ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 05-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,355
Default


พระราชาผู้ไม่เคยทิ้งประชาชน


ในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ.2489 เพื่อทรงศึกษาวิชาการเพิ่มเติม ระหว่างประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมือง พระเจ้าอยู่หัวทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"
...............................................................................

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน

เดิมทีพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ว่า จะทรงครองราชสมบัติเพียงชั่วระยะเวลาจัดงานพระบรมศพพระบรมเชษฐาให้สมพระเกียรติเท่านั้น เพราะขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา 18 พรรษาเศษ ไม่เคยเตรียมพระองค์เพื่อดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์มาก่อนเลย แต่แล้วความจงรักภักดีของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ที่มีต่อพระองค์อย่างแน่นแฟ้น ยังผลให้ตัดสินพระราชหฤทัยรับราชสมบัติ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ.2489 เพื่อทรงศึกษาวิชาการเพิ่มเติม ระหว่างประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมือง พระเจ้าอยู่หัวทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพบชายผู้ร้องตะโกนทูลพระองค์ไม่ให้ทิ้งประชาชนขณะที่เสด็จเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลว่า ที่เขาร้องเช่นนั้น เพราะรู้สึกว้าเหว่และใจหายที่พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปจากเมืองไทย เขาเห็นพระพักตร์เศร้ามาก จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า "นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา"

หลังจากที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยที่จะทรงดำรงอยู่ในฐานะประมุขของประเทศแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอุทิศพระชนม์ชีพเพื่อประเทศชาติและประชาชนของพระองค์ เพราะทรงได้รับการปลูกฝังให้คำนึงถึงพระราชภารกิจที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมืองมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

"ในครอบครัวของเรา ความรับผิดชอบเป็นของที่ไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สอนอันแรกคือ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย" สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เคยพระราชทานสัมภาษณ์ เมื่อพิจารณาด้วยใจอันเที่ยงธรรมแล้วย่อมเห็นความจริงในพระราชดำรัสข้างต้นโดยแท้

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพในราชสกุล มหิดล อันเป็นสายหนึ่งในพระบรมราชจักรีวงศ์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสืบสายพระโลหิตจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันยังคุณประโยชน์อเนกอนันต์แก่ปวงชนประชาชนชาวไทย ซึ่งทวยราษฎร์ต่างตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างดี โดยมิพักจะต้องพรรณนา
ความโดยละเอียด ฝ่ายสมเด็จพระบรมราชชนกก็ทรงเป็นพระบรมวงศ์ที่ราษฎรหมู่มากเคารพเลื่อมใสตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสงขลานครินทร์ น้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม และพระอุปนิสัยที่ไม่ถือพระองค์ โน้มน้าวใจให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญพระองค์ว่าทรงเป็นเจ้าฟ้านักประชาธิปไตย สมเด็จพระบรมราชชนกทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการพัฒนาการแพทย์ไทย ทรงสละทั้งกำลังพระวรกายและพระราชทรัพย์ ในอันที่จะอุดหนุนการแพทย์และการพยาบาลของไทยให้เจริญก้าวหน้า ทั้งทางด้านการพัฒนาหลักสูตร การส่งเสริมความรู้ความสามารถของแพทย์ พยาบาล ตลอดจนการก่อสร้างอาคารสถานที่อันจะอำนวยประโยชน์แก่ผู้ป่วยและนักเรียนแพทย์ พยาบาล ตราบจนทุกวันนี้ วงการแพทย์ของไทยยังน้อมระลึกถึงพระกรุณาธิคุณอยู่เสมอ

พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2470 ณ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี กำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ในประเทศนั้น ทรงมีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระบรมเชษฐา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

เมื่อ พ.ศ.2471 หลังจากที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์จากสหรัฐอเมริกาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวได้ตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก แต่งหลังจากเสด็จนิวัตพระนครได้ไม่ถึงปี สมเด็จพระบรมราชชนกก็ประชวรเสด็จสวรรคต เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2472 ขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 1 พรรษากับอีก 9 เดือน จึงตกเป็นพระราชภาระในสมเด็จพระบรมราชชนนีที่จะทรงอภิบาลพระราชโอรส พระราชธิดา ทั้งสามพระองค์ตามลำพัง พระราชภาระนี้ใหญ่หลวงนัก แต่ด้วยเดชะพระบารมี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงอภิบาลรักษาพระราชโอรส พระราชธิดา ให้ทรงพระเจริญ งามพร้อมด้วยพระราชจริยวัตร และสมบูรณ์ด้วยพระสติปัญญา สมพระอิสริยยศและความหวังของปวงชน

การเลี้ยงดูอบรมเด็กนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงมีพระราชดำริว่า มีหลักสำคัญอยู่สองประการ คือ เด็กต้องมีอนามัยสมบูรณ์ประการหนึ่ง และเด็กต้องอยู่ในระเบียบวินัยโดยไม่บังคับเข้มงวดจนเกินไป เป็นประการที่สอง ในการอภิบาลพระราชโอรส พระราชธิดา เมื่อยังทรงพระเยาว์ สมเด็จพระบรมราชชนนีก็ทรงยึดถือตามหลักดังกล่าว ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่เรื่องพระกระยาหารของพระราชโอรส พระราชธิดา ให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ให้ได้ทรงเล่นออกกำลัง ทรงสั่งสอนให้อยู่ในระเบียบวินัยและทำอะไรเป็นเวลา สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเรียนวิชาพยาบาลจากศิริราชพยาบาล เมื่อประทับ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้ทรงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้านอนามัยและโภชนาการ ซึ่งความรู้เหล่านี้ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่งในการทำนุบำรุงพระราชโอรสและพระราชธิดา

(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม