ชื่อกระทู้: แผ่นดินที่หายไป (3)
ดูแบบคำตอบเดียว
  #7  
เก่า 15-06-2009
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default


149วัน “คุณชาย” 40 ปีที่รอคอย สัญญาใจ 4 เดือน “เขื่อนไม้ไผ่”



ในที่สุดก็มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เล็ดลอดเข้ามาสร้างความหวังให้ชาวบ้านชาวประมงชุมชนชายทะเลเขตบางขุนเทียน กทม.เสียที

หลังการตั้งวงเสวนาครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา มี “สัญญาณ” ที่ดีส่งมาจากผู้แทนกทม.เกี่ยวกับการดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อและเรื้อรังมานานนับสิบๆ ปี โดยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

“สยามรัฐ” ในฐานะที่ติดตามทำข่าวปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน จนถึงสมัยของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ยังอดรู้สึกดีใจ ไปกับชาวบ้านไม่ได้เหมือนกันที่จะได้เห็น “อะไร” เป็นชิ้นเป็นอันเสียที

หลังเข้าๆ ออกๆ พื้นที่มาหลายปีดีดักเพื่อทำข่าวเสนอสาธารณชน จน “ได้รู้ได้เห็น”อะไรมามากมายและมีข้อมูลเต็มจนล้นลิ้นชัก แต่กลับไร้ความคืบหน้า

**************************************


เรื่องที่ว่านี้คือข้อมูลจากปากของนายชัยนาท นิยมธูร ผอ.กองพัฒนาระบบหลัก สำนักการระบายน้ำ (สนน.) กทม. ที่ระบุว่า ขณะนี้สนน.กำลังอยู่ระหว่างรอผู้บริหารกทม.อนุมัติโครงการก่อสร้างเขื่อนไม้ไผ่สลายกำลังคลื่น เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระหว่างรอโครงการก่อสร้างเขื่อนถาวร “ที-กรอยน์” ที่เสนอของบประมาณ (ปีพ.ศ.2553) ไปแล้วเช่นกัน

“...ไม่เกิน 4 เดือน”

กทม.รับปากชาวบ้านว่าจะได้เห็นเขื่อนไม้ไผ่เป็นรูปเป็นร่างแน่นอน พร้อมกับรับพิจารณาการจ้างแรงงานเป็นชาวบ้านในพื้นที่ด้วย เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน ทั้งยังได้สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนไปในตัว

149 วันของผู้ว่าฯ “คุณชาย” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร บวกกับอีก 4 เดือนนับจากนี้เพื่อที่จะได้เขื่อนไม้ไผ่มาปกป้องการสูญเสียแผ่นดินไทยเป็นการชั่วคราว

จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาและผืนแผ่นดินที่เสียไปตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ผ่านผู้ว่าฯ กทม.มาแล้วหลายยุคหลายสมัย

ต้องไม่ลืมว่าจนถึงวันนี้ เรา (กทม.-ประเทศไทย) สูญเสียแผ่นดินไปแล้วกว่า 3,000 ไร่ จากป่าชายเลนแนวกันชนเดิม 2,735 ไร่ ที่เคยอยู่เลยหลักเขตกทม.ออกไป บัดนี้สูญสิ้นไม่เหลือซาก และที่ดินทำกินของชาวบ้านที่บริจาคให้รัฐใช้เป็นกันชนอีก 405 ไร่ ก็แทบไม่เหลือ

ปัจจุบันหลักเขตกทม.ลอยคออยู่กลางทะเลห่างจากฝั่ง 1 กิโลเมตร!



****************************************


จากข้อมูลที่ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เฝ้าสังเกตและศึกษานั้นระบุว่า ปัจจุบันชายฝั่งของไทยถูกน้ำทะเลกัดเซาะเป็นแนวถอยร่นเฉลี่ย 20 เมตรต่อปี จากสาเหตุ 2 ประการคือแผ่นดินทรุดและความรุนแรงของคลื่นลม

ที่น่ากลัวก็คือ จากการคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งมีความเป็นไปได้ว่าจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

จากการทำนายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์นั้น อีก 40 ปีข้างหน้าแนวถอยร่นจะขยับเข้ามาจากเดิมอีก 3 กิโลเมตรเป็นอย่างต่ำ และไม่สามารถที่จะหยุดเองได้ด้วย!

“ต้องรีบทำอย่างรอบคอบที่สุด” คือใจความสำคัญที่ดร.อานนท์ฝากถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องลงทุนทำด้วยเม็ดเงินมหาศาล

นอกจากจะต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์แล้ว ยังจะต้องระวังด้วยว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้พื้นที่ใกล้เคียงแทนหรือไม่ เพราะสภาพปัญหาในปัจจุบันนั้นรุนแรงจนเลยจุดที่จะใช้สูตรสำเร็จสูตรใดสูตรหนึ่งไปแล้ว ดังนั้น รูปแบบวิธีการแก้ไขปัญหาจึงยังไม่สามารถฟันธงได้



#############################################



ประเด็นที่น่าจับตามองหลังจากนี้คือ เรื่องของโครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นถาวรของกทม.ที่กว่าจะสรุปได้ต้องเสียเงินจ้างบริษัทที่ปรึกษาหมดงบประมาณไปนับสิบล้านบาท กับระยะเวลาศึกษาอีกนานนับปี เพียงเพื่อที่จะสรุปรูปแบบโครงการให้ชาวบ้านคัดค้านจนต้องยกเลิกไป

กว่าจะปรับเปลี่ยนรูปแบบเสร็จก็ล่วงไปเป็นปีๆ จึงจะสามารถเสนอเรื่องขออนุมัติให้ผู้บริหารกทม.พิจารณาได้ เมื่อช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง

ที่ต้องจับตาคือโครงการดังกล่าวจะไปสะดุดหรือติดขัดอะไรอีกหรือไม่ เพราะเป็นโครงการใหญ่ที่มีหลายหน่วยงานจับตาอยู่ด้วยเช่นกัน อีกยังต้องดูด้วยว่าเพื่อนบ้านในจังหวัดติดกันและใกล้เคียงในอ่าวไทยจะว่าอย่างไร เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

เข้าทำนอง บ้านใคร ใครก็รัก ขณะที่กทม.ในฐานะพี่ใหญ่เองจะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างซึ่งจะเป็นต้นแบบให้ที่อื่นๆ นำไปปรับใช้

สุดท้าย “สยามรัฐ” ขอย้อนกลับไปที่เรื่องค้างคาใจที่ “ได้รู้ได้เห็น” ซึ่งกล่าวไปแล้วในตอนต้น นั่นก็คือเรื่อง “ความโปร่งใส” ของทุกฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานแก้ปัญหากู้วิกฤติแผ่นดินที่ว่านี้

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน หรือภาคประชาชนชาวชุมชนก็ตาม ขอให้จริงใจกับการแก้ไขปัญหามากกว่าตั้งแง่ หรือมองแต่เรื่องของผลประโยชน์ และต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

ลด ละ เลิก “วิชามาร-การวางยา” สารพัดที่เคยใช้กัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อแผ่นดินไทย หาใช่ของใครสักคน...



จาก : สยามรัฐ วันที่ 15 มิถุนายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม