ดูแบบคำตอบเดียว
  #50  
เก่า 10-11-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default


'โลกป่วย คนป่วน' ..... อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา



ต้นปีภัยแล้ง อีกไม่กี่เดือนน้ำท่วมอีสานลามมาถึงภาคกลาง ก่อนไปจมภาคใต้ ปลายปียังมีภัยหนาว นี่คือสัญญาณของโลกป่วยหรือคนต่างหากที่เป็นตัวป่วน

ทศวรรษที่ผ่านมาดูเหมือนว่าวาทกรรมเรื่องโลกร้อนจะประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมใน การสร้าง "แพะ" ผู้รับผิดชอบภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งปวง โดยมีฮอลลีวูดรับหน้าที่ฉายภาพอันน่าสะพรึงกลัวออกมาข่มขวัญมวลมนุษยชาติอย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าถามถึงความตื่นตัวของคนไทยแล้ว คงไม่มีอะไรน่ากังวลเท่ากับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ ก่อนจะซ้ำเติมด้วยภัยหนาวที่คาดว่าจะหนักหนากว่าทุกปี

หลายคนอาจสงสัยว่า "เรากำลังเผชิญหน้ากับหายนภัยชนิดไหนกันแน่" บางคนฟันธงว่าโลกกำลังจะเอาคืนมนุษยชาติอย่างที่ เจมส์ เลิฟล็อก นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมผู้โด่งดัง เขียนไว้ใน 'The Revenge of Gaia เมื่อโลกเอาคืน' ..."หากเราไม่ใส่ใจดูแลรักษาโลก โลกก็จะหันมาจัดการดูแลตัวเอง และเมื่อถึงจุดนั้นโลกก็จะทำลายล้างผู้ก่อความเสียหายให้นั่นเอง"

ทว่าในบรรดาข้อสันนิษฐานทั้งหลาย มีข้อสังเกตเรื่องวิธีคิดและการรับมือแบบไทยๆ เป็นหนึ่งในปัญหาคาใจด้วย

เรื่องนี้ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการผู้ถูกตั้งคำถามมากที่สุดในช่วงนี้ มีทั้ง "คำตอบ" และ "คำเตือน" ถึงมหันตภัยที่คนไทยต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้


สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นถือว่ารุนแรงมากกว่าที่ผ่านมาหรือเปล่าคะ

เรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในแง่ความเสียหายก็ถือว่ามาก แต่ถ้าเรามาดูต้นเหตุของปัญหาที่มาจากด้านกายภาพภายนอก คือตัวสภาพอากาศหรืออะไรก็แล้วแต่ มันอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงในเชิงความถี่ ช่วงเวลาหรือสถานที่ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เป็นต้นว่าฝนตกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 - 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ปริมาณฝนขนาดนี้ก็ไม่ได้แปลกมาก ไม่ถึงขนาดว่าไม่เคยมีมาก่อน แต่มันเป็นฝนมรสุมที่ไปตกแถวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งไม่เคยมีอย่างนี้มานานแล้ว เพราะฉะนั้นปัจจัยจากภายนอกก็มีส่วนแต่ไม่มาก

ส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากก็คือวิธีในการรับมือของเรา หรือความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาพวกนี้มีน้อย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยเจอ หรือเคยเจอเมื่อนานมาแล้วลืมไปแล้ว คนไทยส่วนใหญ่เมมโมรีสั้น อะไรเกินสี่ห้าปีนี่ลืมแล้ว เพราะพอผ่านไปเกินกว่านั้น เรามักจะถือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องคำนึง เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้ความตระหนักในเรื่องนี้มันต่อเนื่อง มีการฝึกซ้อม มีการกระตุ้นให้มันเข้มข้น ผมเชื่อว่าจะทำให้ลืมช้าลงนิดหน่อย ซึ่งก็จะช่วยได้ แต่เรามักเห่อกันอยู่เฉพาะในช่วงเหตุการณ์นั่นแหละ

อย่างเรื่องสึนามิเป็นตัวอย่างนะครับ ตอนนี้ไม่มีใครดูเรื่องสึนามิ แล้วถ้าเผื่อใครไปทำตรงนี้ ถ้าจะหาทุนมารณรงค์ แหล่งทุนก็บอก โห...คุณจะมาทำเรื่องสึนามิตอนนี้เหรอ ไม่มีสปอนเซอร์ ทำขึ้นมาก็ไม่มีคนฟัง ก็เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นปัญหาไก่กับไข่ตลอดเวลานะครับ แล้วถ้าเกิดพรุ่งนี้สึนามิมา...เอาอีกแล้ว ถึงบอกว่ามันต้องไปแก้เรื่องการให้ความรู้ให้ความตระหนักก่อน ไม่ใช่เราไม่มีเงินนะ เงินจำนวนเท่ากันนี้ ถ้าเราเอาไปกระจายให้ดี ถูกกว่าด้วยซ้ำ ดีกว่ามาโหมเอาตอนนี้ เงินมันซ้ำซ้อนกัน ผมว่าเรื่องแรกเป็นเรื่องของความตระหนัก ความพร้อมเราไม่ค่อยมี

อย่างที่สองคือทิศทางการพัฒนา เราไม่ค่อยเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ไม่ค่อยเอาเรื่องภัยพิบัติมาเป็นประเด็นในการพัฒนาเลย เรามักจะมองว่าทำอย่างไรให้ถูกที่สุด เร็วที่สุด นั่นคือเงื่อนไขในการพัฒนาเมือง พัฒนาฐานการผลิต พัฒนาอะไรต่างๆ แต่เรามักจะไม่ค่อยดูว่าความเสี่ยงของการเกิดเรื่องแบบนี้เป็นอย่างไร เราถึงคิดว่ามันยังไม่เสี่ยง หรือมีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยมาแก้เอาแบบนี้ เอาตัวรอดไปครั้งนึง เพราะหวังว่ามันไม่เกิดบ่อย คือถ้าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดสิบปีครั้งสิบห้าปีครั้ง ผมว่าวิธีการแบบนี้ก็ยังพอใช้ได้ แต่ถ้าเกิดมันเกิดขึ้นสามปีครั้งสี่ปีครั้งแบบนี้ผมว่ามันไม่ไหว เพราะฉะนั้นเราต้องมานั่งคิดว่า ตอนนี้ความเสี่ยงหรือโอกาสในการเกิดซ้ำเป็นอย่างไร


แล้วความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำมีมากน้อยแค่ไหน

ถ้าเราเชื่อในระดับหนึ่งว่าปรากฎการณ์ลานีญา (La Nina) มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ อย่างน้อยๆในช่วงปลายปีนี้ ช่วงกรกฎา-สิงหาเป็นต้นมานะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฝนมรสุมที่มีเยอะ หรือว่าอากาศที่เริ่มเย็นมากกว่าปกติในปีนี้ เชื่อมโยงกับเรื่องลานีญา มีโอกาสเป็นไปได้ว่าในช่วง 10 - 20 ปีข้างหน้านี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดถี่ขึ้น เพราะดูจากสถานการณ์ที่ผ่านมา 5 - 6 ปี เราเริ่มเห็นทิศทางที่อาจจะชัดเจนมาก ดูเหมือนลานีญาจะมาถี่ขึ้น อันนี้ยังไม่เกี่ยวกับโลกร้อนนะ มันเป็นวงรอบตามธรรมชาติของมัน และถ้ามันเกิดถี่ขึ้นจริง กระบวนการแบบเดิมๆ ก็อาจจะใช้ไม่ได้

การเกิดลานีญาถี่ๆ 2 - 3 ปีมีครั้งในอดีตก็เคยเกิด แต่เป็นอดีตที่นานมากแล้ว สัก 50-60 ปีมาแล้ว แต่สมัยก่อนคนไทยเรามีไม่ถึง 20 ล้านคน เงื่อนไขการใช้ทรัพยากรต่างๆ มันต่างจากเดี๋ยวนี้มาก เพราะฉะนั้นเมื่อก่อนใช้แบบวิธีแบบเดี๋ยวนี้ยังพอใช้ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ยังใช้วิธีตั้งรับแบบเดิมโดยที่เรามีประชากร 70 กว่าล้านคน มีการใช้ทรัพยากรมากขึ้น มีความซับซ้อนในเรื่องทางสังคมมากขึ้น ผมว่ามันไม่เพียงพอครับ


จากข้อมูลที่มีอยู่คาดการณ์ได้ไหมคะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเราหลังจากนี้

เวลาพูดถึงภูมิอากาศ ทศวรรษเดียวอาจจะสั้นไป เอาสัก 2-3 ทศวรรษที่จะมาถึงนี้ เราอาจจะเห็นสภาพที่น้ำค่อนข้างมากนะครับ อากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติ เมื่อเทียบกับ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาถ้าคุณไปดูข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์จะเห็นข่าวภัยแล้งเป็นอันดับ 1 น้ำท่วมนานๆมีที แต่ภัยแล้งนี่มีเยอะมาก คือเกือบทุกปี แล้วพอมันเป็นอย่างนั้น ระบบต่างๆในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาจึงถูกออกแบบให้รับแล้งมากกว่า ซึ่งถ้าให้คะแนนกันระหว่างการรับภัยแล้งกับน้ำท่วม ภัยแล้งได้คะแนนดีกว่าแน่นอน เพราะว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดบ่อย

อีกอย่างดูเหมือนกับว่าความแห้งแล้งเป็นไปในทิศทางโลกร้อนเหมือนกัน มันมีความรู้สึกในเชิงจิตวิทยาว่าโลกร้อนก็ต้องแล้ง แต่คราวนี้ในอีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า ถ้ามันพลิกกับมาเป็นเรื่องน้ำมากและเย็น อาจจะเริ่มขัดๆ กันว่า เฮ้ย! ไหนบอกโลกร้อนไง แต่ปีนี้ทำไมมันหนาว คือคำว่าโลกร้อนเนี่ยเหมือนดาบสองคม พอมีคำว่าร้อนอยู่คนก็คิดว่ามันต้องร้อน ไม่คิดว่าโลกร้อนมันอาจจะเย็นก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แล้วการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ มันอาจจะไม่เกี่ยวกับโลกร้อน แต่มันก็เป็นความแปรปรวน โลกร้อนอาจจะเสริมเข้าไป ทำให้บางที่เย็นกว่าปกติ หรือบางที่ร้อนกว่าปกติ ส่วนที่ที่มีฝนมากก็มากเข้าไปอีก


แต่ทุกวันนี้เวลาเกิดภัยธรรมชาติคนทั่วไปมักเชื่อว่ามาจากภาวะโลกร้อน?

ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ในปีนี้ อาจจะยังไม่มีข้อมูลที่บอกได้ทันทีว่ามาจากปัญหาโลกร้อน ผมว่าตอนนี้ปัญหาข้อจำกัดมันอยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจ งานวิจัย คือจะตอบให้เกี่ยวมันก็เกี่ยวได้ พวกนี้เอาทฤษฎีมาโยงได้หมดแหละ แต่ว่าพอโยงเสร็จแล้วต้องพิสูจน์ให้ได้ด้วยการไปเก็บข้อมูลจริง มีการศึกษา แต่ว่าเราไม่มีตรงนั้นไง ถ้าโยงในทางทฤษฎีมันก็ได้ในระดับหนึ่ง คือมีความเป็นไปได้ แต่ก็มีบ้างเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันแน่นอน โยงยังไงก็โยงไม่ได้ เช่น เรื่องภูเขาไฟระเบิด หรือว่าเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง ระดับน้ำที่มันสูง วงรอบต่างๆที่มาจากดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อิทธิพลจากดาราศาสตร์ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง


อนาคตหากเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นอีก อาจารย์ประเมินความพร้อมในการรับมือไว้แค่ไหน

คุณดูว่าปีนี้รับได้ไหม ปีนี้เป็นบทพิสูจน์ของเราเลย ซึ่งผมมองว่ามันยังไม่พร้อม แต่ถ้าถามว่ายังมีโอกาสพัฒนาได้ไหม โดยไม่ต้องทำอะไรมาก อย่างน้อยๆ ต้องลงทุนในเรื่องการบริหารจัดการเรื่องข้อมูล เรื่องความรู้ ให้มันกระจายไปในท้องถิ่น ส่วนในระดับบน ระดับวิชาการ ระดับองค์ความรู้ ข้อมูลให้มันเชื่อมโยงกันให้ได้ ไม่ใช่หมายความว่าเราต้องมีองค์ความรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวของประเทศหรือเป็น ฐานข้อมูลเป็นหนึ่งเดียว มีเอกภาพ อะไรอย่างนี้นะ

ผมกลัวมากเลยไอ้ความเป็นเอกภาพ เพราะตอนนี้การบริหารจัดการเรื่องภัยพิบัติมันต้องใช้หลักการจัดการความเสี่ยง ไม่ใช่การจัดการความแม่นยำ ถ้าเกิดคุณไปเน้นเรื่องความแม่นยำเมื่อไหร่ มันจะทำให้คุณ input ตัวเองไปในจุดที่เสี่ยง เพราะถ้าเราพูดว่ามันแม่น เกิดไม่แม่นจะซวยเลย แต่ถ้าเรารับสภาพว่า เฮ้ย...มันไม่แม่น ห้าหน่วยงานบอกมาต่างกันขนาดนี้เลย ความคิดผมนะต่างกันเยอะๆ ยิ่งดี เพราะว่าอย่างน้อยๆ การเตรียมพร้อมในช่วงกว้าง คือจะมาน้อยมามากรับได้หมด แต่ถ้าคุณเรียกร้องให้แม่นเนี่ยน่ากลัว เพราะว่าผิดแน่นอน

เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวเรื่องความไม่ลงรอย ตอนผมไปนั่งประชุมที่ทำเนียบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หน่วยงานกลัวกันมาก สำหรับผมข้อมูลความรู้ไม่จำเป็นต้องมีเอกภาพ แต่การตัดสินใจต้องมีเอกภาพ

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม