ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,248
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


MOSE แบริเออร์ใต้น้ำ ช่วย 'เวนิส' แก้ปัญหาน้ำท่วมเรื้อรังได้จริงหรือ



- เวนิส เมืองซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศอิตาลี ต้องรับมือกับปัญหาน้ำท่วม เพราะระดับน้ำเพิ่มสูงมากนานหลายศตวรรษแล้ว

- รัฐบาลพยายามหาทางแก้ปัญหาน้ำท่วมให้หายขาด สุดท้ายจึงผุดโปรเจกต์ที่เรียกว่า MOSE สร้างแบริเออร์ขนาดใหญ่ไว้ใต้ทะเล และยกขึ้นมากันน้ำเวลาที่ระดับน้ำเพิ่มสูง

- MOSE เผชิญการทดสอบสำคัญครั้งแรกในวันที่ 3 ต.ค. ผลก็คือมันสามารถช่วยป้องกันน้ำท่วมได้จริง แต่ยังมีข้อครหามากมายเกี่ยวกับระบบ MOSE โดยเฉพาะในเรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศ

เวนิส เมืองอันงดงามและมีชื่อเสียงลำดับต้นๆ ของโลก ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทะเลเอเดรียติก มีสภาพเป็นเกาะเล็กๆ เชื่อมต่อกันด้วยสะพาน และแบ่งแยกด้วยคลองสายต่างๆ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากน้ำมาตั้งแต่อดีต เวนิสเป็นมหาอำนาจทางทะเลในเมดิเตอร์เรเนียนได้นานหลายศตวรรษ ด้วยเส้นทางน้ำซึ่งเป็นเหมือนปราการธรรมชาติ ในปัจจุบันคลองอันเป็นเอกลักษณ์ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 20 ล้านคนต่อปี

แต่น้ำก็เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาต้องรับมือเช่นกัน ชาวเมืองเวนิสใช้ชีวิตอยู่คู่กับน้ำท่วมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 และทุกปีพวกเขาต้องเผชิญปรากฏการณ์ 'อัควา อัลตา' (Acqua Alta) หรือการยกตัวของน้ำทะเล ซึ่งเกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม กับกระแสลมแรงจากพายุที่พัดพาน้ำจากทะเลเอเดรียติกเข้าสู่ 'เวเนเชียน ลากูน' อ่าวตื้นๆ ที่เมืองเวนิสตั้งอยู่ ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่ำของเมืองได้แล้ว

ชาวเมืองจึงปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับน้ำท่วมโดยเฉพาะ มีการเตรียมกล่องไม้สำหรับเป็นทางเดินในช่วงน้ำท่วม เรือกอนโดลาสามารถถอดหัวเรือออก เพื่อให้ลอดผ่านสะพานข้ามคลองเวลาที่ระดับน้ำเพิ่มสูงได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาน้ำท่วมเริ่มรุนแรงขึ้นด้วยอิทธิพลจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้เมืองอันงดงามแห่งนี้ตกอยู่ในความเสี่ยง และอาจไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในสิ้นศตวรรษนี้


สภาพอากาศเปลี่ยน ทำน้ำท่วมหนักขึ้น

ในปี 1872 เจ้าหน้าที่ของเวนิสเริ่มใช้ระบบวัดระดับน้ำทะเลเป็นครั้งแรก ซึ่งในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ระบุว่า เมืองจะเริ่มมีน้ำท่วมหากระดับน้ำแตะ 80 ซม. แต่ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นราว 30 ซม. แล้ว ทำให้เกิดน้ำท่วมได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก

สถิติมากมายชี้ว่า เวนิสกำลังเผชิญน้ำท่วมรุนแรงบ่อยขึ้น โดยในช่วง 5 ปี ระหว่าง ค.ศ.2014-2018 มี อัควา อัลตา แบบฉับพลัน 34 ครั้ง ที่ความสูงของระดับน้ำเกิน 110 ซม. ทั้งที่ช่วง 77 ปี ระหว่าง ค.ศ.1875-1951 เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เพียง 30 ครั้งเท่านั้น แต่สัญญาณอันตรายที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ พ.ย. 2019 เมื่อ อัควา อัลตา ขนาดใหญ่มาเร็วถึงขนาดที่ชาวเมืองรับมือไม่ทัน ระดับน้ำพุ่งถึง 187 ซม. สร้างความเสียหายแก่สิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์, ร้านค้า, โรงแรม มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีผู้เสียชีวิต 2 ศพ


เหตุน้ำท่วมเมื่อ 12 พ.ย. 2019 ทำให้เมืองเวนิสมีน้ำท่วมถึง 90% ของพื้นที่

ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่เวนิสเผชิญหายนะรุนแรงกว่าปี 2019 ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1966 เวนิสเผชิญ อัควา อัลตา สูงถึง 194 ซม. จนถูกเรียกว่า ?Acqua Granda? ทำให้ชาวเมืองหลายพันคนต้องอพยพ ร้านค้ากว่า 75% ในเมืองได้รับความเสียหาย ขณะที่ความเสียหายทางศิลปะมีมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่กิจกรรมของชาวเมืองก็ส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วมของเวนิสเลวร้ายลงเช่นกัน การพัฒนาอุตสาหกรรมยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีการขุดน้ำบาดาลใต้เมืองเวนิสมาใช้จำนวนมหาศาล ในช่วงทศวรรษที่ 50-70 ทำให้เมืองจมลงถึง 12 ซม. เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมขึ้นอีก ไม่นับกิจกรรมการก่อสร้างต่างๆ ในเมืองที่ทำให้เวนิสค่อยๆ จมลงประมาณปีละ 2-3 มม.อยู่แล้ว


ช่องทางน้ำเข้า (inlets) ทั้ง 3 จุด เป็นที่ตั้งของ แบริเออร์ MOSE


ผุดโปรเจกต์ MOSE แหวกน้ำทะเล

ตลอดหลายปีหลังน้ำท่วมใหญ่ใน ค.ศ.1966 รัฐบาลเมืองเวนิสพยายามหาทางแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง มีทั้งการสูบน้ำจากคลองเพื่อเสริมโครงสร้าง, ฉีดคอนกรีตเหลวเพื่อยกเมืองให้สูงขึ้น หรือสร้างพรุน้ำเค็ม (salt marsh) กับหาดโคลน (mudflat) เอาไว้ใน เวเนเชียน ลากูน เพื่อป้องกันน้ำทะเลที่หนุนเข้ามา แต่ก็ได้ผลเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น

ในช่วงทศวรรษที่ 1980 รัฐบาลกลางของอิตาลีตัดสินใจจะจัดการปัญหาน้ำท่วมที่เวนิสอย่างเด็ดขาด และวางโครงการที่เรียกว่า ?MOSE? ซึ่งมาจากชื่อของ 'โมเสส' ผู้แหวกทะเลแดงช่วยชาวอิสราเอลหนีจากกองทัพอียิปต์ โดยจะสร้างแบริเออร์เปิด-ปิดได้จำนวน 78 บาน ไว้ใต้น้ำตามแนวช่องทางน้ำเข้า (inlets) ทั้ง 3 จุดที่เชื่อมต่อ เวเนเชียน ลากูน กับทะเลเอเดรียติก โดยจะใช้การควบคุมระยะไกลเพื่อยกแบริเออร์ขึ้นมาในตอนที่ระดับน้ำเพิ่มสูง กันไม่ให้น้ำเข้าสู่ลากูน ปกป้องเวนิสจากน้ำท่วม ก่อนจะลดแบริเออร์ลงเมื่อระดับน้ำต่ำลง

อย่างไรก็ตาม แผนการที่ฟังดูง่ายๆ นี้ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด แผนการได้รับการเสนอเข้าสู่สภาในปี 1971 และผ่านความเห็นชอบใน 2 ปีต่อมา แต่นักการเมืองกับวิศวกรถกเถียงกันเรื่องการออกแบบและแก้ไขโครงการหลายต่อหลายครั้งนานกว่า 30 ปี กระทั่งการก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 2003 ซึ่งในตอนนั้นรัฐบาลคาดว่าจะใช้เวลาสร้างประมาณ 8 ปี และใช้งบประมาณราว 1.6 พันล้านยูโร

แต่สิ่งที่คาดการณ์ไว้กับความเป็นจริงต่างกันอย่างสิ้นเชิง การก่อสร้างล่าช้าออกไปจากหลายปัจจัย ทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการคอร์รัปชัน และการใช้งบเกินกว่าที่กำหนด โดยข้อมูลในปี 2014 พบว่า ค่าใช้จ่ายในการสร้าง MOSE พุ่งทะยานไปถึง 5.5 พันล้านยูโรแล้ว เพิ่มขึ้นจากตัวเลขดั้งเดิมกว่า 343% และจนถึงปัจจุบันนี้ประเมินกันว่าอิตาลีใช้เงินไปกับโปรเจกต์ MOSE แล้วกว่า 8 พันล้านยูโร ขณะที่คาดว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2021


รอด Acqua Alta ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 1,200 ปี

แต่ถึงแม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โปรเจกต์ MOSE ก็เข้าสู่กระบวนการทดสอบของจริงครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 3 ต.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันแรกของฤดู อัควา อัลตา ในปีนี้ โดยพยากรณ์อากาศคาดว่า ระดับน้ำจะสูงถึงระดับ 135 ซม. มากพอจะทำให้มีน้ำท่วมหลากหลายระดับ ในพื้นที่ 50% ของเมืองเวนิส

ในวันเสาร์ เสียงไซเรนเตือนภัยน้ำท่วมยังดังขึ้นตามปกติ แต่ที่ต่างออกไปคือ ในเวลา 12.05 น. จัตุรัสเซนต์ มาร์ก ซึ่งปกติแค่น้ำขึ้นเพียง 90 ซม. ก็มีน้ำท่วมถึงเข่าแล้ว ยังคงแห้งเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงน้ำผุดขึ้นมาจากท่อระบายน้ำเท่านั้น ขณะที่เขตทางเหนืออย่าง คันนาเรจิโอ ก็ยังคงแห้งสนิท โปรเจกต์ MOSE ช่วยให้เมืองเวนิสรอดจาก อัควา อัลตา ได้เป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 1,200 ปี

"นี่เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของเวนิส? นายลุยจิ บรุนยาโร นายกเทศมนตรีเมืองเวนิสกล่าว หลังเป็นสักขีพยานการยกแบริเออร์ MOSE ในวันเสาร์ ?นี่เป็นเรื่องน่าพอใจมาก หลังจากหลายทศวรรษที่ได้แต่ดูน้ำเข้าท่วมทุกที่ในเมือง สร้างความเสียหายมหาศาลโดยไม่อาจช่วยอะไรได้"


MOSE คือทางออกของเวนิสจริงหรือ?

โปรเจกต์ MOSE ซึ่งปัจจุบันบริหารจัดการโดยรัฐบาลกลางอิตาลี จะถูกส่งต่อให้เมืองเวนิสในเดือนธันวาคม 2021 หลังโครงการทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการยกพื้นในพื้นที่ต่ำสุดของเมืองให้สูง 110 ซม. จากระดับน้ำทะเล เสร็จสิ้น โดยจนกว่าจะถึงตอนนั้น แบริเออร์ MOSE จะถูกใช้เมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงกว่า 130 ซม.เท่านั้น น้ำท่วมรุนแรงอย่างในปี 2019 อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะแบริเออร์นี้ถูกออกแบบมาให้ป้องกันระดับน้ำสูงสุดถึง 3 ม.

และเมื่อทางการเมืองเวนิสรับช่วงต่อแล้ว MOSE จะถูกใช้เมื่อน้ำทะเลยกตัวสูง 110 ซม.ขึ้นไป แต่นั่นหมายความว่า จัตุรัสเซนต์ มาร์ก จะถูกน้ำท่วมต่อไป อย่างเช่นในวันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค. หรือเพียง 24 ชั่วโมงหลังจากวันแห่งประวัติศาสตร์ จัตุรัสอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสแห่งนี้ก็ถูกน้ำท่วมอีกครั้ง หลังระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 106 ซม.


แบริเออร์ MOSE ถูกเปิดใช้งาน


ข้อครหาและผลกระทบจาก MOSE

โปรเจกต์ MOSE เผชิญข้อครหามากมาย และการต่อต้านจากนักวิชาการหลายคนที่เตือนว่า โครงการน้ำจะทำลาย เวนิส มากกว่าช่วยเหลือ ดร.เจน ดา มอสโต นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรเอ็นจีโอ 'We Are Here Venice' ตั้งคำถามเกี่ยวกับอายุการใช้งานของ MOSE ซึ่งรัฐบาลระบุว่า สามารถใช้งานได้นานนับศตวรรษ แต่ความล่าช้าในการก่อสร้าง ทำให้ MOSE เสียอายุการใช้งานไปฟรีๆ ถึง 10 ปีแล้ว

ความทนทานไม่ใช่ปัญหาเดียว การยกแบริเออร์ขึ้นจะขวางทางเดินเรือไม่ให้เข้าหรือออกจากท่าเรือ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจของเวนิส แต่ที่สำคัญกว่านั้น MOSE อาจขวางการระบายน้ำเสียจากเมืองสู่ทะเลเอเดรียติก และกักให้น้ำเสียอยู่ภายใน เวเนเชียน ลากูน ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน สาหร่ายจะเจริญเติบโตภายในลากูน ทำให้น้ำขาดออกซิเจน และฆ่าสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นทั้งหมด กระทบต่อการทำประมง, อุตสาหกรรมเลี้ยงหอย และฟาร์มปลาอย่างหนัก

ใช่ว่าวิศวกรไม่ได้คิดถึงปัญหาเหล่านี้ พวกเขาตั้งใจจะใช้ MOSE ในกรณีที่ระดับน้ำทะเลสูงจริงๆ ซึ่งในแต่ละปีเกิดขึ้นไม่บ่อยจนทำให้ MOSE ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของลากูน

แต่การสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลจากภาวะโลกร้อนอาจเป็นสิ่งที่วิศวกรมองข้ามไป พวกเขาคาดว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นราว 20 ซม. ตลอดอายุการใช้งานของ MOSE ต่อรายงานเมื่อปี 2019 ของคณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงชี้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีโอกาสที่น้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 60 ซม. หมายความว่า MOSE จะถูกใช้งานบ่อยขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจจะหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อปี จนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในที่สุด

สรุปแล้ว MOSE ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำการป้องกันน้ำไม่ให้เข้าท่วมเมืองเวนิสเมื่อวันที่ 3 ต.ค. แต่โครงการนี้ยังต้องเผชิญการทดสอบอีกมากในอนาคต และตอนนี้แบริเออร์สีเหลืองทั้ง 78 บาน ต้องรับมือกับ อัควา อัลตา ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ซึ่งมีความรุนแรงและมาบ่อยครั้งที่สุดให้ได้เสียก่อน มิเช่นนั้น เรื่องอนาคตก็คงไม่ต้องพูดถึง.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1947761

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม