ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 11-06-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,248
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ศรีลังกาเจอคราบน้ำมัน หวั่นรั่วจากเรือสินค้าไฟไหม้นอกฝั่งโคลอมโบ

ทางการศรีลังกาเริ่มการตรวจสอบ หลังพบคราบน้ำมันนอกชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศ หวั่นเป็นน้ำมันที่รั่วจากเรือขนสินค้าซึ่งถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงนานนับสิบวัน



สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า นายนาลากา โกดาเฮวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอนุรักษ์ชายฝั่งของประเทศศรีลังกา เปิดเผยในวันที่ 10 มิ.ย. 2564 ว่า ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นไปตรวจสอบ คราบน้ำมันบนผิวทะเลพื้นที่ประมาณ 0.35 ตร.กม. ในจุดที่เรือขนสินค้า 'เอ็มวี เอ็กซ์-เพรส' ไฟไหม้และเกยตื้นเมื่อช่วงต้นเดือน

"เมื่อวาน (9 มิ.ย.) ผมนั่งเรือลงตรวจพื้นที่ และสิ่งที่เราสังเกตเห็นคือ คราบน้ำมันบางๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นน้ำมันดีเซล" นายโกดาเฮวาบอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงโคลอมโบ "มันดูไม่เหมือนน้ำมันเตา แต่เราต้องขอให้ผู้เชี่ยวชาญของเราเข้าตรวจสอบ"

ทั้งนี้ เรือขนสินค้า เอ็มวี เอ็กซ์-เพรส แจ้งเหตุกรดรั่วไหลบนเรือเมื่อเดือนพฤษภาคม ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรงในวันที่ 20 เดือนเดียวกัน ขณะรอเทียบท่ากรุงโคลอมโบ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาถึง 13 วันกว่าจะควบคุมเพลิงได้ แต่ท้ายเรือกลับจมลงก้นทะเลในตอนที่เรือลากจูงพยายามลากมันไปในเขตน้ำลึก



เหตุไฟไหม้ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์กว่า 1,486 ตู้เสียหายเกือบทั้งหมด และมีตู้บรรจุเม็ดพลาสติกตกทะเลอย่างน้อย 8 ตู้ ส่งผลให้เม็ดพลาสติกจำนวนมหาศาลถูกซัดขึ้นตามแนวชายฝั่งความยาวกว่า 80 กม. ของศรีลังกา จนทางการต้องสั่งระงับการทำประมงในพื้นที่ดังกล่าว

นอกจากนั้น ทางการยังเตรียมรับมือความเป็นไปได้ที่จะมีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วไหลจากเรือลำนี้ ซึ่งมีน้ำมันเตารวมกว่า 300 ตัน ที่ยังอยู่ในแท็งก์เก็บ โดยนายโกดาเฮวาระบุว่า ตอนนี้เรือ 5 ลำ รวมถึงเรือของหน่วยยามฝั่งอินเดีย 2 ลำ ซึ่งมีอุปกรณ์ป้องกันน้ำมันรั่วไหล ทอดสมอประจำการรอบเรือสินค้าลำนี้แล้ว


https://www.thairath.co.th/news/fore...PANORAMA_TOPIC


*********************************************************************************************************************************************************


1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อน เป็นผลจาก 'ภาวะโลกร้อน' ที่มนุษย์สร้างขึ้น

ที่ผ่านมา งานวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ เป็นการคาดการณ์จาก "ความเสี่ยงในอนาคต" เป็นส่วนใหญ่ (เช่น คลื่นความร้อน, ภัยแล้ง, ไฟป่า) แต่งานวิจัยล่าสุดโดยผู้เชี่ยวชาญ 70 คน ที่ศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บ่งบอกว่า ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นอย่าง "รุนแรง" เสียด้วย จนถึงขั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยตรง

ที่ผ่านมา งานวิจัยที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ เป็นการคาดการณ์จาก "ความเสี่ยงในอนาคต" เป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อน, ภัยแล้ง, ไฟป่า ที่จะค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน

แต่งานวิจัยล่าสุดโดยผู้เชี่ยวชาญ 70 คน ที่ศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บ่งบอกว่า ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นอย่าง "รุนแรง" เสียด้วย

จากจำนวนผู้เสียชีวิตใน 732 เมืองทั่วโลก ระหว่างปี 1991-2018 นักวิจัยกลุ่มนี้พบว่า 37% หรือประมาณ 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตจากอากาศร้อน (Heat Deaths) มาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์กระทำ (Human-made Climate Change) ซึ่งสัดส่วนของประชากรที่เสียชีวิตจากอากาศร้อนมากที่สุดมาจากอเมริกาใต้ นำโดย เมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล ที่มียอดเฉลี่ยถึง 239 คนต่อปี

และเมื่อลองพิจารณารายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร และ สเปน จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 35-39% โดยเฉลี่ย ขณะที่ เม็กซิโก, แอฟริกาใต้, ไทย, เวียดนาม และ ชิลี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นสูงกว่า 40% แต่ที่น่าวิตกก็คือ บราซิล, เปรู, โคลอมเบีย และ ฟิลิปปินส์ มีอัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 60% หรือมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม บทความ The burden of heat-related mortality attributable to recent human-induced climate change ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ระบุว่า เนื่องด้วยข้อมูลจากภูมิภาคที่สำคัญคือ เอเชียใต้และแอฟริกา อันน่าจะเป็นพื้นที่ที่เปราะบางต่อการเสียชีวิตจากอากาศร้อน ยังมีไม่มากพอ จึงทำให้ไม่สามารถคำนวณออกมาได้ชัดเจน แต่ก็คาดว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้มาก

งานวิจัยนี้ใช้ตัวเลขผู้เสียชีวิตใน 732 เมือง จาก 43 ประเทศ แล้วนำมาสร้างกราฟเปรียบเทียบกับอุณหภูมิ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ 10 แบบ (ในกรณีที่ภูมิอากาศโลกไม่เปลี่ยนแปลง) จากการใช้วิธีการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ โดยนักวิจัยสามารถคำนวณเพื่อเปรียบเทียบตัวเลขผู้เสียชีวิตจากความร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น กับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสาเหตุอื่น เพื่อดูว่าอัตราการตายของแต่ละเมืองเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน และทิศทางของการเสียชีวิตจากความร้อนของแต่ละเมืองแตกต่างกันอย่างไร เช่น บางเมืองปรับตัวกับความร้อนได้ดีกว่าหลายเมือง เพราะมีเครื่องปรับอากาศ รวมถึงปัจจัยทางวัฒนธรรม และเงื่อนไขทางสิ่งแวดล้อม

นักวิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา คลื่นความร้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่เป็น "ปัจจัยเร่ง" การเสียชีวิต โดยขึ้นอยู่กับว่า ความร้อนนั้นคงอยู่นานแค่ไหน, อุณหภูมิในเวลากลางคืนและระดับความชื้นเป็นอย่างไร หรือความสามารถในการปรับตัวของประชากรมีผลต่ออัตราการเสียชีวิตเพียงใด รวมถึงกรณีจำเพาะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจลดต่ำลง เมื่อประชากร 95% มีเครื่องปรับอากาศ แต่หากไม่มี หรือมีผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้งในอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ก็อาจได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิตนี้ยังไม่นับรวมภัยพิบัติอื่นๆ ที่เป็นผลมาจากวิกฤติโลกร้อนด้วย เช่น น้ำท่วม ไฟป่า เป็นต้น

ก่อนที่โลกจะเผชิญกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง โดยปกติแล้วในรอบ 100 ปี คลื่นความร้อนระดับรุนแรงมักเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง แต่นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมา คลื่นความร้อนกลับเกิดขึ้น "ถี่ขึ้น" องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระหว่างปี 2000-2016 ประชากรกว่า 125 ล้านคนทั่วโลก เผชิญกับคลื่นความร้อน และระหว่างปี 1998-2017 มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนดังกล่าวถึง 166,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ยังหมายรวมถึงผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนปี 2003 ในยุโรป ราว 70,000 คน

อนา วิเซโด-คาบริรา จากมหาวิทยาลัยเบิร์น ผู้เป็นหนึ่งในคณะวิจัย กล่าวว่า ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ปัญหาของอนาคต ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่คนรุ่นหลังจะต้องเผชิญ แต่เรากลับได้เผชิญกับมันแล้ว ซึ่งในท่ามกลางอนาคตที่มืดมนลงกว่าเดิมนี้ จึงอาจถึงเวลาที่มนุษย์เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเสียที.

อ้างอิง: France24, AP News, WHO, Nature.com, Science Daily, The New York Times, The Verge


https://www.thairath.co.th/news/fore...PANORAMA_TOPIC


*********************************************************************************************************************************************************


นักวิจัยชี้ทะเลสาบในโลกสูญออกซิเจนเร็ว เมื่อโลกร้อนขึ้น



ทะเลสาบเป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันตอบสนองต่อสัญญาณจากภูมิทัศน์และบรรยากาศโดยรอบ ล่าสุด มีรายงานในวารสารเนเจอร์เผยว่าระดับออกซิเจนในทะเลสาบน้ำจืดที่มีอุณหภูมิปานกลางของโลกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเร็วกว่าในมหาสมุทร 2.75-9.3 เท่า

นักวิจัยจากสถาบันโพลิเทคนิคเรนส์ซเลียร์ ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เผยว่าระดับออกซิเจนในทะเลสาบที่สำรวจทั่วเขตอบอุ่นมาตั้งแต่ พ.ศ.2523 ได้ลดลง 5.5% ที่พื้นผิวน้ำ และ 18.6% ที่ในน้ำลึก ขณะเดียวกันในส่วนย่อยขนาดใหญ่ของทะเลสาบส่วนใหญ่ที่ปนเปื้อนสารอาหารระดับออกซิเจนบนพื้นผิวก็เพิ่มขึ้น อุณหภูมิน้ำก็อยู่ในเกณฑ์ที่เอื้อต่อการเติบโตของไซยาโนแบคทีเรียหรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ที่สามารถสร้างสารพิษได้เมื่อพวกมันเจริญเพิ่มจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ขับเคลื่อน มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของ น้ำจืดและคุณภาพน้ำดื่ม ที่น่าจับตาก็คือสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนทั้งหมดขึ้นอยู่กับออกซิเจน ซึ่งเป็นระบบสนับสนุนด้านอาหารของสัตว์น้ำ เมื่อพวกมันเริ่มสูญเสียออกซิเจน ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียสายพันธุ์ตามมา

การวิจัยนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าปัญหาในน้ำจืดมีความรุนแรงมากขึ้น คุกคามแหล่งน้ำดื่มของมนุษย์และความสมดุลที่ละเอียดอ่อน นักวิจัยได้แต่คาดหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้จะทำให้เกิดความเร่งด่วนมากขึ้นในการรับมือและจัดการกับผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2111972
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม