ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 22-08-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,355
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


รู้จัก "วาฬ 52Hz" คืออะไร จากวาฬผู้โดดเดี่ยวสู่แรงบันดาลใจให้มนุษย์



วาฬ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีลำตัวขนาดใหญ่ ตามธรรมชาติจะอาศัยรวมกันเป็นฝูง ส่วน "วาฬ 52Hz" (ภาษาอังกฤษ : 52hz Whale) ต่างออกไป เนื่องจากเป็นวาฬต้องใช้ชีวิตลำพังภายใต้มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักวาฬ 52Hz ประวัติที่มาเป็นอย่างไร พร้อมทั้งความหมายดีๆ ที่ซ่อนอยู่


วาฬ 52Hz ประวัติที่มาเป็นอย่างไร

วาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตามธรรมชาติจะอาศัยรวมกันเป็นฝูง และสื่อสารกันผ่านคลื่นเสียง โดยทั่วไปวาฬจะสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงความถี่เพียง 12-52 Hz เท่านั้น

วาฬ 52Hz คือ วาฬที่อยู่อย่างเพียงลำพังในมหาสมุทร โดยวาฬ 52Hz ปรากฏตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1989 เมื่อทีมงานสถาบันสมุทรศาสตร์วูดโฮล ได้พบคลื่นเสียงความถี่ 52Hz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สูง จึงได้ออกสำรวจและพบเสียงดังกล่าวอีกครั้งในปีต่อมา

ค.ศ. 1992 เรือดำน้ำของประเทศสหรัฐอเมริกาได้พบคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเดียวกันจากเครื่องมือที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของโซเวียต ในช่วงแรกทางกองทัพคิดว่าเป็นกลยุทธ์ของฝั่งศัตรู แต่เมื่อศึกษาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล พบว่าเจ้าของเสียงนี้คือ วาฬบาลีนขนาดใหญ่

จากการศึกษาเพิ่มเติม วาฬตัวนี้อาศัยอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากระดับความถี่เสียงสูงกว่าปกติ ทำให้ไม่สื่อสารกับวาฬหรือฝูงตัวอื่นๆ ได้ โดยเชื่อว่าเป็นเพราะวาฬ 52Hz เป็นวาฬลูกผสมของวาฬสีน้ำเงินและวาฬฟิน ทำให้ร่างกายอาจผิดแปลกไปจากสายพันธุ์อื่นๆ และส่งผลต่อการส่งคลื่นเสียง


วาฬ 52Hz มีกี่ตัว

จากการสำรวจในช่วงแรกพบว่า วาฬ 52Hz อาศัยอยู่ภายใต้มหาสมุทรเพียงลำพังแค่ตัวเดียว แต่เมื่อมีการออกสำรวจและศึกษาเพิ่มเติม พบว่ามีคลื่นเสียงความถี่ 52 เฮิรตซ์ ดังขึ้น 2 จุดในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าอย่างน้อย วาฬ 52 ก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการสันนิษฐานว่าวาฬอาจไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวแต่แรก แต่ยังคงเดินทางไปกับฝูง เพียงแต่ประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างกันและกันน้อยลงเท่านั้นเอง

ส่วนคำถามที่ว่า วาฬ 52Hz ยังมีชีวิตอยู่ไหม อาจเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามนี้ได้ แม้ว่าล่าสุดจะไม่มีใครได้ยินเสียงคลื่นความถี่ของวาฬ 52Hz แต่เจ้าวาฬ 52Hz อาจจะกำลังเข้าสู่ช่วงอพยพ ล่าอาหาร หรือออกผจญภัยอยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรก็เป็นได้


วาฬ 52Hz ความหมายที่ซ่อนอยู่

วาฬ 52Hz กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเดี่ยว ถูกตีความหมายไปหลายรูปแบบ เช่น บางคนเลือกสักรูปวาฬ 52Hz รอยสักที่สื่อว่าวาฬตัวนี้จะไม่เหงาอีกต่อไป เนื่องจากมีลายสักวาฬ 52Hz เป็นเพื่อนอีกตัว หรือบางคนตีความในเชิงความรักไว้ว่า วาฬอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองอย่างเพียงลำพัง มนุษย์ก็สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเช่นกัน จนกว่าจะเจอคลื่นความถี่หรือความรักที่เหมาะสมกับตัวเอง


จากวาฬผู้โดดเดี่ยวสู่แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน

ไม่ว่าจะด้วยความเหงา หรือความเศร้า เมื่อได้ฟังเรื่องราวของวาฬ 52Hz ทำให้วาฬตัวนี้กลายที่เป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจจากทั่วโลก เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานอันน่าทึ่งอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สารคดี The Loneliest Whale : The Search for 52 ของ Josh Zeman บทเพลง Whalien 52 ของวง BTS ศิลปิน K-Pop ชื่อดัง ภาพยนตร์วาฬ 52Hz หนังสือ และผลงานศิลปะอีกหลายชิ้น

วาฬ 52Hz ปัจจุบัน กำลังเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มในฐานะนิยายเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อเรื่องและการถ่ายทอดเนื้อหา ทำให้มีการนำเรื่องราวส่วนหนึ่งในนิยาย 52Hz วาฬ มาแชร์ต่อจนเกิดเป็นกระแส และเกิด #52Hz_ปิดฟิคถาวร ติดเทรนด์แอปพลิเคชัน X ตามมา

แม้ว่าเรื่องวาฬ 52Hz จะถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 แต่ปัจจุบันเรื่องราวของวาฬตัวนี้ ยังคงถูกพูดถึง สร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนความหมายและข้อคิดดีๆ ไว้เสมอ

อ้างอิงข้อมูล : วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2718891


******************************************************************************************************


มลพิษทางอากาศอินโดฯ วิกฤติต่อเนื่อง ปธน.ไอเรื้อรังนานนับเดือน



- ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ของอินโดนีเซียกำลังป่วยจากอาการไอเรื้อรังที่เขาเป็นมานานกว่า 4 สัปดาห์แล้ว แพทย์วินิจฉัยว่าอาการไอของเขา อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงอย่างมาก

- IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์ เผยดัชนีคุณภาพอากาศในกรุงจาการ์ตา พบว่าลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นเมืองหลวงที่มีมลพิษทางอากาศที่เลวร้ายที่สุดในโลก

สัปดาห์ที่ผ่านมา นายซานดิอากา อูโน รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินโดนีเซียเปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด กำลังป่วยจากอาการไอเรื้อรังที่เขาเป็นมานานกว่า 4 สัปดาห์แล้ว โดยแพทย์วินิจฉัยว่าอาการไอของเขา อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงอย่างมาก ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทาง IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศชั้นนำของสวิสเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าจาการ์ตามีมลพิษทางอากาศที่เลวร้ายที่สุดในโลก

ก่อนหน้านี้ มีการเผยแพร่ข้อมูลการศึกษาที่พบว่า กรุงจาการ์ตาเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีระดับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการรวมตัวกันของปัจจัยต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปล่อยไอเสียรถยนต์ โครงการก่อสร้างบ้านจัดสรรและอาคารสูง การเผาไหม้ของชีวมวลและเชื้อเพลิงอื่นๆ รวมถึงถ่านหิน และการปล่อยฝุ่นละอองควันพิษในอากาศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากโรงงานและอุตสาหกรรมในพื้นที่โดยรอบซึ่งปล่อยหมอกควันหนาทึบไปทั่วเมืองหลวง

บรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซียระบุว่า หากการไอของประธานาธิบดีโจโควี มีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศจริงๆ มันก็เป็นผลมาจากความล่าช้าในการแก้ปัญหาของเขาเองในขณะที่ประชาชนจำนวนมากในกรุงจาการ์ตาต่างก็ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจากมลพิษทางอากาศเช่นกัน


รัฐบาลโจโควีแพ้คดีมลพิษทางอากาศ

ในคดีฟ้องร้องเมื่อปี 2564 ประธานาธิบดีโจโควี และเจ้าหน้าที่รัฐอีก 6 คน ได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ รัฐมนตรีมหาดไทยและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ผู้ว่าราชการจังหวัดชวาตะวันตก และผู้ว่าราชการจังหวัดบันเติน ที่เป็นจำเลย ได้แพ้คดีที่พวกเขาเป็นจำเลย โดยศาลตัดสินว่าจำเลยทั้ง 7 คนล้มเหลวในการทำหน้าที่ในการควบคุมมลพิษในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกรุงจาการ์ตาและพื้นที่โดยรอบ ทำให้พวกเขาต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างเร่งด่วน

ศาลระบุว่า จำเลยได้ กระทำการที่ผิดกฎหมายโดยละเลยที่จะใช้มาตรการควบคุมมลพิษทางอากาศในกรุงจาการ์ตา โดยสั่งให้ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นจำเลย ต้องเร่งปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองหลวงและแก้ไขกฎระเบียบของรัฐบาลเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ

นายอะนีส บาสเวดาน ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาในขณะนั้น กล่าวว่า เขาจะไม่อุทธรณ์คำตัดสินและฝ่ายบริหารของเขาพร้อมที่จะดำเนินการตามคำตัดสินของศาลเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงจาการ์ตา อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโจโควี และรัฐมนตรีของเขาได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน แต่พ่ายแพ้อีกครั้งในปี 2565 ก่อนจะยื่นอุทธรณ์อีกครั้งในปี 2566 ขณะที่คำตัดสินขั้นสุดท้ายยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

เอลิซา สุทนัดชา หนึ่งในโจทก์ผู้ยื่นฟ้องคดีนี้กล่าวว่า รัฐบาลปฏิเสธมาตลอด 2 ปี และยังคงยื่นอุทธรณ์ต่อทุกครั้งที่แพ้ในศาล ขณะที่เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่เธอเห็นว่ารัฐบาลอาจจะต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างหลังจากที่ประธานาธิบดีไอเรื้อรังมาเป็นเดือนแล้ว


วิกฤติมลพิษทางอากาศจาการ์ตา

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีมลพิษทางอากาศเลวร้ายที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจาการ์ตาเป็นเมืองหลวงที่มีมลพิษมากเป็นอันดับ 10 ของโลก ตามรายงานคุณภาพอากาศโลกของ IQAir เมื่อปี 2563

มลพิษทางอากาศวัดจากระดับความเข้มข้นของ PM 2.5 ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดจิ๋วที่ประกอบด้วยสารก่อมลพิษ เช่น ซัลเฟต ไนเตรต และคาร์บอนดำ ซึ่งเป็นฝุ่นละอองมีขนาดเล็กจิ๋วพอที่จะเจาะลึกเข้าไปในปอดและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ เช่น มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) กำหนดมาตรฐานสำหรับ PM 2.5 ในคุณภาพอากาศแวดล้อมที่ปลอดภัยที่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในอินโดนีเซีย มาตรฐานความปลอดภัยแห่งชาติที่กำหนดโดยรัฐบาลคือ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

แต่ในกรุงจาการ์ตา ค่าที่อ่านได้สูงกว่าทั้งสองระดับอย่างสม่ำเสมอ โดยมีความเข้มข้นของ PM 2.5 เฉลี่ยต่อปีที่ 39.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามรายงานของ IQAir

การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วและความแออัดของการจราจรในระดับสูงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณภาพอากาศย่ำแย่ของจาการ์ตา จากการศึกษาของ Center for Research on Energy and Clean Air พบว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินในเขตชานเมืองก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพอากาศเช่นกัน

บอนดาน แอนดริยานู นักรณรงค์ด้านสภาพอากาศและพลังงานของกรีนพีซอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย รับทราบว่ามีชาวจาการ์ตา 600,000 คนติดเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนต้น เริ่มตั้งแต่ช่องจมูกจนถึงเหนือกล่องเสียง (Upper respiratory infection) นับจนถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ ทำให้กรณีนี้เป็นเหตุฉุกเฉินและจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน

สื่อท้องถิ่นของอินโดนีเซียรายงานว่า ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจโควี สั่งให้มีการสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองให้มากขึ้น และสนับสนุนให้สำนักงานต่างๆ หันมาใช้สภาพการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและที่บ้าน ซึ่งบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวลด้อมมองว่า เป็นเพียงมาตรการที่มองข้ามโรงงานอุตสาหกรรมแล้วมาผลักภาระให้กับประชาชนในขณะที่รัฐแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เช่นเดียวกับเวลาที่รัฐบอกว่าสนับสนุนให้ประชาชนช่วยลดมลพิษด้วยการหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนรถยนต์ส่วนตัว ในขณะที่ระบบขนส่งมวลชนของอินโดนีเซียยังคงย่ำแย่และไม่มีใครอยากใช้บริการ

ในขณะที่นักวิจารณ์กล่าวว่ารัฐบาลล้มเหลวในการดำเนินการแก้ปัญหามลพิษในทางปฏิบัติในกรุงจาการ์ตา แต่ขณะนี้มีแผนขนาดมหึมาที่จะย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซียไปยังสถานที่ใหม่ที่ปราศจากหมอกควัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1,200 กิโลเมตรในจังหวัดกะลิมันตันตะวันออก บนเกาะบอร์เนียว

แผนการย้ายเมืองหลวงมูลค่ามากกว่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับการเปิดเผยครั้งแรกระหว่างการปราศรัยของประธานาธิบดีโจโควี ในช่วง 1 วันก่อนวันประกาศอิสรภาพของอินโดนีเซียครั้งที่ 74 ในปี 2562 โดยระบุว่าเป็นการแก้ปัญหามากมายของกรุงจาการ์ตา ตั้งแต่มลพิษทางอากาศ ไปจนถึงการจราจรติดขัด ความแออัดยัดเยียด การสูบน้ำบาดาลที่ไร้การควบคุมซึ่งทำให้เมืองหลวงทรุดทำให้เกิดน้ำท่วม.


https://www.thairath.co.th/news/fore...oogle_vignette

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม