ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 03-08-2009
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default ประเทศไทย กับภัยพิบัติ (2)


น้ำจะท่วมฟ้าปลาใหญ่น้อยคอยกินดาว เผชิญหน้าภัยพิบัติในอนาคต


โหราจารย์ และนักวิชาการบางสำนักเผยคำทำนายว่าในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้ประเทศไทยจะเกิด ภัยพิบัติ อย่างรุนแรง บ้างโหนกระแสโลกร้อนชี้ว่ากรุงเทพฯ จะจมน้ำ

โหราจารย์และนักวิชาการบางสำนักเผยคำทำนายว่าในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้ประเทศไทยจะเกิดภัยพิบัติ อย่างรุนแรง บ้างโหนกระแสโลกร้อนชี้ว่ากรุงเทพฯ จะจมน้ำ โดยยกตัวอย่างการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งบางขุนเทียนมาอ้างอิงเกจิบางคนถึงกับประเมินความเสียหายแล้วเสนอแนะว่า รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการเตรียมย้ายเมืองหลวงหนีน้ำตั้งแต่วันนี้ด้วยซ้ำ 20 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับภัยธรรมชาติอยู่หลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการเกิดอุทกภัย บางปีน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมดินโคลนถล่ม และที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งโลกคือการเกิดแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเล ฝั่งอันดามันกลายเป็นคลื่นยักษ์ ′สึนามิ′ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 พบผู้เสียชีวิตมากมายในหลายประเทศและแม้ว่าการทำงานของภาครัฐได้พยายามที่จะพัฒนาเทคโนโลยีสร้างเครื่องมือเตือนภัยทันสมัยมากขึ้นเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าในการโยงภัยพิบัติเข้ากับคำทำนาย ′วันสิ้นโลก′ ของหลายสำนักกลับสร้างกระแสความเชื่อให้คนไทยมากกว่า

ล่าสุดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ′สุริยคราส′ ก็ไม่รอดพ้นจากการทำนายของโหร และการทำพิธีแก้เคล็ด ′กบกินเดือน′ ของพระบางวัด ′หลังจากวันที่ 22 ตุลาคม 2552 ไปแล้ว การเมือง เศรษฐกิจและสังคมจะดีขึ้น′ เป็นข้อสรุปของโหราจารย์ หลังจากเพ่งตำแหน่งดวงดาว การทำความจริงให้ปรากฏ

อย่างไรก็ตาม หากตัดเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล โดยนำเอาสถิติที่ หน่วยงานรัฐได้เก็บรวบรวมก็จะพบว่า การเกิดภัยพิบัติในประเทศไทย มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งอุทกภัยสร้างความเสียหายมากที่สุดอันเนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่าของมนุษย์

เช่นเดียวกับความเห็นของ นายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรม ทรัพยากรธรณี ในระหว่างสัมมนาเรื่อง "ปัญหาภัยธรรมชาติด้านแผ่นดินไหว อุทกภัยและดินโคลนถล่ม" ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การ เกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา ซึ่งเน้นย้ำว่าการปฏิบัติกับภัยธรรมชาติที่สำคัญที่สุดคือ "การทำความจริงให้ปรากฏ"

เพราะนอกจากการนั่งทางใน ใช้ญาณวิเศษเพ่งนิมิตแล้ว นายวรวุฒิให้ความเห็นว่าปัญหาคือนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องภัย ธรรมชาติส่วนใหญ่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว

สำหรับ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยที่สุดคือน้ำท่วม เนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศที่มีลมมรสุมพัดผ่านอยู่เสมอ เมื่อฝนตกหนักทำให้หลายครั้งเกิดดินโคลนถล่มบ้านเรือนเสียหาย แต่ที่พบได้น้อยและโอกาสเกิดได้ยากที่สุดคือแผ่นดินไหว

อุทกภัยพินาศแสนล้าน

ทั้ง นี้ ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัยสรุปสถานการณ์อุทกภัยของประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2532-2551 (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551) พบว่ามีการเกิดเหตุ 208 ครั้ง ความเสียหายด้านทรัพย์สินและสาธารณประโยชน์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,516,117,089 บาท มีราษฎรได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกว่า 75 ล้านคน ใน 19 ล้านครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 2,885 คน ความ เสียหายที่เกิดขึ้นแล้วมากกว่าแสนล้านบาทนี้ทำให้เกิดคำถามที่ว่าสังคมไทย ได้ตระหนักและมีมาตรการป้องกันต่อภัยพิบัติในอนาคตอย่างไร

นาย สุพัตร วัฒยุ ผู้อำนวยการสำนักอุทกวิทยาและบริหารน้ำ กรมชลประทาน เปิดประเด็นเพื่อสร้างความเข้าใจในเบื้องต้นว่าทำไมน้ำถึงท่วม โดยอธิบายถึงสาเหตุที่จะทำให้น้ำท่วมว่ามีอยู่ 3 ปัจจัย คือ 1.น้ำ ถ้า มีปริมาณเยอะ ก็สามารถทำให้ท่วมได้ 2.แม่น้ำ ถ้าทางไหลของน้ำมีขนาดเล็กก็ทำให้น้ำท่วมได้ และ 3.พื้นที่ ถ้าขนาดพื้นที่ระบายน้ำแคบ ก็ทำให้น้ำท่วมได้

ถ้า ไม่มีอันใดอันหนึ่ง ก็จะไม่เกิดน้ำท่วม ถ้าปริมาณน้ำมีเยอะ แต่แม่น้ำมีขนาดเล็ก แน่นอนมันล้นตลิ่ง เมื่อล้นตลิ่งแล้วจะท่วมไปไกลไหม ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่น้ำจะท่วม ถ้าจะดูว่าทำไม น้ำมันเกิดขึ้นมากได้อย่างไร สิ่งที่เป็นปัจจัย 4 เรื่องที่จะเป็นสาเหตุทำให้น้ำท่วม เรื่องแรกคือตัวฝน ซึ่งเราคุมไม่ได้ ฝนตกหนัก คือหากตกลงมา 100 มิลลิเมตร ใน 1 ชั่วโมง ถ้าไม่มีเครื่องเตือน เราจะทำอย่างไร กะละมังง่ายที่สุด ว่าชั่วโมงนั้นฝนตกกี่มิลลิเมตร หากปริมาณน้ำฝนมีความสูงวัดได้ 10 เซนติเมตร ก็คือ 100 มิลลิเมตร เป็นวิธีการง่ายๆ โดยไม่ต้องอาศัยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีก็ดี คือมีสิ่งที่เตือนภัยก็จะดี

นาย สุพัตรกล่าวอีกว่า เมื่อฝนตกมีปริมาณมาก ความเข้มของฝน พืชคลุมดิน ชนิดของดินในการดูดซึม ก็จะเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดน้ำมากหรือน้ำน้อย ′ ฝนที่ตกลงมาส่วนหนึ่งก็ค้างอยู่ตามใบไม้ ต้นไม้ กอหญ้า ถ้าความหนาแน่นของพืชคลุมดินมาก ก็จะทำให้การดักน้ำเอาไว้มากไปด้วย เหลือน้ำที่จะไหลลงมาสู่ดินได้น้อย แต่พืชคลุมดินนี้เองที่มนุษย์ชอบไปทำลาย ลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต่อต้านไม่ให้น้ำไหลอย่างรวดเร็ว นี่เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ต้องทำให้ดีขึ้น′

" เมื่อมีการดักน้ำได้แล้ว ก็มาถึงว่าดินซึมได้มากหรือไม่ ถ้าดินซึมได้มาก ก็จะเหลือปริมาณน้ำที่จะไหลบนผิวดินน้อย เป็นหลักการง่ายๆ ซึ่งสภาพดินจะสูญเสียการซึมน้ำ ก็เกิดมาจากคนอีกเช่นกัน จากการใช้ปุ๋ย การเผาป่า การทำลายหน้าดิน และเมื่อดินซึมน้อย น้ำไหลมาก ก็ต้องมาดูว่าน้ำจะไหลเร็วขนาดไหน คือความลาดชัน′

′ เพราะฉะนั้น ทำไมน้ำหลาก จึงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ามันหลากได้อย่างไร ในหนึ่งวัน 1 ชั่วโมงที่ฝนตก 100 มิลลิเมตร ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดน้ำหลากมาก แต่ถ้ามันเทลงมา 1 ชั่วโมง 100 มิลลิเมตรเมื่อไร น้ำไหลทันที จากเหตุผล 4 ข้อ คือ 1.ปริมาณความเข้มของฝน 2.พืชคลุมดิน 3.ชนิดของดิน 4.ความลาดชัน"

นาย สุพัตรกล่าวว่า อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัย คือตัวแม่น้ำ ร่องน้ำ ถ้าร่องน้ำใหญ่พอ ก็จะไม่มีการล้นตลิ่ง แต่คนก็มักที่จะไปบุกรุกร่องน้ำ มีการถมดิน ปลูกพืช จนขนาดของร่องน้ำเหลือน้อย ทำให้น้ำที่เคยไหลได้ ก็กลายเป็นไหลไม่ได้ ซึ่งก็เป็นปัญหาจากคนอีกเช่นกัน ที่ทำให้น้ำท่วม โดย ลักษณะน้ำท่วมในพื้นที่เชิงเขานั้น จะเป็นการท่วมที่รุนแรง รวดเร็ว มาเร็ว หมดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น กรณีที่บ้านน้ำก้อ มีเวลาการเกิดเหตุอยู่ที่ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นธรรมชาติของน้ำก้อ หากหนีไม่ทัน ก็จะต้องถูกน้ำท่วม เป็นลักษณะทางอุทกวิทยาของแม่น้ำแต่ละลุ่มที่จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ในขณะที่การเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ราบ จะมีลักษณะค่อยๆ มาช้าๆ แต่อยู่ยาว แล้วไม่สูงมาก หากมีพื้นที่ราบไม่พอ ก็จะเกิดการท่วมกินอาณาเขตไกลและกว้าง

ปฏิบัติการสู้น้ำท่วม

ผอ. สำนักอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวว่า พื้นที่ซึ่งปัจจุบันนี้เกิดน้ำท่วมเป็นประจำคือ จ.สุโขทัย จ.พิจิตร จ.นครสวรรค์ จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง " ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเรามีสถานีวัดน้ำอยู่ที่ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งในปี 2549 มีระดับน้ำขึ้นมาอยู่ที่ 5,900 มิลลิเมตรต่อวินาที ในขณะที่ตัวแม่น้ำรับได้แค่เพียง 3,000 มิลลิเมตรต่อวินาที โดยแม่น้ำเจ้าพระยาที่ท้ายเขื่อน จ.ชัยนาท รับน้ำได้แค่ 2,800 มิลลิเมตรต่อวินาที หากน้ำมาถึงที่ จ.ชัยนาทเกิน 2,200 มิลลิเมตร ต่อวินาทีเมื่อไร จ.พระนครศรีอยุธยาก็เตรียมรับมือน้ำท่วมได้ทันที"

" ถ้าเราจะเอาอยู่ไม่ให้เกินโดยแต่ละที่ ซึ่งก็มีความจุของตัวเอง เรามีคันกั้นน้ำ แต่คนที่จะเดือดร้อนก็คือคนที่อาศัยอยู่ระหว่างแม่น้ำกับคันกั้นน้ำ จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยา หากล้นตลิ่ง คือเกิน 4,000 มิลลิเมตรต่อวินาทีเมื่อไร อย่างไรเราก็สู้ไม่ได้ ณ เวลานี้ ถ้าเราไม่สร้างเครื่องมือที่จะสู้"

"ปัจจุบันที่เราจะสู้กับน้ำอย่างไรนั้น ประการแรก คือเราต้องรู้จักน้ำ ต้องรู้ทัน โดยการไปวัดเป็นจุดสีเหลือง จุดสีเขียว ใน แม่น้ำสายหลักตอนนี้มีทั้งหมด 718 แห่งทั่วประเทศ ใช้คนไปยืนวัดแล้วรายงานมาเป็นรายชั่วโมง มีทั้งประเภทอิเล็กทรอนิกส์ส่งสัญญาณมาทุก 1 นาที แต่สิ่งที่เราขาดไปในหลายๆ ปีที่ผ่านมา คือการรู้ล่วงหน้า เรารู้ทันน้ำก็จริง แต่เราไม่รู้ล่วงหน้า เราไม่รู้ว่าแผนจะมาอย่างไรบ้าง ก็มีการพยายาม ทำ กันหลายกรม คือระบบโทรมาตร ซึ่งสามารถวัดน้ำได้ทุก 1 นาที แล้วเก็บข้อมูลทุก 15 นาที แล้วส่งข้อมูลเข้ามายังระบบพยากรณ์ ก็จะบอกได้ว่าในแต่ละวัน น้ำแต่ละสถานีจะสูงเท่าไร สามารถที่จะไปเตือนประชาชนได้ โดยเราได้ใช้ระบบโทรมาตรในแม่น้ำเจ้าพระยามาได้ 2 ปีแล้ว"

" เครื่องมือที่เรามี ณ วันนี้ โดยหลักการทั่วไปที่จะทำเครื่องมือขึ้นสู้ ก็มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน 1.คือการเก็บน้ำที่มาจากตอนบนเอาไว้ไม่ให้ไหลลงมาข้างล่าง 2.ส่วนที่ไหลลงมาแล้วจัดหาทางระบาย ถ้าหาได้มาก ได้ เพียงพอ น้ำก็จะไม่ท่วม ถ้าไม่เพียงพอ ก็ต้องมีระบบแก้มลิง จะต้องเอาไปไว้ตามทุ่งต่างๆ ในเรื่องการจัดหาแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ที่สร้างเอาไว้ของกรมชลประทาน หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวมแล้วได้ 73,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ประเทศไทย หากเอาจำนวนน้ำฝนบนผิวดินอยู่ที่ 8 แสนล้านลูกบาศก์เมตร ไหลลงดินไปประมาณ 2 แสนล้านลูกบาศก์เมตร พูดง่ายๆ ก็คือว่าเราสู้ได้แค่ 70,000 ลูกบาศก์เมตร ปีไหนน้ำมากกว่านี้ เราก็สู้ไม่ได้"

(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 31-05-2010 เมื่อ 07:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม