ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 15-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,355
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ทรายดูด เกิดจากอะไร มีวิธีป้องกัน และเอาตัวรอดอย่างไร

ทรายดูด เป็นอนุภาคหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ที่สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ และเป็นเรื่องไม่ไกลตัว หากพบเจอทรายดูดควรทำอย่างไรบ้างเบื้องต้น และสามารถมีวิธีป้องกัน และเอาตัวรอดอย่างไร



ทรายดูด (Quick Sand) เกิดจากส่วนประกอบสำคัญทางธรรมชาติทั้ง 4 บนผิวดินได้แก่ ทราย น้ำ โคลน และเกลือ เป็นส่วนผสม ซึ่งหากอยู่ในสภาวะปกติ สภาพพื้นดินเหล่านี้จะกลายเป็นของแข็งอย่างสมบูรณ์ แต่หากถูกรบกวน เช่น การเหยียบ หรือมีอะไรตกกระทบลงไป ก็จะกลายเป็นของเหลวที่สามารถดูดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ลงไปได้เช่นกัน

ข้อมูลจาก คลังความรู้ กล่าวว่า มีการวัดแรงหนืด ความต้านทานของการไหล และความสามารถในการจมของทรายดูด พบว่าหากเราตกหรือจมลงไปในทรายดูด ก็จะจมไปได้เพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าคนที่ตกลงไปจะไม่รู้จักวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องก็ตาม เพียงแต่ต้องมีสติและไม่ขยับตัว

เมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่สามารถจมลงได้อีก เพราะร่างกายของเรามีความหนาแน่นเฉลี่ย 1 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ขณะที่บ่อทรายดูดมีความหนาแน่นมากกว่า คือประมาณ 2 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร นั่นก็หมายความว่าคนเราสามารถลอยอยู่เหนือทรายดูดได้ดีกว่าน้ำ ทำให้การปล่อยตัวนิ่งๆ ความหนาแน่นของร่างกายจะมีค่าน้อยกว่าความหนาแน่นของบ่อทราย ทำให้ร่างกายเราลอยขึ้นได้เอง

นอกจากนี้หากเกิดการตกใจหรือการดิ้น ก็จะทำให้ร่างกายของเราร่วงหล่นลงไปในทรายดูดนี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และตกลงไปในความลึกที่มากกว่าเดิมอีกเพราะสุญญากาศ หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือ บุคคลที่จมลงไปในทรายดูด ส่วนใหญ่เป็นการใช้พลังงานของตนเองจนหมดแรงจากการดิ้นเสียส่วนใหญ่ ก่อนที่จะจมลงไปจนมิดตัว และขาดอากาศหายใจ


วิธีป้องกันทรายดูด

- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เป็นบ่อเกิดของทรายดูด เช่น ริมทะเล ริมทะเลสาบ ชายหาด ริมตลิ่ง หนองบึง และที่มีโคลนและทรายชุ่มน้ำที่เปียกแฉะ

- ตั้งสติ ทำตัวให้นิ่งที่สุด ห้ามตื่นตระหนกตกใจ

- เงยศีรษะขึ้นฟ้า นอนหงาย เหมือนนอนเล่นบนที่นอน หรือทำตัวให้กว้างในแนวขวางเหมือนว่ายน้ำ

- เลื่อนตัวอย่างช้าๆ เพื่อทำให้เกิดสุญญากาศน้อยที่สุด ป้องกันไม่ให้ตัวเราตกลงไปลึกกว่าเดิม

- หาวัตถุที่สามารถยึดร่างกายเราได้

- ค่อยๆ เลื่อนร่างกายขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2747391


******************************************************************************************************


IUCN เผย "บัญชีแดง" ฉบับใหม่ ชี้สัตว์ 44,000 ชนิดกำลังเสี่ยงสูญพันธุ์

องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติ IUCN เผยแพร่รายงานสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ฉบับใหม่ ซึ่งพบว่าจำนวนสัตว์ในรายการเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 44,000 ชนิดแล้ว โดยบางส่วนได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เผยแพร่รายการสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ หรือ "บัญชีแดง" ฉบับใหม่ ออกมาแล้ว โดยระบุว่า สัตว์จำนวนมากกว่า 44,000 ชนิดทั่วโลก กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ โดยที่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

นี่นับเป็นครั้งแรกที่บัญชีแดงของ IUCN ถูกเผยแพร่ออกมาที่การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ หรือ COP ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 28 ที่นครดูไบ และเพิ่งสิ้นสุดลงไปเมื่อวันพุธที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเตือนเหล่าผู้นำโลกถึงความเสียหายจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อสัตว์ป่า

IUCN ระบุว่า ภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนั้น กำลังเป็นภัยต่อความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกของเรา ซึ่งบัญชีแดงฉบับล่าสุดมีการประเมินสิ่งมีชีวิตทั้งหมด 157,190 ชนิด และพบว่า 44,016 ชนิดในจำนวนนี้เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์แล้ว

นอกจากนั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่บัญชีแดงของ IUCN มีการประเมินสถานะของปลาน้ำจืดทั่วโลก โดยพวกเขาตรวจสอบปลาเกือบ 15,000 ชนิด และพบว่า ราว 1 ใน 4 ของจำนวนนี้เสี่ยงสูญพันธุ์ และเกือบ 1 ใน 5 ของปลาที่เสี่ยงสูญพันธุ์ ได้รับผลกระทบจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

ดร.แคเธอรีน เซเยอร์ นักวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของปลาน้ำจืดของ IUCN กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศสร้างสภาวะที่ทำให้ระดับน้ำจืดลดลงสวนทางกับน้ำทะเลที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้น้ำทะเลรุกล้ำพื้นที่แม่น้ำ และเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของมัน นอกจากนั้นยังอาจมาพร้อมกับปัญหาอื่นๆ อย่าง มลภาวะ ด้วย

ดร.เซเยอร์ระบุว่า ตอนนี้มีแหล่งกำเนิดอันตรายมากมายที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของสัตว์น้ำจืด "หนึ่งในนั้นคือความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล, การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แต่ยังมีภัยอื่นๆ ที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งภัยคุกคามสำคัญอีกอย่างต่อปลาน้ำจืดคือ มลภาวะ, เขื่อนกับการดึงน้ำไปใช้, สายพันธุ์รุกรานต่างถิ่น และการจับปลาที่มากเกินไป"

หนึ่งในสายพันธุ์ปลาน้ำจืดที่ถูกย้ายจาก สายพันธุ์ที่ "มีความเสี่ยงน้อยที่สุด" ไปเป็น "ใกล้เสี่ยงสูญพันธุ์" คือปลาซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายที่สุดในโลกอย่าง ปลาแซลมอนแอตแลนติก หรือ ซัลโม ซาลาร์ (Salmo salar) โดย IUCN ระบุว่า หลักฐานใหม่แสดงให้เห็นว่าประชากรทั่วโลกของมัน ลดลง 23% ระหว่างปี 2549-2563

"หนึ่งในผลกระทบที่ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีต่อแม่น้ำหรือสิ่งแวดล้อมทั้งหมดคือ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น และเรามักคิดเสมอว่าเป็นเกี่ยวกับอุณหภูมิในอากาศ แต่ก็เป็นความจริงเช่นกันที่อุณหภูมิของผืนน้ำ ไม่ว่าจะน้ำจืดหรือน้ำเค็ม ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ปลาแซลมอนแอตแลนติกเป็นตัวอย่างสำคัญว่า ที่ใดที่อุณหภูมิน้ำเพิ่มขึ้น จะมีความเสี่ยงต่อสายพันธุ์ในนั้น เพราะมันลดความสามารถในการมีชีวิตอยู่และเจริญเติบโตของแซลมอนอายุน้อยและของไข่ ซึ่งหมายความว่า อัตราการมีชีวิตของมันไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว"

ดร.เซเยอร์บอกด้วยว่า มลภาวะจากอุตสาหกรรมและการเกษตรและมีส่วนด้วย เช่น หากสารพิษจากการทำการเกษตรลงสู่น้ำ มันอาจเปลี่ยนระดับของสารอาหารในน้ำ ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ อย่างปรากฏการณ์ สาหร่ายสะพรั่ง (eutrophication) ซึ่งทำให้สาหร่ายเติบโตในปริมาณที่มากเกินไป หรือมลภาวะจากสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดวัชพืช ส่วนผลกระทบจากอุตสาหกรรมก็อาจเป็นของเสียจากการทำเหมือง

คำเตือนที่มาพร้อมกับบัญชีแดงของ IUCN มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจที่การประชุม COP28 มีความเคลื่อนไหว แต่รายงานก็มีข่าวเรื่องโครงการที่ประสบความสำเร็จ และหักล้างความเสียหายที่เกิดกับความหลากหลายทางชีวภาพได้ด้วย

ดร.เครก ฮิลตัน-เทย์เลอร์ หัวหน้าทีมนักวิจัยผู้เขียนรายงานบัญชีแดง กล่าวว่า "บัญชีแดงไม่ได้อัปเดตแต่ข่าวร้าย มันยังมีข่าวดีๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เราทำสิ่งที่ถูกต้อง, แสดงให้เห็นว่า การอนุรักษ์สามารถประสบความสำเร็จได้ และเราสามารถสร้างความแตกต่าง และนำสายพันธุ์ต่างๆ กลับมา และช่วยพวกมันให้รอดจากการสูญพันธุ์"

หนึ่งในความสำเร็จใหญ่ที่สุดคือ โครงการฟื้นฟูกวางออริกซ์เขาดาบโค้ง (Scimitar-horned oryx) ที่เคยอาศัยอยู่มากมายในภูมิภาคซาเฮล ในอเมริกาเหนือ แต่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 โดยถึงแม้ว่าพวกมันจะยังไม่แพร่หลายเหมือนเดิม แต่จำนวนของพวกมันก็กำลังเพิ่มขึ้น

"เมื่อปีก่อน มีกวางน้อยเกิดใหม่มากกว่า 200 ตัว จึงดูมีความหวังมากว่าสัตว์สายพันธุ์นี้จะกลับมาได้สำเร็จ พวกมันเคยถูกขึ้นบัญชีว่าเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์จากธรรมชาติ แต่ตอนนี้ถูกจัดเป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์แล้ว"

นอกจากนั้น ยังมีข่าวดีจากคาซัคสถาน, มองโกเลีย และอุซเบกิสถาน เมื่อนักวิทยาศาสตร์สามารถฟื้นฟูประชากรกวางแอนทีโลปสายพันธุ์ ไซกะ และสายพันธ์อื่นๆ กลับมาได้ หลังจากพวกมันได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการล่าสัตว์ จนจำนวนลดลงอย่างมาก และยังเสี่ยงต่อโรคภัยที่มักจะเชื่อมโยงกับภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศด้วย

"จนถึงปี 2565 มีประชากรพวกมันในธรรมชาติราว 1.3 ล้านตัว และบางทีในปีนี้อาจเพิ่มจนเกินกว่า 2 ล้านตัว" ดร.ฮิลตัน-เทย์เลอร์ กล่าว


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2747737

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม