ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 07-09-2011
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,159
Default โรคหอบหืด กับ ความเสี่ยงในการดำน้ำ

โรคหอบหืด กับ ความเสี่ยงในการดำน้ำ

สุขภาพกับการดำน้ำ โดยหมอเอ๋ เมื่อ 6 กันยายน 2011 เวลา 11:27 น.


************************************************************************************************


โรคหอบหืดนั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการตัดสินใจ ที่จะเริ่มเรียนดำน้ำ


ในกฏเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักปฏิบัติการใต้น้ำของทางราชการนั้น หากพบว่า มีประวัติเจ็บป่วยเป็นโรคหอบหืด จะถือว่าขาดคุณสมบัติในทันที


แต่ สำหรับการดำน้ำแบบสันทนาการ หรือ การดำน้ำเพื่อการกีฬาในภาคพลเรือน ก่อนจะกรอกใบสมัครเข้าเรียนดำน้ำ จะมีคำถามที่ให้ผู้เรียนตอบว่า ท่านมีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรค หอบหืดหรือไม่ ซึ่ง ผู้กรอก อาจกรอกตามความเป็นจริงหรือปกปิดข้อมูลการเจ็บป่วยนั้นได้ แต่หากครูผู้สอนมีความสงสัยก็อาจส่งตัวมาให้แพทย์ ทำการตรวจยืนยัน และออกใบรับรองแพทย์ก่อนทำการเรียนได้ครับ


ทีนี้ หอบหืดนั้น ไม่สมควรจะดำน้ำในทุกกรณีจริงหรือไม่ เราจะมาพูดคุยกันในประเด็นนี้นะครับ



พยาธิสถาพของโรคหอบหืด ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงในการดำน้ำ

มีอยู่สองประเด็นหลักๆดังนี้ครับ


1) เมื่อนักดำน้ำลงไปอยู่ใต้ผิวน้ำ การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของการดำน้ำตามปกตินั้น ความจุปอดจะลดลงโดยอิทธิพลของแรงกดบรรยากาศที่เพิ่มขึ้น และ ความหนาแน่นของอากาศที่ใช้หายใจก็จะสูงขึ้น ตามแรงกดบรรยากาศที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นในผู้ป่วยหอบหืด หากเกิดอาการในขณะอยู่ใต้น้ำ การตีบของหลอดลมเล็กๆ ในปอดก็จะยิ่งทำให้ปริมาณอากาศที่จะใช้ยิ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และจะรุนแรงมากไปอีกหากร่างกายต้องมีการออกกำลังมากๆใต้น้ำเช่นการออกแรงเตะขาเพื่อสู้กับกระแสน้ำ


2) การตีบและหดตัวของหลอดลมเล็กๆในปอด ประกอบกับการมีเสมหะหรือสารคัดหลั่งในหลอดลมเล็กๆ จะทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ และ ทำให้อากาศถูกขังค้าง อยู่ในถุงลม ... เมื่อมีการเปลี่ยนความลึกไปยังที่ๆ มีความลึกน้อยลง ความกดบรรยากาศที่ลดลงจะทำให้ปริมาตรอากาศที่ถูกขังไว้ขยายตัวขึ้นและไม่มีทางระบายออกไปได้ จะนำไปสู่การฉีกขาดของถุงลม หรือ หากรุนแรงมากก็จะทำให้เยื่อหุ้มปอดฉีกขาด และการเกิดฟองอากาศไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตใด้ ครับ



เมื่อเข้าใจถึงพยาธิสภาพ ของหอบหืด ที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการดำน้ำแล้ว เราก็มาดูกันเลยนะครับว่า ผู้ป่วยหอบหืด กลุ่มใดบ้างที่ " ไม่ควรดำน้ำอย่างเด็ดขาด " และ กลุ่มใด ที่พอจะยอมให้ทำการดำน้ำได้ แบ่งได้เป็นกลุ่ม คร่าวๆ ตามนี้ครับ



กลุ่มที่1

1) อาการหอบหืดที่ยังเป็นอยู่อย่างสม่ำเสมอ

2) อาการหอบหืดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา

3) อาการหอบหืดที่ จะแสดงอาการเมื่อถูกกระตุ้นโดย การออกกำลัง , การสัมผัสอากาศเย็น , หรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

4) อาการหอบหืดที่ ไม่เกิดอาการสม่ำเสมอ แต่เมื่อมีอาการแล้วมีอาการรุนแรง ต้องอาศัยยาพ่นหรือยาฉีดในการควบคุมอาการ

หากมีข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น " ไม่ควรดำน้ำอย่างเด็ดขาด " ครับเพราะอาจเกิดอันตรายแก่ชีวิต ของท่านเอง และบัดดี้ของท่านได้



กลุ่มที่2

2.1)ในผู้ป่วยบางกลุ่ม อาการหอบหืด มักไม่ได้เป็นตลอดเวลา อาจจะเป็นๆหายๆ เช่น บางคนจะเกิดอาการเฉพาะที่มีการเป็นหวัด หรือติดเชื้อทางเดินหายใจที่ เป็นมาซักระยะนึงแล้วอาการติดเชื้อยังไม่ดีขึ้นเช่น สองสามสัปดาห์ จากนั้นจึงมีอาการหอบหืดเกิดขึ้นให้เห็น หรือ อาการหอบหืดที่เกิด เฉพาะบางช่วงของปีหรือฤดูการ ( อาจสัมพันธ์กับละอองเกสรของพืชบางชนิดที่มีมากในอากาศในบางฤดูการ ) ในกรณีนี้นั้น .... หากผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำการดำน้ำ จะต้องได้รับการรักษา ให้หายสนิทปราศจากอาการหอบหืด ก่อนการลงดำน้ำทุกครั้งและมีแพทย์เป็นผู้ประเมินแและให้การรับรองก่อนการลงดำน้ำทุกครั้งเช่นกัน



2.2) สำหรับคนที่เป็นหอบหืด ที่ไม่แสดงอาการบ่อย ,ไม่มีอาการรุนแรง สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรับประทานยา ไม่ต้องใช้ยาพ่นหรือยาฉีดเพื่อควบคุมอาการ และ ผลตรวจคัดกรองความจุปอด ก่อนทำการดำน้ำ เป็นปกติ และ เมื่อทดสอบให้ออกกำลังกาย แล้วไม่พบอาการหอบหืด ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อาจได้รับการพิจรณาให้ทำการดำน้ำได้



อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่ เป็นหอบหืดแต่ได้รับการพิจรณาว่า สามารถดำน้ำได้ก็ควรจะต้องระลึกไว้เสมอว่า การดำน้ำโดยที่มีโรคประจำตัวหรือมีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรค หอบหืดนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิด โรคจากการดำน้ำเช่น Pulmonary baro-trauma ( การบาดเจ็บจากแรงดันที่ทำให้ถุงลมในปอดฉีกขาด หรืออาจรุนแรงจนเยื่อหุ้มปอดฉีกขาด ) , Cerebral arterial gas embolism ( การที่มีฟองอากาศเข้าไปอุดตันในหลอดเลือดแดงของสมอง ) โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคทั้งสอง สูงกว่าคนปกติทั่วไปถึง 4 เท่า และ ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการดำน้ำก็สูงกว่า นักดำน้ำปกติทั่วไปเช่นกัน



ดังนั้นก่อนจะทำการเรียนดำน้ำ หรือ จะไปดำน้ำในกรณีที่ท่านเป็นนักดำน้ำที่ผ่านการอบรมแล้ว การให้ข้อมูลที่แท้จริงต่อโรงเรียนดำน้ำ , ผู้ควบคุมการดำน้ำ , บัดดดี้ของท่าน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง และผู้ที่ดำน้ำร่วมกับท่าน และหาก ท่านที่ไม่แน่ใจเรื่อง สภาพความเจ็บป่วยของท่านที่เป็นหอบหืดอยู่ ว่าสามารถจะทำการดำน้ำได้หรือไม่ ก็ควรจะ รีบไปขอคำปรึกษากับแพทย์เวชศาสตร์ใต้น้ำโดยตรง เพื่อจะได้รับการประเมิน และได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อไปครับ


__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-09-2011 เมื่อ 08:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม