ชื่อกระทู้: แผ่นดินที่หายไป (3)
ดูแบบคำตอบเดียว
  #44  
เก่า 10-05-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


รมว.ทส.ชี้แก้ปัญหากัดเซาะต้องแก้เรื่องกระแสน้ำในอ่าวไทย


จับมือนานาชาติบูรณาการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับ United Nations Environment Programme/Coordinating Body on the Seas of East Asia (UNEP/COBSEA) เปิดเวทีระดมสมอง จัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านการกัดเซาะชายฝั่ง บูรณาการความร่วมมือกับนานาประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยมี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Dr.Hak-So Kim ประธานสถาบันทางทะเล สาธารณรัฐเกาหลี และ Dr.Young-Woo Park ผู้แทนจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วมเป็นประธานการเปิดสัมมนา ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ปัญหาการเพิ่มระดับน้ำของมหาสมุทร จากการสูงขึ้นของอุณหภูมิโลกนับเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในปัจจุบัน แต่สาเหตุสำคัญของปัญหานี้ก็คือมนุษย์ จากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ถูกวิธี ทำให้ระบบนิเวศชายฝั่งได้รับผลกระทบ เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการชะล้างหน้าดิน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ได้ย้อนกลับมาหามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำประมงชายฝั่ง และการท่องเที่ยว ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพชีวิต ระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศด้วย

การจัดสัมมนาวิชาการนานาชาติด้านการกัดเซาะชายฝั่ง ที่จัดขึ้นในครั้งนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ทำให้มองเห็นว่าในแต่ละประเทศมีการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างไร รวมทั้งเรื่องของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำในมหาสมุทรด้วย เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้กับสภาพปัญหาของประเทศไทย

รมว.ทส. กล่าวต่อว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งนี้เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะเมื่อเราแก้จุดหนึ่งแล้วก็ยังสามารถส่งผลกระทบไปอีกจุดหนึ่งได้ และจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในหลายพื้นที่ พบว่าสิ่งก่อสร้างที่ยื่นลงไปในทะเลได้ส่งผลกระทบมากมายต่อระบบนิเวศ และการเกิดการไหลเวียนของตะกอนทราย ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขไม่รู้จักจบสิ้น

การพัฒนาในรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นระบบ และไม่มีการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จะทำให้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศได้ ขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ทำการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ในเรื่องของผลกระทบดังกล่าว แต่ก็ยังเป็นการทำ EIA เฉพาะที่ แต่ในระยะยาวหากยังไม่ดูแลในเรื่องของกระแสน้ำในอ่าวไทย ปัญหานี้ก็จะไม่จบสิ้น ตัวอย่างที่แหลมตะลุมพุกที่ได้มีการเรียกร้องที่จะอพยพโยกย้ายออกมาจากพื้นที่ ซึ่งต้องการให้ทางรัฐบาลจัดการแก้ไขให้

“การปักไม้ไผ่เพื่อการแก้ไขปัญหาก็เป็นกระบวนการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้จัดทำ ในเรื่องของการปลูกป่าชายเลนเทียมที่เราไม่มุ่งเน้นการปลูกป่าชายเลนในลักษณะแบบเป็นแถวเป็นแนวเพราะไม่สามารถป้องกันได้ และต้นไม้ที่เพิ่งปลูกก็จะล้มไปด้วย และมันจะทำให้เกิดการกัดเซาะอยู่ดี ฉะนั้นการปลูกป่าชายเลนเทียมต้องปลูกแบบผสมผสานกันระหว่างการปักไม้ไผ่ และการปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลนคือปลูกในรูปแบบธรรมชาติ ไม่เป็นแถวเป็นแนวเพื่อที่จะทำให้ระบบนิเวศได้ฟื้นตัวขึ้นมา แต่หัวใจสำคัญคือเรื่องการใช้ที่ดินชายฝั่ง เพราะตะกอนจากปากแม่น้ำนั้นจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง ผมจึงได้พูดในที่ประชุมว่าเราต้องไม่มองเฉพาะชายฝั่งแต่เราต้องมองไปยังกลางน้ำและต้นน้ำด้วย การสัมมนาครั้งนี้ก็เท่ากับว่าได้นำความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ของผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านมารวมกันแล้วนำมาหาคำตอบในภาพรวมเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป” นายสุวิทย์กล่าว

ด้านนายเกษมสันต์ จิณณวาสโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวต่อว่า การสัมมนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติงานบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามแผนยุทธศาสตร์การจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2552 เรื่องแนวทางการบูรณาการการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะของประเทศ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการจัดประชุมทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อเป็นเวทีระดมสมองและนำเสนอข้อมูลวิชาการ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและระหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี มาตรการ และวิธีการใหม่ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่ไปศึกษาดูงานการปักไม้ไผ่เพื่อเร่งการตกตะกอนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และการช่วยเหลือกล้าไม้ขนาดเล็ก ณ ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และการดำเนินการสร้างเขื่อนกันคลื่น (Breakwater) รอดักทราย (Groin) หน้าชายฝั่งอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร และเขื่อนกันทรายปากร่องน้ำ (Jetty) บริเวณปากคลองบางตราน้อย ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

นอกจากนี้ ทช.ยังได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาวิชาการนานาชาติด้านการกัดเซาะชายฝั่งเมื่อ วันที่ 28-29 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ กรุงเทพฯ ซึ่งมีการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งใน และต่างประเทศ การสัมมนากลุ่มย่อยจากทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยมีผู้เข้าประชุมประกอบด้วย กลุ่มประเทศสมาชิก COPSEA อาทิ ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม ประเทศละ 2 คน และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ประมาณ 250 คน
สำหรับเป้าหมายของการจัดการประชุมเพื่อเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือในการจัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ในการจัดการปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของทั่วโลก และนำองค์ความรู้ที่ได้รับมาจัดทำนโยบายและแนวทางในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในสถานการณ์ต่างๆสำหรับประเทศไทย และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีองค์ความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการการกัดเซาะชายฝั่ง และบริหารจัดการในแนวทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป




จาก ....................... บ้านเมือง วันที่ 9 พฤษภาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม