ผิวคล้ำใช่ว่าจะรอด (ยูวี)
รังสียูวีจากแสงแดด ตัวการเร่งการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวสาว แต่จะจริงแค่ไหนที่ว่า รังสียูวีแผลงฤทธิ์ทำร้ายสาวผิวขาวมากกว่าสาวผิวคล้ำ
รังสียูวีในแสงแดดแบ่งเป็น "ยูวีเอ" และ "ยูวีบี" โดยยูวีเอพบมากในแสงแดดช่วงเช้าและเย็น ส่วนยูวีบีจะพบมากในช่วงแดดจัดระหว่างวัน
รังสียูวีบีจะทำให้ผิวแสบร้อนและไหม้ เป็นรอยแดง ขณะที่ยูวีเอจะส่งผลต่อเม็ดสี (Pigmentation) เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง โรคแพ้แดด และอาจทำลายลึกถึงระดับดีเอ็นเอ
"40 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์มองเพียงแค่ยูวีบี เพราะเห็นผลที่เกิดกับผิวหนังได้ชัดและทันตา" โดมินิค โมยาล ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีและการปกป้องผิวจากแสงแดด ศูนย์วิจัยลอรีอัล ประเทศฝรั่งเศส และประธานคณะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากแสงแดด ของสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางแห่งภูมิภาคยุโรป กล่าว
ผลจากการวิจัยล่าสุดกลับชี้ชัดว่า รังสียูวีเอ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีสัดส่วนในแสงแดดมีมากถึง 95% ให้ผลเสียต่อผิวหนังที่รุนแรง หยั่งรากลึกกว่ารังสียูวีบีหลายเท่า โดยจะทำร้ายเซลล์ผิวทีละน้อย อย่างสะสมไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญ สำหรับคนผิวคล้ำ ที่มักคิดว่า แสงแดดและรังสียูวีที่ทำให้ผิวคล้ำ ไม่มีผลต่อพวกเธอนั้น คงต้องคิดใหม่ เพราะยิ่งผิวคล้ำ ความชะล่าใจที่จะอยู่กลางแดดมีมาก โอกาสที่รังสียูวีเอจะทำลายผิวให้เกิดร่องริ้วรอย ตลอดจนมะเร็งผิวหนังในระยะยาวย่อมมากตาม
"คนที่มีสีผิวคล้ำ จะมีเซลล์เม็ดสีเมลานินมาก ยูวีเอก็จะยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเหล่านั้นทำงานมากขึ้น ความคล้ำยิ่งมากและคงอยู่นานกว่าเดิม และยูวีเอยังทำลายภูมิคุ้มกันของผิว เพิ่มโอกาสให้แพ้แสงแดดอีกด้วย" ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญมีคำเตือนให้กับสาวเอเชียว่า โซนเอเชียมีรังสียูวีเอที่เข้มข้นกว่าโซนยุโรป 2 เท่าในช่วงฤดูหนาว และจะมากกว่าเป็น 4 เท่าในช่วงฤดูร้อน ดังนั้น สาวเอเชียจึงต้องการการปกป้องจากรังสียูวีเอมากกว่า
สำหรับการปกป้องผิวจากรังสียูวี ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเลือกอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกโดยอ่านข้อมูลจากฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ (SPF) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี ร่วมกับค่าพีพีดี (ppd) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอ
การป้องกันรังสียูวี สัดส่วนระหว่างค่าพีพีดีและเอสพีเอฟต้องไม่ต่ำกว่า 1:3 เช่น หากครีมกันแดดเอสพีเอฟ 60 ต้องมีค่าพีพีดีไม่ต่ำกว่า 20
โดยทั่วไปผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ ยิ่งสูงยิ่งดี โดยไม่สนใจค่าพีพีดี ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
โมยาล อธิบายว่า มีการวิจัยทดสอบเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเท่ากัน 2 ชิ้น แต่ชิ้นแรกมีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ และชิ้นที่ 2 มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ นำไปทาบนผิว แล้วใช้แสงยูวีในความเข้มข้นระดับต่างๆ
ผลปรากฏชัดว่า ผิวที่ทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ ปรากฏรอยดำคล้ำได้เร็วกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ
"แม้ยูวีบีจะทำให้ผิวไหม้เป็นรอยแดงทันทีเมื่อสัมผัสแดดนาน แต่ยูวีเอสามารถแสดงผลทันทีเมื่อผิวสัมผัสรังสียูวีเป็นเวลา 1-1.30 ชั่วโมง โดยผิวจะคล้ำลงเพราะยูวีเอกระตุ้นการทำงานของเมลานินที่ทำให้เกิดสีผิวคล้ำลง และความคล้ำจากยูวีเอยังคงอยู่นานถึง 4-12 เดือน ขณะที่ผิวไหม้แดงจากยูวีบีคงอยู่เพียง 1-2 วันเท่านั้น"
ฉะนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด จึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรมระหว่างวันที่แตกต่างออกไป หากเป็นหน้าหนาวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดี 12-13 แต่หากเป็นหน้าร้อนต้องมีค่าพีพีดีอยู่ที่ 25-28 แต่หากเป็นผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับแสงแดด ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีสูงที่สุดที่มีจำหน่ายอยู่คือ 42
"แม้จะอยู่ในอาคาร อาจจะเลี่ยงยูวีบีได้ แต่หากอยู่ใกล้กระจกหรือหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งขับรถ คงหนียูวีเอไม่พ้น เพราะรังสียูวีเอสามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ ดังนั้น การป้องกันผิวด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดจึงจำเป็น เพื่อผิวที่สดใส สุขภาพดี" คำแนะนำทิ้งท้ายจากผู้เชี่ยวชาญด้านรังสียูวี
จาก ...................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ สุขภาพ วันที่ 27 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|