ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 17-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,336
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


4 ชั่วโมงแห่งความทรมาน ปฏิบัติการช่วย "โลมาหลังโหนก" ถูกเชือก-ทุ่นรัดตัว

กรมอุทยานแห่งชาติฯ จับมือ กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ช่วย "โลมาหลังโหนก" ติดเชือกลอบหมึกสาย พร้อมอิฐบล็อกถ่วงโคนหางบาดเจ็บ ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง จึงสำเร็จ



วันที่ 16 มกราคม 2567 มีรายงานว่า นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายแสงสุรี ซองทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ว่าเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จังหวัดตรัง เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง (ศวอล.) เจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล จังหวัดตรัง (ศอท. จ.ตรัง)

ได้ออกปฏิบัติการติดตาม และเข้าช่วยเหลือโลมาหลังโหนก มีชีวิต บริเวณหน้าหาดมดตะนอย ซึ่งได้รับแจ้งในวันเดียวกัน ว่าพบโลมาหลังโหนกมีชีวิตถูกเชือกพร้อมทุ่นลอยพันรัดที่บริเวณโคนหาง ว่ายน้ำอยู่บริเวณหาดหยงหลิง ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อ.กันตัง จ.ตรัง

คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ และติดตามช่วยเหลือโลมาหลังโหนกตัวดังกล่าว โดยได้นำเรือยางขนาดเล็ก เรือสปีดโบ๊ต และเรือพาดหางยาว จำนวน 9 ลำ พยายามเข้าช่วยเหลือโลมาโดยการใช้อวนล้อม และกระโดดจับ เพื่อทำการปลดเชือกที่โคนหาง ซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง จึงสามารถจับตัวโลมา และปลดเชือกพันรัดที่โคนหางได้สำเร็จ

จากการตรวจสอบ พบว่าโลมาติดเชือกลอบหมึกสาย (กุ๊งกิ๊ง) ขนาดยาวประมาณ 1.2 เมตร และมีอิฐบล็อกถ่วงอยู่ด้านล่าง ทั้งนี้ สัตวแพทย์ประเมินอาการสัตว์เบื้องต้น พบว่าโลมามีขนาดประมาณ 1.7 เมตร อยู่ในช่วงวัยรุ่น สัตว์ยังมีการตอบสนองดี สามารถว่ายน้ำทรงตัวได้

พบบาดแผลถลอกบริเวณครีบหลัง และใต้โคนหางไม่เป็นบาดแผลฉกรรจ์ จึงทำการรักษาโดยการให้ยาลดปวดและยาแก้อักเสบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ก่อนทำการปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานกับชุมชนในพื้นที่ ให้ช่วยเฝ้าระวังหากพบการเกยตื้นซ้ำในพื้นที่ต่อไป.


https://www.thairath.co.th/news/society/2755700


******************************************************************************************************


เตือน สนามบินคันไซในญี่ปุ่น ใช้งบสร้าง 6.6 แสนล้าน อาจจมทะเลใน 30 ปี

ผู้เชี่ยวชาญเตือน สนามบินคันไซ บนเกาะเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น กลางอ่าวโอซากาของญี่ปุ่น ใช้งบก่อสร้าง 6.6 แสนล้าน กำลังจมลงทะเลอย่างช้าๆ จนอาจจมใต้น้ำภายใน 30 ปีข้างหน้า



สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาเตือนด้วยความกังวล สนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเทียมจากการถมทะเล ในอ่าวโอซากา จังหวัดโอซากา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น และเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 2537 กำลังจมทะเลอย่างช้าๆ โดยคาดว่าสนามบินคันไซอาจจมอยู่ใต้น้ำทะเลภายใน 30 ปีข้างหน้า

ทางการญี่ปุ่นกำลังรีบหาทางแก้ไขปัญหาสนามบินคันไซจมทะเลอย่างช้าๆ ขณะที่ตอนนี้อาคารจมลงไป 38 ฟุต นับตั้งแต่ก่อสร้าง ขณะที่ทีมวิศวกรรู้ว่าสนามบินคันไซจะจมทะเลภายในเวลากว่า 50 ปี แต่วิศวกรก็ไม่เคยจินตนาการไว้ว่าสนามบินคันไซจะจมเร็วขนาดนี้ เพราะได้คาดการณ์ไว้ว่าสนามบินจะอยู่ในระดับเสถียรอยู่ที่ความสูงประมาณ 13 ฟุต หรือราว 4.2 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นความสูงต่ำสุดที่วิศวกรประเมินไว้ว่าเป็นความสูงที่จำเป็นในการป้องกันไม่ให้สนามบินถูกน้ำทะเลท่วม

ขณะนี้มีการพยายามจะยกระดับเขื่อนกั้นน้ำทะเลให้สูงขึ้น โดยใช้งบประมาณ 117 ล้านปอนด์ หรือ 5.1 พันล้านบาท แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า อาจจะสายเกินไปในการรักษาสนามบินแห่งนี้ให้รอดพ้นจากการจมอยู่ใต้น้ำทะเล ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่าสนามบินคันไซจะจมอยู่ใต้ทะเลในปี ค.ศ. 2056 หรือปี พ.ศ. 2599

สนามบินคันไซ สร้างขึ้นบนเกาะเทียมจากการถมทะเล กลางอ่าวโอซากา ในเขตจังหวัดโอซากา ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเปิดใช้งานสนามบินครั้งแรกในปี 2537

ยูกาโกะ ฮันดะ เจ้าหน้าที่ตัวแทนของการท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ เคยรายงานเมื่อปี 2561 ว่า เมื่อตอนก่อสร้างสนามบินคันไซบนเกาะเทียมนั้น ดินจำนวนมากที่ถูกนำมาถมทะเลเพื่อเป็นฐานรากของพื้นดินที่จำเป็นและการประมาณค่าการทรุดตัวจะนานกว่า 50 ปี หลังการก่อสร้างสนามบินคันไซ

โดยดินที่ถูกนำมาถมทะเลเพื่อสร้างเกาะเทียมในการก่อสร้างสนามบินคันไซ ถูกเปรียบเหมือนกับ ?ฟองน้ำเปียกๆ? ซึ่งจำเป็นต่อการจะแปรรูปไปเป็นเป็นฐานรากที่แห้งและแน่นหนา เพื่อรองรับน้ำหนักของอาคารต่างๆ ที่สนามบิน ขณะที่ตอนนั้นมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเล ก่อนจะถมทะเลสร้างเกาะเทียมแล้ว

ทั้งนี้ สนามบินคันไซ เป็นท่าอากาศยานนานาชาติของจังหวัดโอซากา ในภูมิภาคคันไซ เป็นสนามบินที่ตั้งอยู่บนเกาะเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นในอ่าวโอซากา ห่างจากตัวเมืองโอซากา ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้างนับ 15,000 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6.6 แสนล้านบาท และสนามบินคันไซ เชื่อมต่อกับแผ่นดินไหญ่ด้วยสะพานและเส้นทางรถไฟความเร็วสูง

ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ เปิดใช้งานให้บริการเที่ยวบินครั้งแรกเมื่อปี 2537 นับเป็นสนามบินที่อยู่ใกล้นครโอซากามากที่สุด โดยสนามบินคันไซเป็น ?ฮับ? หรือสนามบินที่เป็นศูนย์กลางเดินทาง โดยสายการบินชั้นนำจำนวนมาก ไปยังจุดหมายปลายทางทั่วโลก รวมทั้ง All Nippon, Japan Airlnes และ Nippon Cargo รวมทั้งสายการบินโลว์คอสต์ อีกทั้งสนามบินคันไซยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้า สนามบินนานาชาติคันไซด้วย


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2755050


******************************************************************************************************


แจงแล้ว "น้ำสีดำ" ไหลลง "หาดกะรน" หลังชาวบ้านหวั่น กระทบการท่องเที่ยว



นายกเทศมนตรี ชี้แจงแล้ว "น้ำสีดำ" ไหลลง "หาดกะรน" เนื่องจากตะกอนตกค้างที่สะสมและน้ำทะเลหนุน ด้านเจ้าหน้าที่เร่งสะสางเป็นการด่วน

จากกรณี โลกออนไลน์ได้มีการโพสต์ภาพ น้ำสีดำไหลลงทะเลหาดกะรน จุดหนองหาน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความแตกตื่นและวิ่งขึ้นจากทะเล โดยชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเชื่อกันว่าเป็นการลักลอบปล่อยน้ำเสียของผู้ประกอบการ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบนั้น

ล่าสุด วันที่ 16 ม.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นได้พบกับ เรือเอกเจด็จ วิชรศรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลกะรน นายกเทศมนตรีตำบลกะรน และนายสนั่น รักดำ ผู้อำนวยการกองช่างเทศบาลตำบลกะรน และ เจ้าหน้าที่งานบำบัดน้ำเสียเทศบาลตำบลกะรน พร้อมได้ลงพื้นที่ บริเวณหนองหานซึ่งเป็นสถานที่บำบัดน้ำเสียของ เทศบาลตำบลกะรน ก่อนปล่อยน้ำลงสู่ทะเล โดยทางเจ้าหน้าที่ งานบำบัดน้ำเสียได้ทดสอบให้ผู้สื่อข่าวดู

เริ่มจากการไปตักน้ำขึ้นมาจากบริเวณหนองน้ำ ที่มีสีดำก่อนปล่อยลงทะเล แต่ปรากฏว่าหลังจากเจ้าหน้าที่ ได้มีการตักน้ำขึ้นมา และใส่ลงไปในหลอดแก้วน้ำดังกล่าวใส และไม่มีตะกอน เหมือนในภาพที่ออกไปเนื่องจากก่อนหน้านั้นมีตะกอนสะสมมาเป็นเวลานาน จึงภาพที่ปรากฏออกมาเป็นน้ำสีดำ

ทางด้าน เรือเอกเจด็จ วิชรศรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลกะรน กล่าวว่า เมื่อตอนเช้าหลังจากเห็นข่าวจากสื่อโซเชียลก็ได้ลงไปดูจริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นเรื่องน้ำเสีย แต่ตรงนั้นเป็นท้องคลองมีคลองที่ไหลบำบัดน้ำเสียของเทศบาล และส่วนหนึ่งเป็นธรรมชาติซึ่งไหลลงสู่ทะเลซึ่งเป็นร่องน้ำหรือเป็นคลองธรรมชาติเมื่อก่อนน้ำขึ้นน้ำลงก็ตามปกติแต่ตอนนี้ในการน้ำเสียต่างๆ เราได้มีการบำบัดมีบริษัทดูแลมีคุณภาพที่ดีไม่มีเรื่องน้ำเสียแน่นอนแต่ในส่วนภาพที่เป็นน้ำเสียออกไปทาง ผอ.กองช่าง ได้ลงไปตรวจดูพร้อมเจ้าหน้าที่และตอนได้ลองไปดูด้วยน่าจะเกิดจากตะกอนที่ตกอยู่ที่ท้องคลอง หรือก้นคลองพอน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นไปทำให้การขยับของทรายหรือตะกอนต่างๆ ขึ้นไปด้วยพอน้ำทะเลลงน้ำที่ขังอยู่มากๆ ข้างบนก็ไหลกระชากลงไปก็ทำให้กระชากตะกอนที่อยู่ใต้ท้องคลองลงไปด้วย ทำให้เหมือนดูกับน้ำเสีย

แต่เมื่อบริษัทที่ดูแลน้ำเสียได้ลงไปตรวจสอบ ปรากฏว่าเป็นน้ำที่ใสปกติท้องคลองเท่านั้น ที่เป็นส่วนของตะกอนในส่วนรายละเอียดต่างๆ ผอ.กองช่าง กำลังตรวจสอบพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่พิสูจน์ได้แน่นอนว่าน้ำไม่ได้เป็นน้ำเสียทางเทศบาลก็ดูแลความเรียบร้อยในการดูแลนักท่องเที่ยวเพื่อแม่การท่องเที่ยวเสียหายปีนี้ไม่มีน้ำเสียที่ไหลลงไป

ส่วน นายสนั่น รักดำ ผู้อำนวยการกองช่าง เทศบาลตำบลกะรน กล่าวว่า ตามที่นายกฯ ได้ชี้แจงเมื่อกี้ขอพูดซ้ำอีกว่าสาเหตุน้ำที่เหมือนตะกอนดำไหลสู่ทะเลเมื่อวานสาเหตุหลักเนื่องจากน้ำทะเล ขึ้นสูงแล้วได้พักทรายขึ้นมากลบช่องระบายน้ำที่เป็นช่องทางออกของน้ำปกติสู่ทะเลทำให้ส่งผลน้ำที่บำบัดน้ำเสียที่มีมากกว่า 14,000 คิวต่อวันไหลย้อนกลับเข้ามาสู่หนองหานซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่เมื่อน้ำทะเลขึ้นสูงที่ระดับ 3.2 เมตรซึ่งถือว่าสูงมากผิดปกติทำให้ที่กั้นทางน้ำพังทลายลงเมื่อน้ำทะเลลดลงทำให้กระชากตะกอนดำที่อยู่ในท้องร่องกับแนวร่องข้างหนองหานออกไปสู่ทะเลด้วยจากการตรวจสอบของหน่วยบำบัดน้ำเสียและการทดสอบของระบบปรากฏว่าน้ำยังเป็นปกติน้ำยังสะอาดน้ำเป็นน้ำที่ดีไม่ได้เป็นน้ำเสีย

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็ได้รองพื้นที่พร้อมกับวิศวกรรมวางแผนเบื้องต้นว่า ตอนเย็นวันนี้น้ำลงจะนำเครื่องจักรไปกวาดตะกอนดำออกและในอนาคตจะวางแผนก่อสร้างที่ดักตะกอนน้ำก่อนออกสู่ทะเลประมาณ 3 จุดเพื่อดูดก่อนเข้าบ่อบำบัดน้ำเสียเดิมคิดว่าอนาคตจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้แต่วันนี้ต้องขอโทษสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกคนกังวลกันหมดว่าภาพที่ออกไปผ่านสื่อโซเชียลจะทำให้เสียภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเกิดความเสียหายเราพยายามแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้จะจบแน่นอนเราระดมทั้งคนและเครื่องจักรโดยเร่งด่วน.


https://www.thairath.co.th/news/local/south/2755690

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม