล เคยถูกเรือประมงผิดกฎหมายแบบนี้ฆ่าตาย เพียงเพราะไปขอให้พวกเขาออกไปจากเขตอนุรักษ์ 3,000 เมตร เราก็ไม่เคยคิดอิจฉาว่านายทุนอวนลากร่ำรวยมากเกินไป เราไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนเครื่องมือตัวเองแล้วหันไปทำผิดกฎหมายเหมือนกัน เพราะเรารู้ว่านั่นไม่ต่างจากฆ่าตัวเราเอง ฆ่าอนาคตของลูกหลานเราเอง เราไม่เคยคิดที่จะรุกไล่ไม่ให้พี่น้องชาวประมงที่ทำประมงขนาดใหญ่เลิกทำประมง แต่เราเรียกร้องให้พวกเขาเปลี่ยนเครื่องมือประมงมาทำด้วยเครื่องมือถูกกฎหมายอื่นๆ ที่คนทั่วไปเขาทำกัน และหยุดทำร้ายเราเสียที”

เรามีความเห็นว่า นายทุนประมงได้รับการเอื้อเฟื้อโอนอ่อนผ่อนผันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี นาน เกินไปที่จะพูดว่าควรให้โอกาสอีก รัฐบาลต้องดำเนินการให้การทำประมงอวนลาก อวนรุน และการปั่นไฟ จับลูกปลาต้องหมดไปจากทะเลไทย เราขอเรียกร้องให้ชาวประมงทั้งหลายหันกลับมาทำประมงด้วยเครื่องมืออื่นที่รับผิดชอบต่อทรัพยากร รับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมอาชีพ

เราเชื่อมั่นว่าหากสามารถเลิกการประมงทำลายล้างเหล่านี้ได้ ประเทศไทยจะยิ่งมีอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น ผู้บริโภคจะได้กินในราคาที่ถูกลง ปริมาณสัตว์น้ำเต็มวัยจะเพิ่มขึ้น และภายใต้มาตรการอื่นๆ ประกอบกัน ประเทศไทยจะสามารถแก้ปัญหาการส่งออกไปสหภาพยุโรปได้ด้วย



ด้านนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า วิกฤตทะเลไทยเกิดขึ้นมายาวนานแล้ว ความผิดพลาดเกิดขึ้นในการบริหารจัดการทะเลมีหลายสาเหตุ เช่น ขาดการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องต่อมาตรการในการอนุรักษ์และฟื้นฟู เรายังปล่อยให้มีการทำการประมงแบบทำลายล้าง อย่างอวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ทำการประมงอยู่ได้

“เคยมีความพยายามจากนักวิชาการกรมประมงที่เสนอว่า ปัญหาทะเลไทยเสื่อมโทรมมาตรการแก้ไขคือ ต้องหยุดอวนลาก โดยงดการต่อทะเบียน และออกอาชญาบัตรให้แก่เรืออวนลาก ซึ่งเป็นข้อเสนอที่นุ่มนวลที่สุด เพราะคนที่มีเรืออวนลากอยู่ในตอนนี้ก็ทำต่อไปได้ แต่ในทางวิชาการ อายุเรืออวนลากจะไม่เกิน 12 ปี หากยึดตามนั้นป่านนี้ทะเลไทยปลอดเรืออวนลาก ตัวทำลายพันธุ์สัตว์น้ำไปนานแล้ว”

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวและว่า แต่เพราะความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย และอำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงข้าราชการประจำสูงมากๆ การสร้างเรือเพิ่ม การสวมทะเบียนเรือจึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และนักการเมืองก็นิรโทษให้เรือเหล่านั้นกลับมาถูกต้องตามกฎหมายอีก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่าไทยหลายเท่า และเป็นประเทศที่มีเกาะแก่งในทะเลมากที่สุด ทำให้มีทรัพยากรสัตว์น้ำมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งการที่อินโดนีเซียไม่โดนใบเหลืองจากอียูเพราะรัฐบาลอินโดฯ มองไปข้างหน้าเพื่อคนส่วนใหญ่

“ในกรณีอวนลากซึ่งเป็นตัวทำลาย เขาใช้มาตรการประกาศยกเลิกห้ามทำอวนลากทุกชนิดไปเมื่อ 9 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา ขอย้ำว่า อวนลากทุกชนิด อียูก็เห็นความจริงใจของรัฐบาลอินโดฯ ว่าทำจริงไม่ใช่ทำแบบผักชีโรยหน้า เชื่อว่าอีกไม่เกิน 1 ปีต่อจากนี้ อินโดฯ จะกลายเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารทะเลใหญ่ที่สุดในเอเชียแน่นอน ประชาชนในชาติของเขาก็จะมีแหล่งอาหารโปรตีนธรรมชาติที่ยั่งยืน หากนายกฯ คิดว่านี่คือโอกาสทั้งในแง่ใช้โอกาสนี้ทำความสะอาดทะเลไทยเสียที โอกาสนี้เหมาะที่สุด คือ หยุดเครื่องมือทำลายล้างสำคัญๆ 3 ชนิด คืออวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ในขณะเดียวกัน ก็หามาตรการเยียวยาอย่างชอบธรรมและตรงไปตรงมาต่อผู้ทำการประมงเหล่านั้น ผมคิดว่าท่านจะสร้างคุณูปการให้แก่สังคมไทยที่ยากจะหาอะไรมาเปรียบเทียบ” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม