ดูแบบคำตอบเดียว
  #7  
เก่า 23-10-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


สารพัดโรคจากวิกฤติน้ำท่วม!! ลดเสี่ยงก่อนร่างกาย-จิตใจป่วย



เมื่อเราตกอยู่ในสภาวะอุทกภัยร้ายแรงซึ่งที่ทราบกันดีว่าส่งผลให้บ้านเรือน ทรัพย์สินเสียหาย อย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลายคนเกิดความกลัวกระทั่งกลายเป็นความวิตกกังวล และอาจส่งผลให้คนคนหนึ่งมีอารมณ์ความรู้สึกหลายๆอย่างเกิดขึ้นจนกลายเป็นความเครียด เมื่อเครียดมากๆ ร่างกายก็เริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆมากมาย ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมรับมือก่อนลุกลามทำให้ร่างกายและจิตใจป่วยไปพร้อมๆกัน คงเป็นอะไรที่แย่มากๆ

ทางกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช ได้ให้ความรู้และแนวทางการป้องกันสารพัดโรคต่างๆที่อาจเกิดจากอุทกภัยน้ำท่วมว่า การจัดการกับความเครียดจากวิกฤติการณ์น้ำท่วม หรือการตอบสนองทางอารมณ์จากภัยน้ำท่วม ไม่ว่าใครก็ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พายุ ไฟไหม้ และภัยน้ำท่วมที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ อาจทำให้มีความเครียดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ทรัพย์สินเสียหาย การเจ็บป่วย การเสียคนในครอบครัว ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นอาจมีผลเสียต่อสุขภาพของเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

ดังนั้นการแสดงออกทางอารมณ์ที่แสดงว่าเราเริ่มมีความเครียดที่อาจจะพบ ได้แก่ มีอาการฝันร้ายหรือฝันซ้ำๆเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วม ไม่สามารถมีสมาธิหรือจดจำสิ่งต่างๆได้ รู้สึกเฉยชา เบื่อ เหนื่อย แยกตัวออกจากสังคมหรือคนรอบข้าง มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธ แสดงออกอย่างรุนแรง มีอาการไม่สบายทางกาย เช่น ปวดหัว อาหารไม่ย่อย ปวดเมื่อยตามตัว มีลักษณะที่แสดงออกถึงการระวังความปลอดภัยของคนในครอบครัวอย่างเกินเลย หลีกเลี่ยงจะจดจำเรื่องน้ำท่วม และร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ

หากเรามีอาการเหล่านี้ควรจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นด้วยการจำกัดการได้รับข่าวสารที่เกี่ยวกับอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติต่างๆแต่พอควร รับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมทำเพื่อไม่ปล่อยให้มีเวลาว่างมากเกินไป พยายามติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อาศัยหลักศาสนาเข้ามาช่วย พยายามสร้างอารมณ์ขันอยู่เรื่อยๆ แสดงความคิดของตัวเองออกมาไม่ว่าจะเป็นการพูด การคุยและการแบ่งปันความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่นๆ เพื่อแบ่งเบาความเครียดและความวิตกกังวล

นอกจากการดูแลตัวเองทางด้านจิตใจแล้ว ในด้านสุขภาพของตัวเองก็สำคัญและควรหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วย เพราะในภาวะน้ำท่วมเช่นนี้อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากมาย คือ “โรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด” ได้แก่ ไทฟอยด์ อหิวาต์ โรคฉี่หนู และไวรัสตับอักเสบเอ “โรคติดต่อเนื่องจากมีแมลงเป็นพาหะ” ได้แก่ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก รวมถึง “อุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่างๆ” เช่น การจมน้ำ

โดยโรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด ในภาวะน้ำท่วมจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในชุมชนใหญ่หรือขาดแคลนน้ำสะอาด เนื่องจากน้ำดื่มไม่สะอาดและติดเชื้อน้ำไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังอักเสบ แผลติดเชื้อ ตาอักเสบ ติดเชื้อทางเดินอาหาร ซึ่งเชื้อโรคที่สามารถติดต่อทางน้ำ ได้แก่ เชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หรือเชื้อโปลิโอ เชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้ออหิวาต์ ไทฟอยด์ เชื้อ Coliform ที่ทำให้มีอาการท้องเสีย และเชื้อโปรโต
ซัว เช่น Cryptosporidiosum, Amebae, Giardia

ส่วนใหญ่แล้วการติดต่อเชื้อโรคจะมาจากการดื่มน้ำไม่สะอาด แต่มีบางโรคที่สามารถระบาดได้มากโดยการติดต่อทางการสัมผัสทางผิวหนัง เช่น โรคฉี่หนู ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อผ่านทางผิวหนังหรือเยื่อของร่างกายที่สัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนฉี่หนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ติดเชื้อ หากติดเชื้อจะมีอาการไข้สูง ปวดหัวมาก ปวดเมื่อยตามตัว ถ้าเป็นรุนแรงอาจมีอาการตัวเหลือง ตับวาย ไตวายหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

สำหรับโรคไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่มีการอักเสบของตับ จากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน โดยจะมีระยะฟักตัว 15-45 วันก่อนมีอาการ จากนั้นอาการจะเริ่มต้นด้วยอาการปวดเมื่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร คลื่นไส้ ไข้ต่ำ อุจจาระสีซีดและปัสสาวะสีเข้ม มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองดีซ่าน หลังรับการรักษาแล้วควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารมัน แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตามการป้องกันโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำ คือการดื่มน้ำสะอาดและเพียงพอเพื่อป้องกันร่างกายจากการขาดน้ำ โดยน้ำสะอาดได้แก่ น้ำต้มสุกหรือผ่านคลอรีน

นอกจากโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำแล้วยังมีโรคอื่นๆอีก ได้แก่เรื่องของอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการจมน้ำ หรืออุบัติเหตุการบาดเจ็บอื่นๆ ถ้ามีบาดแผลควรฉีดวัคซีนป้องกับาดทะยักและรับประทานยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะอุณหภูมิในร่างกายต่ำผิดปกติ(Hypothermia) มักพบในเด็กเล็ก หากติดอยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น

ความเครียดจากภัยธรรมชาติมักเป็นกันทุกคน แต่ขอให้เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากเราไม่รีบตั้งสติรับมือกับมันเพื่อป้องกัน อาจทำให้สุขภาพของเราค่อยๆย่ำแย่ แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรงกลับมาได้อย่างไร เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม...

เคล็ดลับสุขภาพดี ดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรไทยสู้ภัยน้ำท่วม

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย นอกจากจะส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยแล้ว ในเรื่องของสุขภาพหลายคนเริ่มจะเจ็บป่วยแล้ว รวมทั้งสภาพอากาศก็เริ่มหนาวเย็นอีกด้วย หากเราไม่รู้จักดูแลร่างกายให้ดีอาจเจ็บป่วยได้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าต้องเจ็บป่วยท่วมกลางสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีแนะนำสมุนไพรเพื่อบรรเทาทุกข์จากโรคต่างๆมาฝากกัน

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร จากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ความรู้ว่า การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้แก่ โรคหวัด มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจาม อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย เบื่ออาหาร หรือมีไข้ร่วมด้วย เราสามารถใช้สมุนไพรที่หาง่ายใกล้ตัวอย่างฟ้าทลายโจร สามารถนำมารักษาได้โดย 1. ยาชง ใช้ใบ 5-7 ใบ สดหรือแห้งก็ได้เติมน้ำเดือดลงไปจนเกือบเต็มแก้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วรินน้ำกินครั้งละ 1 แก้ววันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร ยาต้ม ใช้ทั้งต้นและใบจำนวน 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ให้เดือดนาน 10-15 นาที กินขณะที่ยังอุ่นอยู่ ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถกลบรสขมได้ด้วยการกินของรสเปรี้ยว เค็มตาม

การใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจรให้ได้ผลดีและออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุดในการแก้หวัดคือ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวทำท่าว่าจะเป็นไข้ให้รีบรับประทานทันที นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณรักษาอาการท้องเสียโดยไม่ทำให้หยุดถ่ายทันที วิธีใช้คือเริ่มใช้เมื่อมีอาการโดยใช้ผสมกับผงเกลือแร่ดื่มทันที และไม่ควรรับประทานยาแก้ท้องเสียหรือยาปฏิชีวนะ ยกเว้นในรายที่ติดเชื้ออหิวาตกโรคควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

สำหรับสมุนไพรในครัว เช่น ขิงก็สามารถนำมาแก้หวัดได้ จากงานวิจัยพบว่าน้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของ Macrophage ที่มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัส H3N2 ที่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งเราสามารถกินน้ำขิงเพื่อป้องกันหวัดได้โดยการนำขิงแก่สดล้างสะอาดทุบให้พอบุบโดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง ประมาณ 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำสะอาด 3 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามใจชอบก็จะได้น้ำสมุนไพรต้านหวัดแล้ว

กระเทียม เป็นสมุนไพรในครัวเรือนสารพัดประโยชน์อีกหนึ่งตัว ที่เพียงรับประทานกระเทียมสดเป็นประจำก็สามารถป้องกันหวัดและลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยของญี่ปุ่นว่ากระเทียมในรูปของ Aged Garlic Extract (AGE-การแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20 เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์ แล้วทิ้งไว้นานมากกว่า 10 เดือนที่อุณหภูมิห้องก่อนนำมาทำให้เข้มข้น) มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้มีประสิทธิผลในการป้องกันหวัดได้ดีเท่ากับการใช้วัคซีนกระเทียมดอง ซึ่งในฤดูกาลที่มีการระบาดของหวัดควรรับประทานกระเทียมในรูปแบบต่างๆเป็นประจำ

นอกจากนี้ยังมี สมุนไพรใช้ทาภายนอก หากถูกแมลงสัตว์กัดต่อย มีอาการปวดบวมแดงร้อนบริเวณถูกกัดต่อย ควรรีบทำความสะอาดและใช้สมุนไพรที่มีความเป็นกรด เช่น มะนาว น้ำส้ม มะขามเปียกโปะไว้ ซึ่งพิษของสัตว์มีพิษทุกชนิดจะเป็นสารโปรตีนจึงถูกทำลายด้วยสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด และ สมุนไพรจำพวกตะไคร้หอม ใบกะเพรา ใบเสลดพังพอนตัวผู้หรือตัวเมีย นำไปตำ คั้นเอาน้ำ หรือนำไปตากในที่ร่มแล้วบดเป็นผงนำมาทาตัวเพื่อป้องกันยุงกัดได้ เพราะยุงเป็นสัตว์ที่มักมาพร้อมกับน้ำท่วมขัง และหากถูกยุงกัดใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่นิยมคือ ปูนแดง ช่วยลดอาการอักเสบ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ภูมิปัญญาไทยดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและครอบครัวเบื้องต้นได้ยามประสบอุทกภัยแล้ว

หากใครต้องการสอบถามเรื่องการใช้สมุนไพรเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร. 0-3721-1288-9.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 23 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม