![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยมีฝนน้อย โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังอ่อน ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนและประเทศจีนตอนใต้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 2- 3 ก.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนและประเทศจีนตอนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีปริมาณฝนลดลง ส่วนในช่วงวันที่ 4 ? 8 ก.ค. 64 ร่องมรสุมจะพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นกับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 4 ? 8 ก.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย ![]() ![]() ![]()
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
สลด ซากสัตว์น้ำ 200 ตัว เกยหาดศรีลังกา หลังเหตุเรือสินค้าไฟไหม้ ซากสัตว์น้ำจำนวนหลายร้อยตัวถูกซัดเกยหายของศรีลังกา หลังสัปดาห์หลังจากเกิดเหตุเรือสินค้าบรรทุกสารเคมีอันตราย ไฟไหม้และจมลงก้นทะเล ![]() สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า ผลกระทบจากเหตุ เรือบรรทุกสินค้า ?เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล? ไฟไหม้และจมลงก้นทะเลนอกชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศศรีลังกา เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน เริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจนถึงตอนนี้มีซากเต่า 176 ตัว, โลมา 20 ตัว และวาฬีอีก 4 ตัว ถูกคลื่นซัดมาเกยหาดศรีลังกา นาย มาฮินดา อามาราวีรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของศรีลังกา กล่าวว่า เป็นเรื่องไม่ปกติที่มีสัตว์น้ำตายมากขนาดนี้ในช่วงนี้ของปี "ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ไม่เคยมีสัตว์น้ำตายแบบนี้" เขายังบอกด้วยว่า ซากสัตว์ส่วนใหญ่พบนอกชายฝั่งตะวันตก ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุเรือล่มเต็มๆ ทั้งนี้ เรือ เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล ความยาว 186 ม. บรรทุกนำ้มันเตามาด้วย 278 ตัน, แก๊ส 50 ตัน, คอนเทนเนอร์ 1,486 ตู้ ประกอบด้วยสารเคมี 25 ตัน และเม็ดพลาสติกจำนวนมาก ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้เมื่อ 20 พ.ค. เจ้าหน้าที่ใช้เวลาดับไฟถึง 12 วัน แต่สุดท้ายเรือก็จมลงก้นทะเลในวันที่ 2 มิ.ย. ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า น้ำมันที่ยังหลงเหลือบนเรือลำนี้ อาจสร้างความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมบริเวณนี้ไปนานหลายสิบปี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กัปตันเรือชาวรัสเซียของเรือ เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล ถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อฟังการพิจารณาดคี แม้ว่าจะยังไม่มีการตั้งข้อหา ขณะที่มีจำเลยอีก 14 คนที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรับผิดชอบในเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ https://www.thairath.co.th/news/foreign/2131301
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
กรมประมง สั่งห้ามเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่น 13 ชนิด ![]() กรมประมง ออกประกาศฯ ห้ามเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือเอเลียนสปีชีส์ 13 ชนิด เช่น ปลาหมอสีคางดำ ปูขนจีน หอยมุกน้ำจืด หมึกสายวงน้ำเงิน และปลา GMO ควบคุมการแพร่พันธุ์และทำลายระบบนิเวศแหล่งน้ำ มีผล 16 ส.ค.นี้ วันนี้ (2 ก.ค.2564) ?นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือเอเลียนสปีชีส์ ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของไทยอย่างมาก ยกตัวอย่างกรณีปลาหมอสีคางดำที่หลุดรอดเข้าบ่อเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นเป็นอย่างมาก ในครั้งนั้นกรมประมงได้แก้ไขปัญหา ด้วยการการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยงพ.ศ.2561 สำหรับสัตว์น้ำ 3 ชนิด ได้แก่ ปลาหมอสีคางดำ ปลาหมอมายัน และปลาหมอบัตเตอร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 19 มี.ค.2561 อีกทั้งยังได้มีมาตรการจับสัตว์น้ำดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ด้วยการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือการฝังกลบ จากนั้นกรมประมงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นในชนิดพันธุ์อื่น ๆ และได้มีการประชุมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเพาะเลี้ยงในประเทศ การรุกรานที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และผู้ประกอบการ ประกอบกับการพิจารณาสัตว์น้ำในทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกันควบคุมและกำจัดของประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2561 โดยพิจารณาควบคู่กับทะเบียนชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกราน 100 อันดับโลก (GISD; Global Invasive Species Database,IUCN) จึงเห็นควรที่จะเพิ่มชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ขึ้นบัญชีห้ามเพาะเลี้ยงเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น? ล่าสุด กรมประมง ได้อาศัยความตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2560 ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 27 พ.ค.2564 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ส.ค.2564 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นหายาก หรือป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ ซึ่งประกอบสัตว์น้ำด้วย 13 ชนิด ได้แก่ - ปลาหมอสีคางดำ - ปลาหมอมายัน - ปลาหมอบัตเตอร์ - ปลาทุกชนิดในสกุล Cichla และปลาลูกผสม - ปลาเทราท์สายรุ้ง - ปลาเทราท์สีน้ำตาล - ปลากะพงปากกว้าง - ปลาโกไลแอทไทเกอร์ฟิช - ปลาเก๋าหยก - ปลาที่มีการดัดแปลงหรือตัดแต่งพันธุกรรม GMO LMO ทุกชนิด - ปูขนจีน - หอยมุกน้ำจืด - หมึกสายวงน้ำเงินทุกชนิดในสกุล Hapalochlaena ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวฯ มีแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้ กรณีที่เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกลุ่มเหล่านี้ ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตตามประกาศกรมประมงภายใน 30 วัน หลังจากประกาศฯ มีผลบังคับใช้ และเมื่อไม่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่นกลุ่มดังกล่าวแล้วให้รีบนำสัตว์น้ำส่งมอบให้สำนักงานประมงจังหวัด หรือหน่วยงานกรมประมงอื่น ๆ ในพื้นที่โดยด่วน, กรณีที่ประชาชนทำการประมงแล้วได้สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประชาชนสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้สัตว์น้ำตายก่อนนำไปจำหน่าย, กรณีที่สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้จากธรรมชาติได้หลุดรอดเข้าในบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกรโดยไม่เจตนา เกษตรกรสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้ปลาตายก่อนนำไปจำหน่าย, กรณีส่วนราชการ สถาบันการศึกษา หรือกรณีจำเป็นอื่นใดที่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดไว้เพื่อศึกษาวิจัยและประโยชน์ทางราชการให้แจ้งขออนุญาตกรมประมงก่อน, ห้ามผู้ใดปล่อยสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิด ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความผิดตามมาตรา 144 แห่ง พ.ร.ก.การประมง 2558 บทลงโทษหากพบผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 64 หรือมาตรา 65 วรรคสอง ต้องระวางโทษตามมาตรา 144 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง นำสัตว์น้ำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ "การออกประกาศฉบับดังกล่าวโดยห้ามทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้ง 13 สายพันธุ์นี้ ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นที่หลุดรอดเข้ามาแพร่พันธุ์และสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทย" รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ขอความร่วมมือประชาชนหากเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่น (สัตว์น้ำจากต่างประเทศ) และไม่ต้องการที่จะเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว อย่านำไปปล่อยลงในแหล่งน้ำสาธารณะ และขอให้นำสัตว์น้ำดังกล่าวมามอบให้กรมประมง หรือสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้านให้รับไปดูแล ป้องกันไม่ให้สัตว์น้ำต่างถิ่นหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศในระยะยาว https://news.thaipbs.or.th/content/305743
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|