ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 08-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is online now
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,335
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


สึนามิในไทย แม้พยากรณ์ไม่ได้แต่รักษาชีวิตได้ ............ โดย อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา



สึนามิในไทย แม้พยากรณ์ไม่ได้แต่รักษาชีวิตได้ | อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
กระแสการเกิดสึนามิในทะเลอันดามันกลับมาอีกครั้ง หลังจากเพิ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น และหลังจากนั้นก็มีคนเจอปลาพญานาค (Oar Fish) ซึ่งเป็นปลาทะเลลึกขึ้นมาตายบนชายหาด จ.สตูล

ในช่วงนี้หลังจากเพิ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น และหลังจากนั้นก็มีคนเจอปลาพญานาค (Oar Fish) ซึ่งเป็นปลาทะเลลึกขึ้นมาตายบนชายหาด จ.สตูล ซึ่งปลาชนิดนี้มีบางคนเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจะเกิดแผ่นดินไหวในทะเล (แต่ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ยืนยัน)

จึงทำให้กระแสการเกิดสึนามิในทะเลอันดามันกลับมาอีกครั้ง โดยแบ่งได้เป็น 2 ขั้ว ขั้วแรกเน้นการอนุมานเอาเลยว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นและนำไปสู่คลื่นสึนามิ

ส่วนอีกขั้วหนึ่งก็เน้นว่าวงรอบของการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในมหาสมุทรอินเดียตะวันออกนั้นมันยาวมาก เราเพิ่งเกิดไปเมื่อปี 2547 นี่เอง โอกาสจะเกิดในปีนี้จึงน้อยมาก

พื้นฐานความคิดของทั้งสองขั้วนี้ก็ดูจะไม่ค่อยจะเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไรนักทั้งคู่ การรับมือกับภัยจากคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องของการรอว่าจะมีใครมาพยากรณ์ว่าจะมีแผ่นดินไหวในทะเลเมื่อใด

เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโลกในปัจจุบันยังไม่สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้ในระดับปฏิบัติการ แต่เรามีความรู้ทางธรณีวิทยามากพอที่จะบอกได้ว่า ตำแหน่งที่แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นได้นั้นอยู่ที่ใหนบ้าง

แนวที่จะสามารถเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้ในมหาสมุทรอินเดียที่อยู่ใกล้ประเทศไทยที่สุดนั้น ก็ยังอยู่ห่างถึงประมาณ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งคลื่นสินามิที่เกิดขึ้นจะใช้เวลาเดินทางถึงประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอต่อการแจ้งเตือนและการอพยพ

นับว่าประเทศเราโชคดีกว่าหลายพื้นที่ในประเทศอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งแนวการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ใกล้ชายฝั่งมาก คลื่นใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที การเตือนภัยและการอพยพจึงมักจะไม่ทันการณ์

ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ใดๆ บนโลก เครือข่ายการตรวจวัดความสั่นสะเทือน ซึ่งมีสถานีวัดกระจายอยู่ทั่วโลกจะประมวลผลข้อมูล และจะแจ้งตำแหน่งกับขนาดของแรงสั่นสะเทือนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการเตือนภัยในประเทศต่างๆ ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว

ในประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาเป็นหน่วยงานหลักที่รับข้อมูลนี้อย่างเป็นทางการ โดยมีศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติในการแจ้งเตือนในระดับพื้นที่ก็จะเข้าถึงข้อมูลนี้แบบ real time ด้วยเช่นกัน

หน่วยงานทั้งสองนี้จะมีทั้งระบบอัตโนมัติและเจ้าหน้าที่เวรตลอด 24 ชั่วโมงที่จะแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งหอเตือนภัย วิทยุ โทรทัศน์ sms โซเชียลมีเดีย และช่องทางสื่อสารอื่นๆ

จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันทั้ง 6 จังหวัดล้วนมีความเสี่ยงต่อคลื่นสึนามิหากมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ (ขนาด 5 ริกเตอร์ขึ้นไป) ในมหาสมุทรอินเดีย แต่ จ.พังงาและภูเก็ตด้านตะวันตกมีโอกาสได้รับคลื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดอื่นๆ

โดยพื้นที่ที่มีความเสี่ยงคือพื้นที่ชายฝั่งทะเล (ทั้งที่เป็นชายฝั่งเปิดและชายฝั่งที่อยู่ในอ่าวหรือมีเกาะบังก็มีความเสี่ยงเช่นกัน) แต่ก็เฉพาะพื้นที่ที่อยู่สูงจากระดับทะเลไม่เกิน 10 เมตร

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดทำป้ายแสดงแนวพื้นเสี่ยงและพื้นที่ปลอดภัยเอาไว้แล้ว อาคารสูงชายทะเลที่แข็งแรงตามมาตรฐานทางวิศวกรรม ตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย

หากเกิดการแจ้งเตือนสินามิ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง (อยู่ในพื้นที่ต่ำใกล้ชายฝั่งทะเล) ต้องอพยพทันที โดยเฉพาะคนชรา คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพควรจัดเตรียมให้หยิบฉวยง่ายและมีเฉพาะเท่าที่จำเป็น

ส่วนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง (คืออยู่บนที่สูงเพียงพอ) ก็ควรอยู่ในที่ตั้งไม่ออกมาให้เกะกะการอพยพของผู้ที่จำเป็น

การที่มีการมาพูดเรื่องสึนามิในสื่อต่างๆ ในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องดี ที่ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งการเตือนภัย การอพยพ การจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงประชาชนและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันจะได้ตรวจสอบเครื่องมือ เส้นทางอพยพและระบบต่างๆ รวมถึงทบทวนความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ขึ้น

เพราะแผ่นดินไหวและสึนามิเป็นสิ่งที่คาดการณ์พยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้ แต่ประเทศไทยยังโชคดีที่ถ้ามันเกิด เรายังพอมีเวลาในการอพยพเพื่อรักษาชีวิตได้.


https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1107246


******************************************************************************************************


Climate action"ความยั่งยืน" ลงมือทำทันทีก่อนไม่มีวันพรุ่งนี้



การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและรูปแบบสภาพอากาศในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1800
กิจกรรมของมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ซึ่งเกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อสภาวะที่เรียกว่า "กักความร้อนของดวงอาทิตย์ไว้ในโลกไว้ทำให้อุณทหภูมิเพิ่มสูงขึ้น"

ข้อมูลจาก สหประชาชาติ ระบุว่า ในด้านภูมิอากาศได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีส่วนรับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อนเกือบทั้งหมดในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์ดังที่กล่าวมาข้างต้นก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้นเร็วกว่าครั้งใดๆ ในรอบอย่างน้อยสองพันปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลกขณะนี้อุ่นขึ้นกว่าช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประมาณ 1.1?C และอุ่นขึ้นกว่าครั้งใดๆ ในช่วง 100,000 ปีที่ผ่านมา ทศวรรษที่ผ่านมา (พ.ศ. 2554-2563) เป็นช่วงที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดเป็นประวัติการณ์

"หลายคนคิดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหมายถึงอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นเป็นหลัก แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเท่านั้น เนื่องจากโลกเป็นระบบที่ทุกสิ่งเชื่อมต่อกัน การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่หนึ่งจึงสามารถมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อื่นๆ ทั้งหมดได้"ดังนั้น การร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ต้องทำวันนี้ ตอนนี้ และเดี่ยวนี้ "

เนื่องจากผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ภัยแล้งที่รุนแรง การขาดแคลนน้ำ ไฟไหม้รุนแรง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น น้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกละลาย พายุภัยพิบัติ และความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลง ผู้คนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรูปแบบต่างๆ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลต่อสุขภาพ ความสามารถในการปลูกอาหาร ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัย และการทำงาน และมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศเกาะเล็กๆ และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ สภาวะต่างๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการรุกล้ำของน้ำเค็มได้ก้าวหน้าไปถึงจุดที่ชุมชนทั้งหมดต้องย้ายที่อยู่ และความแห้งแล้งที่ยืดเยื้อทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อการอดอยาก ในอนาคต คาดว่าจำนวนผู้พลัดถิ่นจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศจะเพิ่มขึ้น

ดังนั้นในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (COP 28) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีการประชุมระหว่างวันที่ 30 พ.ย. - 12 ธ.ค. 2566 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเป็นการสานงานต่อจากการประชุม COP26 ที่ไทยได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน พ.ศ.2593 (ค.ศ.2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ.2608 (ค.ศ.2065) และลดก๊าซเรือนกระจกเป็น 40% ภายในปี พ.ศ. 2573(ค.ศ.2030)


สำหรับการประชุมCOP28 ประเทศไทยโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เล่าถึงประเด็นการเจรจาที่สำคัญได้แก่ การประเมินสถานการณ์ดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake: GST),การจัดทำเป้าหมายระดับโลกด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global Goal on Adaptation: GGA)

"เป้าหมายด้านการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งภาคีประเทศกำลังพัฒนายังคงเรียกร้องให้เร่งระดมเงินให้ได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี ค.ศ.2025 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC 2030) ให้บรรลุเป้าหมายตามที่แต่ละภาคีได้ให้คำมั่นไว้"

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกองทุนสำหรับการสูญเสีย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Loss & Damage Facility) เพื่อช่วยประเทศที่มีความเปราะบาง ลดการสูญเสีย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อย่างไรก็ตาม การกำหนดเป้าหมายเพียงอย่างเดียวยังไม่ใช่ การTake Action now ที่มากพอเพราะข้อมูลจากสหประชาชาติระบุว่า ประเทศต่างๆ มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 เพื่อรักษาภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 1.5?C ซึ่งการบรรลุสิ่งนี้หมายถึงการลดลงอย่างมากในการใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ โดยมากกว่า 2 ใน 3 ของเชื้อเพลิงฟอสซิลได้สำรวจแล้วจะต้องเก็บไว้อย่างนั้น เพื่อป้องกันระดับหายนะของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ให้สูงขึ้น


วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต หอการค้าไทย กล่าวว่า ในประเทศไทยนั้นมีการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นเพราะภาคพลังงานนั้นปล่อยคาร์บอนมากที่สุดการเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ในธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะมีมาตรการบังคับจากต่างประเทศ อย่างการส่งสินค้าไปสหภาพยุโรป(อียู)ก็มีมาตราการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของอียู แม้ปัจจุบันยังบังคับในวงจำกัด แต่คาดว่าจะมีการบังคับใช้จริงอย่างกว้างขวางเร็ววันนี้

"ตอนนี้ผู้ประกอบการก็ลงมือทำแล้ว ในหลายส่วนแม้ที่มาจากการลงมือทำเพราะกติกาทางการค้า แต่ในทางปฎิบัติการลงมือทำก็จะช่วยให้เป้าหมายลดผลกระทบสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จได้"

หลายๆประเทศก็จะมีการนำมาตรการนี้ไปใช้ในการนำเข้าสินค้าแต่ประเทศ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตมีการลดคาร์บอนในการผลิตสินค้าลง หากผู้ประกอบการทำไม่ได้ก็ต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตชดเชย

ส่วนภาคการผลิตโดยรวมได้นำหลักการ Circular Economy มาใช้ รวมถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน เพราะการลดปัญหาสภาพอากาศไม่ใช่แค่ไม่ปล่อยคาร์บอนเพื่อสร้างก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ต้องไม่เบียดเบียนใช้ทรัพยากรอย่างสุรุ่ย สุร่าย ด้วย

รู้หรือไม่ว่า ตอนนี้เราทุกคนกำลังอยู่ใน ยุค "ภาวะโลกเดือด" (Global Boiling)ซึ่งเป็นยุคของสภาพภูมิอากาศของโลกหลังจากความเปลี่ยนเเปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่รุนแรงมากขึ้นหลังการสิ้นสุดยุคของ "ภาวะโลกร้อน" (Global Warming) ดังนั้น การลงมือทำเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะทำให้โลกใบเก่าสดใสขึ้นได้นั้นต้องลงมือทำในทันที Take Action Now


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1104736

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม