ชื่อกระทู้: โลกร้อน (3)
ดูแบบคำตอบเดียว
  #16  
เก่า 01-10-2009
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ สัญญาณเตือนต้องแก้โลกร้อนอย่างจริงจัง


คุณตา-คุณยายได้รับความช่วยระหว่างเกดอุทกภัยในฟิลิปปินส์

ผู้เชี่ยวชาญชี้น้ำท่วมครั้งใหญ่ใน ฟิลิปปินส์เป็นสัญญาณบ่งชี้ต้องแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง เตือนหลายล้านชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ด้านองค์กรการกุศลอังกฤษระบุอีก 6 ปีข้างหน้าประชากรโลก 54% จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แม้ชาวฟิลิปปินส์จะคุ้นเคยกับพายุไต้ฝุ่น ซึ่งกระหน่ำลงมาทุกปีราวๆ ลูกอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ “มหาอุทกภัย” จากพายุ “กิสนา” (Ketsana) ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการราว 240 คนนั้น กลับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงผิดปกติสำหรับผู้คนในท้องที่นั้น ซึ่งเอเอฟพีระบุว่า ปริมาณฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง 9 ชั่วโมงในกรุงมนิลานั้น มากกว่าปริมาณฝนจากเฮอร์ริเคนแคทรินา (Hurricane Katrina) ที่ถล่มนิวออร์ลีนส์ของสหรัฐฯ เสียอีก

แอนโธนี กอเลซ (Anthony Golez) หัวหน้าหน่วยป้องกันภัยพลเรือนของฟิลิปปินส์ และพริสโก นิโล (Prisco Nilo) หัวหน้าหน่วยพยากรณ์สภาพอากาศของฟิลิปปินส์ ต่างพิศวงต่อการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดของไต้ฝุ่นซึ่งถล่มประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

กอเลซระบุว่า ในเดือน เม.ย.ซึ่งควรจะเป็นฤดูร้อนสำหรับฟิลิปปินส์ แต่กลับมีพายุไต้ฝุ่นถึง 3 ลูกพัดถล่มประเทศ โดยหนึ่งในนั้นกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินถล่มซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 250 คนทางตอนใต้ของเมืองหลวง และพายุไต้ฝุ่นในช่วงเดือน มิ.ย.ยังมีเส้นทางที่เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติ โดยเคลื่อนตัวผ่านทางตอนเหนือและส่วนกลางของเกาะลูซอน (Luzon) เป็นครั้งแรก และสำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิต ผู้คนกว่า 12 ล้านคน ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมาก่อน


ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากต่อแถวรับความช่วยเหลือ

“เมื่อ คุณลองสังเกตข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คุณจะเห็นว่าปีนี้และปีที่ผ่านมาเป็นปีที่แปลกประหลาดมาก และเราก็ทำได้เพียงสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศเท่านั้น” กอเลซกล่าว

“เรา ไม่อาจกล่าวโทษเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นเพราะฝน เราทราบว่านี่เป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องโต้เถียงกันเรื่องนี้อีก นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจำเป็นต้องเตรียมตัว นี่เป็นเพียงประสบการณ์แรกของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมตัวมากกว่านี้ และเราต้องแก้ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” มาร์ก เดีย (Mark Dia) นักรณรงค์ของกรีนพีซให้ความเห็นผ่านสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่น

ทางด้าน อีโว เดอ โบร์ (Yvo De Boer) ประธาน สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาว่าด้วยโลกร้อน ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ กล่าวว่า น้ำท่วมในฟิลิปปินส์นั้นเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นที่โลกต้องตกลงสัญญาในการ จัดการปัญหาโลกร้อนก่อนเส้นตายในเดือน ธ.ค.นี้ ภายในการเจรจาที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก

โบร์กล่าวว่าข้อตกลงร่วมกันระดับโลกนี้จะรับประกันว่า ความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้วอย่างที่เกิดขึ้นนี้จะลดลง ตามผลของนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการปฏิบัติอย่าง จริงจัง ทั้งนี้ผู้ร่วมเจรจาในเวทีของสหประชาชาติพยายามนำร่างหนังสือในสองประเด็น หลักๆ ที่ยังตกลงกันไม่ได้คือ เรื่องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเรื่องความร่วมมือทางด้านการเงินขึ้น มาพิจารณา เพื่อหาข้อสรุปสำหรับการประชุมที่โคเปนเฮเกน

ขณะที่ จอส เบอร์เซลส์ (Jose Bersales,) นักมนุษยธรรมและผู้อำนวยการกิจการฉุกเฉินขององค์กรการกุศล “เวิร์ลวิชัน” (World Vision) เตือนว่าพายุที่ฟิลิปปินส์เหมือนกับหายนะของผู้ที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งมักไม่ได้เตรียมการเพื่อรับมือกับพายุ และยังเป็นเสียงปลุกให้โลกเตรียมตัวในการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศที่โคเปนเฮเกนในปลายปีนี้


ผู้ประสบอุทกภัยในฟิลิปปินส์กำลังเก็บกวาดบ้านเรือน หลังน้ำลด (ภาพทั้งหมดจากเอเอฟพี)

ทางเวิร์ลวิชันยังกล่าวถึงคำพยากรณ์ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศหรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนจะมีความรุนแรงขึ้น มีกระแสลมรุนแรงขึ้นและมีพายุฝนหนักขึ้นด้วย ซึ่งภัยพิบัติในฟิลิปปินส์ครั้งนี้เป็นเหมือนหายนะทำลายล้างสำหรับประชากร ของประเทศ 43% หรือ 36 ล้านคน ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 ดอลลาร์ และมีหมอ 1 คนที่ต้องดูแลผู้ป่วย 1,700 คน ซึ่งคนจำนวนนี้ต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อรับมือกับพายุอันเลวร้าย

นอกจากนี้งานวิจัยขององค์กรการกุศลออกซ์แฟม (Oxfam) ของอังกฤษยังระบุด้วยว่า ในอีก 6 ปีข้างหน้าจะมีประชากรโลก 54% หรือ 375 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม