เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 05-01-2010
angel frog angel frog is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 326
Default

ตอนนี้ไปที่ไหนๆ ชาวบ้านชาวป่าเขา ก็พูดเหมือนกันว่า ปีนี้อากาศเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม แปลกมากๆ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 07-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


อากาศวิปริต ป่วนทั้งโลก ไทยฝนหลงฤดู


อากาศทั่วโลกวิปริตหนักฤดูกาลผิดเพี้ยน อังกฤษติดลบต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศไทยเดือนมกราคม เกิดฝนหลงฤดูถล่มลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว...

อากาศทั่วโลกวิปริตหนัก ฤดูกาลผิดเพี้ยนจากเดิมชนิ ไม่เคยเกิดมาก่อน อังกฤษวิกฤติหนัก อุณหภูมิหนาวจัด ติดลบต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หิมะหนาเตอะบนถนน 40 ซม. สนามบินทั่วประเทศปิดตาย เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิกกะทันหัน ระดมทหารเร่งช่วยเหลือเจ้าของรถกว่า 1 พัน ที่ติดหิมะอยู่บนท้องถนน ขณะที่ฟุตบอลคาร์ลิงคัพ ระหว่างปิศาจแดงกับเรือใบต้องเลื่อนออกไปเพราะหิมะเป็นเหตุ ด้านนอร์เวย์เลวร้ายสุดใน ทวีปยุโรป ต้องเผชิญความหนาวเย็นติดลบถึง 41 องศาเซลเซียส ส่วนจีนประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและถ่านหินอย่างหนัก ปักกิ่งอุณหภูมิติดลบ 16 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพฯ ฝนหลงฤดูถล่มกรุง น้ำท่วมขังถนนหลายสาย การจราจรเป็นอัมพาตโกลาหลทั้งเมืองโลกวิปริตหนัก เกิดสภาพอากาศแปรปรวน ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั่วทั้งโลก ทั้งอากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบ หิมะตกหนักเป็นแผ่นหนาในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาประเทศจีน กับอีกหลายแห่งของทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศไทยในเดือนมกราคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ก็เกิดฝนหลงฤดูถล่มลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่วในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต รถราติดขัด น้ำท่วมขังจนโกลาหลกันทั้งเมือง

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค.ว่า หลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย เผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นผิดปกติต้อนรับปีใหม่ โดยที่อังกฤษ ทั่วทั้งประเทศไล่ตั้งแต่กรุงลอนดอนไปตลอดภาคกลาง เหนือ ใต้ จนถึงสกอตแลนด์ อากาศหนาวเย็นและหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 30 ปี หลายเมืองเผชิญพายุหิมะหรือหิมะตกหนาถึง 40 ซม. ส่งผลให้การขนส่งคมนาคมเป็นอัมพาต ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และการจราจรทางอากาศ สนามบินหลายแห่งต้องปิดชั่วคราว รวมทั้งสนามบินเกตวิคในลอนดอน ซึ่งถูกปิดเมื่อคืนวันที่ 5 ม.ค. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เคลียร์หิมะจากรันเวย์ นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่จะจับเที่ยวบินจากสนามบินฮีทโธรว์ ยังได้รับคำเตือนให้เช็กกับสายการบินก่อนเดินทางไปที่สนามบินและเผื่อเวลาสำหรับความล่าช้า ส่วนสนามบินลูตัน เบอร์มิงแฮม แมนเชสเตอร์ เซาแธมป์ตัน และสนามบินจอห์น เลนนอน ในเมืองลิเวอร์พูล ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป

ส่วนผู้ให้บริการ รถไฟทั่วอังกฤษก็ประกาศลด ยกเลิก หรือเลื่อนการเดินรถไฟหลายขบวน รวมทั้งขบวนเข้าออกกรุงลอนดอน ไปจนถึงรถไฟสายอีสต์ โคสต์ อีสต์ มิดแลนด์ ชิลเทิร์น เรลเวย์ส เฟิร์ส เกรต เวสเทิร์น ฯลฯ ขณะที่โรงเรียนหลายร้อยแห่งทั่วประเทศถูกสั่งปิด โดยเฉพาะในเขตแลงคาสเชียร์ เวสต์ ยอร์คเชียร์ เวสต์ มิดแลนด์ กลอสเตอร์เชียร์ ฮาตฟอร์ดเชียร์ และเซอร์เรย์ ได้รับผลกระทบหนักที่สุด กองทัพอังกฤษยังระดมทหารออกมาช่วยบรรเทาทุกข์ รวมทั้งไปช่วยอพยพผู้ขับรถยนต์กว่า 1,000 คัน ที่ติดค้างอยู่บนถนน ซึ่งหิมะสุมหนาจนรถติดยาวเหยียดในเมืองแฮมเชียร์

สภาพอากาศอันเลว ร้ายยังส่งผลให้การแข่งขันฟุตบอล กีฬาสุดฮิตของอังกฤษต้องยกเลิก รวมทั้งฟุตบอล "คาร์ลิงคัพ" นัดดาร์บี้ แมตช์ ระหว่างทีม "ปิศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันอังคารที่ 5 ม.ค. ส่วนการแข่งขันพรีเมียร์ลีก คืนวันพุธที่ 6 ม.ค. ระหว่างทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล กับทีมโบลตัน ก็เผชิญอุปสรรคเช่นกัน นอกจากนี้ การแข่งขันรักบี้และม้าแข่งหลายนัดก็ถูกยกเลิกด้วย

ทางการอังกฤษยังแถลงเตือนว่า อาจเกิดภาวะไฟฟ้า ก๊าซ และเกลือขาดแคลน เพราะอุปสงค์ความต้องการใช้มีสูงมากผิดปกติในช่วงหนาวจัด แต่อุปทานลดลงอย่างฮวบฮาบเนื่องจากการผลิตและการขนส่งแทบเป็นอัมพาต ฝ่ายค้านของอังกฤษเผยว่า อังกฤษมีก๊าซสำรองพอใช้แค่ 8 วันเท่านั้น ขณะที่บริษัทวินส์ฟอร์ด ผู้ผลิตเกลือรายใหญ่ที่สุดของประเทศในเมืองเชสเชียร์ เตือนว่าเกลืออาจขาดตลาดถ้าสภาพอากาศยังเป็นเช่นนี้อยู่

สำนักงาน อุตุนิยมวิทยาอังกฤษทำนายว่า อังกฤษจะเผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นจัดต่อไปอีก 2 สัปดาห์ และนอกจากอังกฤษ หลายประเทศทั่วยุโรปก็เผชิญสภาพอากาศเย็นจัดจากแนวอากาศหนาวจากภูมิภาค ไซบีเรีย โดยเฉพาะนอร์เวย์ อุณหภูมิลดต่ำถึงติดลบ 41 องศาเซลเซียส ส่วนเนเธอร์แลนด์ เกิดน้ำแข็งหนาจนสามารถจัดการแข่งขันสเกตน้ำแข็งธรรมชาติครั้งแรกในปีนี้ ได้ที่ทะเลสาบเฮนสโคเตอร์ ที่ฝรั่งเศส หิมะและน้ำแข็งหนา ทำให้การจราจรทางภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งที่เมืองบอร์กโดซ์ ติดขัดอย่างหนัก ส่วนฮังการีก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทางการต้องเตือนไม่ให้ประชาชนในกรุงบูดาเปสต์ใช้รถยนต์ ขณะที่บางพื้นที่ของอิตาลีกลับเผชิญฝนตกหนัก จนเจ้าหน้าที่หวั่นกลัวว่าแม่น้ำไทเบอร์จะเอ่อล้นท่วมกรุงโรมในไม่กี่วันข้างหน้า

ขณะที่ในเอเชียเกิดอากาศหนาวจัดและหิมะตกหนักทางภาคเหนือ ตะวันออก และกลางของจีน ทำให้เกิดภาวะไฟฟ้าและถ่านหินขาดแคลนอย่างหนัก เนื่องจากการขนส่งถ่านหินจากแหล่งผลิตต่างๆทำได้ยากลำบาก อีกทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าและถ่านหิน ตกลงเรื่องราคาจำหน่ายไม่ได้ ทำให้ไฟฟ้าและถ่านหินไม่เพียงพอกับความต้องการอยู่ก่อนแล้ว จนทางการจีนต้องปันส่วนไฟฟ้า เพื่อการอุตสาหกรรม และใช้ในครัวเรือนในบางพื้นที่ รวมทั้งที่มหานครเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงสู ชานตง และเหอเป่ย ส่วนภูมิภาคอื่นๆอาจขาดแคลนไฟฟ้าและถ่านหินเช่นเดียวกัน ถ้าสภาพอากาศยังหนาวเย็นจัดต่อไป ซึ่งทางการจีนได้ร้องขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดพลังงานแม้กำลังต่อสู้กับความเหน็บหนาวก็ตาม

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของจีนพยากรณ์ว่า ภาวะอากาศหนาวเย็นจะต่อเนื่องไปตลอดสัปดาห์ โดยที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค. หิมะตกหนักและอุณหภูมิลดลงถึงติดลบ 16 องศาเซลเซียส ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2514 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อากาศหนาวเย็นที่สุด อุณหภูมิติดลบ 32 องศาเซลเซียสเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ม.ค. ก่อนสูงขึ้นเป็นติดลบ 17 องศาเซลเซียสในวันพุธที่ 6 ม.ค.

ภูมิภาคอื่นๆที่เผชิญสภาพอากาศ หนาวเย็นผิดปกติในช่วงนี้ รวมทั้งเกาหลีใต้ ซึ่งหิมะตกหนักในกรุงโซล ขณะที่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา สภาพอากาศหนาวเย็นจัด ทำให้เกษตรกรต้องรีบเก็บเกี่ยวพืชผล ส่วนนักท่องเที่ยวที่หวังไปอาบแดดอุ่นๆในภูมิภาคกัลฟ์ โคสต์ ในรัฐเท็กซัส หลุยเซียนา มิสซิสซิปปี อลาบามา และฟลอริดา กลับต้องเผชิญความหนาวเหน็บแทน

ขณะเดียวกัน ที่กรุงเทพมหานคร ก็ปรากฏว่ามีฝนตกลงมาอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำของวันที่ 6 ม.ค. หลังจากที่มีฟ้าครึ้มมืดมัวมาตั้งแต่เช้า ทั้งที่เป็นช่วงอยู่ในฤดูหนาว แต่กลับมีฝนหลงฤดูตกลงมา ส่งผลให้รถราติดขัดยาวเหยียด เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ การจราจรบนถนนสายหลัก อาทิ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนลาดพร้าว ถนนรามคำแหง ถนนพหลโยธิน ถนนจรัญสนิทวงศ์เป็นอัมพาต เกิดอุบัติเหตุรถชนในหลายพื้นที่

นายบุญธรรม ตั้งล้ำเลิศ หัวหน้าเวรพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดฝนตกหนักในกรุงเทพฯ และหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เกิดจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอ่อนกำลังลง ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ เข้ามาปกคลุมบริเวณภาคกลาง ทำให้บริเวณภาคกลาง กรุงเทพฯ ปริมณฑล มีฝนตกหนัก และภาคอื่นๆมีฝนฟ้าคะนองในช่วงนี้ คาดว่าคืนวันที่ 6 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ทั่วประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองลดลง และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกช่วงฤดูหนาวว่า เกิดจากลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมวลอากาศร้อนชื้นเข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้มวลอากาศเย็นหดตัวขึ้นไปทางเหนือ ส่งผลให้เกิดฝนตกกระจายในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ และจะกลับเข้าสู่หน้าหนาวอีกครั้งตลอดเดือน ม.ค. ขณะเดียวกันปัญหาที่ไทยจะเจอแน่คือ ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น 40-42 องศาในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพฯ น่าจะเกิน 40 องศา โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้

ทางด้านนายสัญญา ชีนิมิตร ผอ.สำนักระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สภาพฝนตกในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 16.30 น. มีปริมาณสูงสุดบริเวณพื้นที่เขตห้วยขวาง 120 มิลลิเมตร/ชม. ส่วนพื้นที่อื่นๆ เช่น ลาดพร้าว รามคำแหง มีปริมาณ 97 มิลลิเมตร/ชม. ถนนหลายสายรถราติดขัด มีน้ำท่วมขังสูงถึง 10 ซม. เช่นที่ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัชดาภิเษก กทม.ได้เร่งระบายน้ำออกจากผิวจราจรแล้ว เหลือถนนบางสายที่ปริมาณน้ำท่วมขังยังสูง



จาก : ไทยรัฐ วันที่ 7 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 10-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


สัญญาณหายนะ



มองไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว อยากตกใจ เพราะเห็นได้เลยว่าระดับน้ำในแม่น้ำอยู่สูงกว่าถนน

ปีต่อไปและต่อไปน้ำคงจะท่วมมากกว่านี้ ผมคิดด้วยความเป็นห่วง

เมื่อวันพุธที่แล้วนี้เอง เวลาบ่าย 4 โมงเย็น ผมมีธุระ จำเป็นต้องนั่งรถจากปากน้ำเข้ากรุงเทพฯ การจราจรติดขัดมาก สาเหตุเพราะฝนตกหนัก

รุ่งขึ้นอีกวัน อ่านหนังสือพิมพ์จึงรู้ว่าฝนตกหนักทั่วกรุงเทพฯ

ฝนที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นฝนธรรมดาๆ แต่เป็นฝนหลงฤดู

ที่ว่าหลงฤดูก็เพราะว่า ช่วงนี้เป็นหน้าหนาว แต่ฝนดันทะลึ่งตกลงมา

หลายคนบ่นท่ามกลางสายฝนว่า ฝนน่าจะบอกให้รู้ล่วงหน้าจะได้เตรียมร่มหรือเสื้อฝนติดตัวมาด้วย

พักหลังๆมานี้ โลกที่รักของเราเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ออกอาการแปลกๆ ให้ผู้อยู่ในโลกต้องเดือดร้อนและตื่นเต้นทุกเดือนหรือเกือบทุกวันก็ว่าได้

อย่างกับตอนนี้หน้าหนาวของไทยอากาศควรจะหนาว แต่หนาวได้เพียงไม่กี่วัน แล้วก็ไม่ยอมหนาวอีกต่อไป

ความหนาวคงจะรอให้ถึงหน้าร้อนเสียก่อนแล้วค่อยหนาวก็ได้

ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ ก็คงจะได้เห็นเด็กๆพากันใส่เสื้อหนาวเล่นว่าวที่สนามหลวง

แต่ก็ไม่แน่ บางทีกำลังเล่นว่าวอยู่เพลินๆ ฝนอาจจะตกลงมา ทีนี้คงยุ่งไปใหญ่เพราะนอกจากทำให้ว่าวต้องเปียกน้ำแล้ว ยังทำให้เด็กต้องเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อหนาวเป็นเสื้อฝนแทน

แค่นึกก็ปวดหัว ปวดหัวกับดินฟ้าอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ถ้าเมืองไทยจะมีอากาศวิปริตเกิดขึ้น สิ่งที่ผมอยากให้เป็นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคืออยากให้มีหิมะตก เพราะผมชอบสีขาวของหิมะ และชอบภูเขาที่มีหิมะปกคลุม

ถ้าภูเขาของไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือมีหิมะ รับรองว่าจะต้องมีความสวยงามน้องๆเทือกเขาแอลป์ของยุโรป

หิมะมีสีขาวสวยก็จริง แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่น่าจะดี อย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายๆประเทศ

อย่างกับในอังกฤษถูกหิมะเล่นงานหนัก จนรถไฟที่วิ่งอยู่ใต้ทะเลช่องแคบอังกฤษมีปัญหา พาผู้โดยสารไปติดอยู่ใต้ทะเลถึงพันกว่าคน

การแข่งขันฟุตบอลที่อังกฤษต้องเลื่อนการแข่งขันหลายคู่ เพราะสนามฟุตบอลกลายสภาพเป็นสนามเล่นสเกตน้ำแข็ง

เครื่องบินขึ้นลงไม่ได้ไปหลายแห่ง สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว

ในสหรัฐอเมริกาก็เจอหนักหลายรัฐมาก หลายเมืองมีหิมะกองอยู่ที่พื้นถนนหนาเป็นฟุต เป็นเหตุให้คนไม่ออกจากบ้าน งานคริสต์มาสกร่อย

อย่าว่าแต่ประเทศทางยุโรปหรืออเมริกาที่ตั้งอยู่ในโซนหนาวเลย แม้ในเอเชีย ทั้งจีน ทั้งญี่ปุ่น ทั้งเกาหลีก็โดนหิมะเล่นงานหนักเช่นกัน

หนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา

นับว่ายังโชคดีที่มนุษย์ฉลาดสามารถสู้ความหนาวได้ เช่น คิดเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน เพื่อให้มีอากาศอบอุ่นแล้วยังรู้จักสะสมอาหารไว้กินในฤดูหนาวได้อีก

หากมนุษย์ทำอย่างที่ว่าไม่ได้ มีหวังตายกันหมด

สาเหตุการเปลี่ยนแปลงและเหตุร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกทั้งเรื่องความหนาวเย็น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมแรง นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้รู้บอกว่าเกิดจากโลกร้อน

ผู้ที่ทำให้โลกร้อนไม่ใช่ใครอื่น ตัวการสำคัญก็คือมนุษย์

ฉะนั้น ถ้าขืนปล่อยปละละเลย มนุษย์ก็จะพากันเดือดร้อนอย่างหนักไปทั่วโลก ผลที่สุด จะไม่มีมนุษย์คนใดเหลืออยู่ในโลกนี้เลยก็เป็นได้

สำหรับหายนะที่จะเกิดกับโลกนี้ ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดก็เห็นจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกือบทุกประเทศในยุโรป

ประเทศเหล่านี้จึงได้นัดประชุมหารือกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้โลกหายร้อน หรือร้อนน้อยลง ซึ่งทำได้ยากมาก เพราะมนุษย์ได้ผลิตอะไรออกมาใช้แต่ละอย่างล้วนทำให้โลกร้อนทั้งสิ้น เช่น โรงงานต่างๆ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องหุงต้ม ฯลฯ

แต่ดู ๆ แล้วไม่ง่ายเลยที่จะทำให้โลกหายร้อนได้

สำหรับเราซึ่งเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆเพียงหนึ่งตัวไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องใหญ่ๆให้เสียสมอง ขอเพียงให้ใช้น้ำ ใช้ไฟ ใช้รถยนต์ให้น้อยลง เป็นใช้ได้ และถ้าให้ดีช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้นก็พอแล้ว

สิ่งเหล่านื้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อลูกหลานของเรา เพราะตัวเราเอง ถึงแม้โลกจะร้อนหรือไม่ร้อน อีกไม่นานก็ต้องตายกันหมดแล้ว.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 10 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 19-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


วิปโยคเฮติ...ต้องศึกษา 'ธรณีพิโรธใหญ่' ไทย...ต้องตื่นตัวรับมือ



ธรณีพิโรธ “แผ่นดินไหว” ระดับ 7 ริคเตอร์ ซึ่งเกิดที่ประเทศเฮติ โดยมีศูนย์กลางการเกิดอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวง ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 16 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ดินราว 10 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ไร้ที่อยู่อาศัย-อาหาร เป็นแสนๆ ซึ่งขนาดทำเนียบประธานาธิบดีก็ยังถล่มเป็นซากนั้น.....

นี่ไม่เพียงเป็นภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีของเฮติ

แต่ยังเป็นแผ่นดินไหวที่เขย่าขวัญผู้คนทั่วทุกมุมโลก

และสำหรับเมืองไทย-คนไทยก็อย่าได้คิดว่าไกลตัว !!

“เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับประเทศไทย ในเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาแผ่นดินไหว” ...นี่เป็นเนื้อความตอนหนึ่งจากการระบุผ่านสื่อของ ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการองค์กรศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติ แห่งเอเชีย หรือเอดีพีซี โดย ดร.พิจิตตยังได้ระบุถึงเรื่อง “รอยเลื่อน” ซึ่งเกี่ยวโยงกับแผ่นดินไหว-กับเขื่อน ที่อาจสร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในไทย รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม ณ ที่นี้ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” จะสะท้อนย้อนภาพรวมตามที่เคยมีผู้สันทัดกรณีด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องเคยชี้เตือนไว้ เช่น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยระบุไว้หลังการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงประมาณ 7.8 ริคเตอร์ เขย่ามณฑลเสฉวน และพื้นที่ใกล้เคียง ในประเทศจีน เมื่อบ่ายวันที่ 12 พ.ค. 2551 ซึ่งเพียงถึงเช้าวันที่ 13 พ.ค. ก็มีรายงานตัวเลขพบผู้เสียชีวิตกว่า 9,200 ศพ สูญหาย กว่า 60,000 คน อาคาร-ที่พักอาศัยพังถล่มกว่า 500,000 หลัง สรุปได้ว่า.....

เหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้จุดศูนย์กลางจะห่างจากไทย แต่การสั่นของรอยเปลือกโลกก็ส่งผลทำให้เกิดการกระตุ้นที่ตะแกรงรอยเลื่อนของเปลือกโลก หรือที่เรียกกันว่าแอ๊คทีฟ ฟอลท์ (Active Fault) ซึ่งย่อมส่งผลกระทบกับภูมิศาสตร์ของหลายประเทศได้ด้วย ซึ่งสำหรับไทยพื้นที่ที่จะมีผลกระทบคือพื้นที่ที่มีลักษณะกายภาพเป็นดินอ่อน ซึ่งมีโอกาสยุบตัวง่าย และลักษณะทางกายภาพดังว่านี้...ก็รวมถึง “กรุงเทพฯ” เมืองหลวงของไทย

แผ่นดินไหวในประเทศอื่น ๆ ไทยจึงต้องให้ความสนใจ

เมืองหลวงประเทศไทยก็ใช่ว่าไม่เสี่ยงกับ “ธรณีพิโรธ”

และแม้จะอยู่บ้านชั้นเดียว-อาคารเตี้ย ๆ ก็อาจอันตราย !!

ทั้งนี้ อย่างที่ ชาติชาย สุภัควนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูพลัส ซอฟท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีก่อสร้าง-การก่อสร้างยุคใหม่ สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ไว้ว่า... ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีการคำนึงถึงกฎปฏิบัติในการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านแรงแผ่นดินไหวมากนัก เพราะในไทยมีประวัติเกิดแผ่นดินไหวไม่มาก วิศวกรที่จบปริญญาตรีกว่า 95% ก็ไม่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหวลึกซึ้ง ความรู้เรื่องนี้จะอยู่ระดับปริญญาโท

“การสร้างโครงสร้างอาคารในบ้านเราที่ผ่านๆมามักใช้ความรู้ความชำนาญที่เป็นการคำนวณด้วยมือ จากการดูแบบพิมพ์เขียว ซึ่งการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั้นจะใช้แต่ประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ของวิศวกรอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการคำนวณโครงสร้างอาคารด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพ” ...ชาติชายระบุ

พร้อมทั้งยังชี้ไว้ด้วยว่า... หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าที่ผ่านมาเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทยอาคาร ที่เป็นตึกสูงที่ออกแบบโดยวิศวกรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มักจะไม่ค่อยมีปัญหา “ในเมืองไทยนั้น ที่มักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมาก มักจะเป็นอาคารหรือที่อยู่อาศัยที่เป็นตึกไม่สูง สรุปก็คือโครงสร้างอาคารบ้านเรือนคนไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมรับแรงสั่นสะเทือนการเกิดแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพ”

ในเมืองไทย “บ้านยุคเก่า-ตึกยุคเก่า” อยู่ในข่ายต้องระวัง

และอาคารสูงยุคใหม่ถ้ามีคอร์รัปชั่นงบก่อสร้างก็น่าห่วง !!

อีกทั้งความน่าเป็นห่วงยังอาจรวมถึง “สึนามิจากแผ่นดินไหว” อย่างที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เคยเผยแพร่เป็นบทความเกี่ยวกับ “แผ่นดินไหว-สึนามิ” ไว้ในเว็บไซต์ของศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ บางช่วงบางตอนว่า... “ได้ทำการวิเคราะห์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ใหญ่ (9 ริคเตอร์) ในทะเลอันดามัน (บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์) และอ่าวไทย (บริเวณทิศตะวันตกหมู่เกาะฟิลิปปินส์) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีโอกาสเกิด ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ชายฝั่งอันดามันจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือควรจะมีการเตรียมการที่ดี มีแผนจัด การในภาวะฉุกเฉินรองรับภัยธรรมชาติ...” “สิ่งที่คนไทยควรจะทำคือต้องเตรียมรับมือไว้ให้พร้อม โดยศึกษาจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ควรเป็นไปในลักษณะการตื่นตัวแต่ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป...” ...รศ.ดร.เสรี ระบุไว้

และ “แผ่นดินไหว” ที่เฮติ...ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษาของไทย

เพื่อรับมือ “ธรณีพิโรธ” ที่เกิดได้...แม้แต่ใต้บ้านนายกฯ !!.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 20-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


สุมาตราอันตราย



ปีนี้ทำท่าจะเป็นปีเสือดุจริงๆตามที่ใครต่อใครหวาดวิตก เพราะเพียงแค่เดือนแรก ภัยธรรมชาติก็เล่นงานมนุษย์ครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวรุนแรงที่ประเทศเฮติ ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเหลือคณานับ

ว่ากันตามจริง ตามปฏิทินโหราศาสตร์โลกตะวันออก ช่วงนี้ยังเป็นปีฉลูหรือปีวัวอยู่ ของจีนแม้ว่าวันตรุษปีนี้จะตรงกับวันที่ 14 ก.พ. แต่จักรราศีจะเคลื่อน เข้าสู่ปีขาล ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. เวลา 06.49 น. ส่วนของไทยเราก็ต้องหลังวันมหาสงกรานต์ 13 เม.ย. ไปแล้ว

แผ่นดินไหวรุนแรง หรือที่ทางการอยากให้เรียกว่า “ธรณีพิบัติภัย” แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความร่วมมือสักเท่าไหร่ เป็นอีกหนึ่งภัยทางธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจคาดการณ์ “วันเวลา” ที่มันจะเกิดล่วงหน้าได้อย่างแน่ชัด แม้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ จะเจริญรุดหน้าไปถึงไหนแล้วก็ตาม

โศกนาฏกรรมที่กำลังถาโถมชาวเฮติอยู่ในขณะนี้ มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องภัยธรรมชาติโดยตรงได้ออกโรงเตือนคลื่นยักษ์สึนามิจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล กำลังรอเวลาเล่นงานเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียอีกรอบ

ความรุนแรง และความสูญเสีย คาดว่าน่าจะไม่น้อยกว่า เหตุการณ์สึนามิรอบมหาสมุทรอินเดียเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 ราย สูญหายราว 40,000 ราย

สึนามิ 26 ธ.ค. 2547 จังหวัดอาเจะห์ ทางเหนือของเกาะสุมาตรา ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวขนาด 9.3 ริคเตอร์กว่าใครเพื่อน แต่สึนามิครั้งใหม่หากเกิดขึ้น จุดที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุดคือจังหวัดปาดัง เมืองเอกของจังหวัดสุมาตราตะวันตก อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะทางใต้ของอาเจะห์

คณะนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ นำโดยนายจอห์น แม็คคลอสกี อาจารย์สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยอัลส์เทอร์ ในไอร์แลนด์เหนือ ทำนายว่าแผ่นดินไหวครั้งใหม่ ความรุนแรงจะอยู่ที่ 8.5 ริคเตอร์เป็นอย่างต่ำ

ส่วนความเสียหายต่อเมืองปาดัง ซึ่งมีประชากร 850,000 คน ขึ้นอยู่กับระดับความลึก และระยะห่างชายฝั่งของจุดศูนย์กลาง แต่เชื่อว่าน่าจะสูสีกับความเสียหายต่ออาเจะห์

แม็คคลอสกียืนยันว่าเกิดแน่ แต่ระบุไม่ได้ว่าวันหรือเวลาไหน เนื่องจากมีแรงดันสะสมต่อเนื่องตลอด 200 ปีที่ผ่านมา ในร่องเปลือกโลกซุนดาที่ทอดเป็นแนวขนานกับชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา

แม็คคลอสกีและคณะ เคยทำนายแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว โดยในเดือน มี.ค. 2548 ได้เตือนรัฐบาลอินโดนีเซีย ผลพวงจากแผ่นดินไหว 9.3 ริคเตอร์นอกชายฝั่งอาเจะห์ ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล ต่อรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ทางใต้ถัดลงไป และทำนายว่า จะเกิดแผ่นดินไหว ความรุนแรงอย่างต่อ 8.5 ริคเตอร์ในอีกไม่นาน และจะทำให้เกิดสึนามิด้วย

ปรากฏว่า แค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังคำเตือน คือวันที่ 28 มี.ค. 2548 เกิดแผ่นดินไหว 8.6 ริคเตอร์ในทะเล เขย่าเกาะซิมิวลิว นอกชายฝั่งตะวันตกของจังหวัดอาเจะห์ และเกิดคลื่นสึนามิความสูง 3 เมตรพัดกระหน่ำเกาะ

เท่าที่มีการบันทึก เมืองปาดังเคยเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิถล่มบ้านเรือนหลายครั้งแล้ว เช่นในปี พ.ศ. 2340 แรงไหว 8.7 ริคเตอร์ เกิดสึนามิสูงถึง 10 เมตร น้ำท่วมทั้งเมือง แต่ไม่มีบันทึกความสูญเสียต่อชีวิต และล่าสุดวันที่ 30 ก.ย. ปีที่แล้ว แผ่นดินไหวในทะเลห่างชายฝั่งเมืองปาดัง 60 กม. ทำให้มีคนตายมากกว่า 1,100 ศพ

คำเตือนของแม็คคลอสกี คงทำให้ชาวเมืองปาดัง และหลายเมืองรอบด้านอยู่ไม่เป็นสุข แต่การเตรียมพร้อมรับมือ น่าจะเป็นหนทางเดียวในการบรรเทาความสูญเสีย โดยจำบทเรียนจากหลายเหตุการณ์ในอดีต.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 23-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


สารพัดภัยพิบัติทุกมุมโลก : กรณีศึกษาที่คนไทยควรใส่ใจ ตอนที่ 1



เหตุการณ์ธรณีพิโรธ “แผ่นดินไหว” ระดับ 7 ริคเตอร์ ซึ่งเกิดที่ประเทศเฮติ โดยมีศูนย์กลางการเกิดอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวง ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 16 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ดินราว 10 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนอาหาร เป็นแสนๆ คน .....นี่ไม่เพียงเป็นภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีของเฮติ แต่ยังเป็นแผ่นดินไหวที่เขย่าขวัญผู้คนทั่วทุกมุมโลกและสำหรับเมืองไทย-คน ไทยก็อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว !!

ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการองค์กรศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย หรือเอดีพีซี ได้ออกมาเตือนสติคนไทยว่า เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับประเทศไทย ในเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาแผ่นดินไหว โดย ดร.พิจิตตยังได้ระบุถึงเรื่อง “รอยเลื่อน” ซึ่งเกี่ยวโยงกับแผ่นดินไหว-กับเขื่อน ที่อาจสร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในไทย รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาของผู้สันทัดกรณีด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้ชี้เตือนไว้ เช่น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยระบุไว้หลังการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงประมาณ 7.8 ริคเตอร์ เขย่ามณฑลเสฉวนและพื้นที่ใกล้เคียงในประเทศจีน เมื่อบ่ายวันที่ 12 พ.ค. 2551 ซึ่งเพียงถึงเช้าวันที่ 13 พ.ค. ก็มีรายงานตัวเลขพบร่างผู้เสียชีวิตกว่า 9,200 ศพ สูญหายกว่า 60,000 คน อาคาร-ที่พักอาศัยพังถล่มกว่า 500,000 หลังสะท้อนให้เห็นว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้จุดศูนย์กลางจะห่างจากไทย แต่การสั่นของรอยเปลือกโลกก็ส่งผลทำให้เกิดการกระตุ้นที่ตะแกรงรอยเลื่อนของเปลือกโลก หรือที่เรียกกันว่าแอ๊คทีฟ ฟอลท์ (Active Fault) ย่อมส่งผลกระทบกับภูมิศาสตร์กายภาพของหลายประเทศได้ด้วย ซึ่งสำหรับไทยพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ คือพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นดินอ่อน มีโอกาสยุบตัวง่าย และลักษณะทางกายภาพดังว่านี้...ก็รวมถึง “กรุงเทพฯ” เมืองหลวงของไทยด้วย ดังนั้น เหตุแผ่นดินไหวในประเทศอื่นๆ ไทยจึงต้องให้ความสนใจ!

ในด้านลักษณะของบ้านเรือน หรือตึกอาคารต่างๆ ก็มีส่วนสำคัญในการป้องกันอันตรายจากเหตุแผ่นดินไหว แต่ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีการคำนึงถึงระเบียบปฏิบัติในการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านแรงแผ่นดินไหวมากนัก เพราะในไทยมีประวัติเกิดแผ่นดินไหวไม่มาก ดังนั้นในเมืองไทย “บ้านยุคเก่า-ตึกยุคเก่า” จึง อยู่ในข่ายที่ต้องระวัง รวมทั้งอาคารสูงยุคใหม่ถ้ามีการคอร์รัปชั่นงบก่อสร้างก็น่าห่วงเช่นกัน !! และปัจจุบัน วิศวกรที่จบปริญญาตรีกว่า 95% ก็ไม่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหวลึกซึ้ง ความรู้เรื่องนี้จะบรรจุอยู่ในหลักสูตรระดับปริญญาโทเท่านั้น

ซึ่งเรื่องนี้ วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีก่อสร้าง-การก่อสร้างยุคใหม่ อย่างนายชาติชาย สุภัควนิช บอกว่า การก่อสร้างโครงสร้างอาคารในบ้านเราที่ผ่านๆมา มักใช้ความรู้ความชำนาญที่เป็นการคำนวณด้วยมือ จากการดูแบบพิมพ์เขียว ซึ่งการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั้นจะใช้แต่ประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ของวิศวกรอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการคำนวณโครงสร้างอาคารด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพ

นายชาติชายยัง ระบุด้วยว่า หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าที่ผ่านมาเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทย อาคารที่เป็นตึกสูงที่ออกแบบโดยวิศวกรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มักจะไม่ค่อยมีปัญหา

“ในเมืองไทยนั้น ที่มักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมาก มักจะเป็นอาคารหรือที่อยู่อาศัยที่เป็นตึกไม่สูง สรุปก็คือโครงสร้างอาคารบ้านเรือนคนไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมรับแรงสั่นสะเทือนการเกิดแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพ”

ความน่าเป็นห่วงนี้ ยังอาจรวมถึง “สึนามิจากแผ่นดินไหว” อย่างที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เคยเผยแพร่เป็นบทความเกี่ยวกับ “แผ่นดินไหว-สึนามิ” ไว้ในเว็บไซต์ของศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติบางช่วงบางตอนว่า...

“ได้ทำการวิเคราะห์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ใหญ่ (9 ริคเตอร์) ในทะเลอันดามัน (บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์) และอ่าวไทย (บริเวณทิศตะวันตกหมู่เกาะฟิลิปปินส์) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีโอกาสเกิด ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ชายฝั่งอันดามันจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547”

แต่สิ่งที่ผู้สันทัดกรณีฝากเตือนกับคนไทยนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควรจะมีการเตรียมการที่ดี มีแผนจัดการในภาวะฉุกเฉินรองรับภัยธรรมชาติ...และสิ่งที่คนไทยควรจะทำคือ ต้องเตรียมรับมือไว้ให้พร้อม โดยศึกษาจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ควรเป็นไปในลักษณะการตื่นตัวแต่ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป และ“แผ่นดินไหว”ที่เฮติ...ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษาของไทยได้เป็นอย่างดี

ในตอนหน้าติดตามการพยากรณ์แผ่นดินไหวในภาวะปัจจุบัน และการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติก่อนเกิดแผ่นดินไหวที่ต้องพึงระวัง



จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 22 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 24-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


สารพัดภัยพิบัติทุกมุมโลก : กรณีศึกษาที่คนไทยควรใส่ใจตอนที่ 2



ภัยแผ่นดินไหวยังคงเป็นภัยธรรมชาติที่ยังไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ ทั้งเรื่องตำแหน่ง ขนาด และเวลาเกิด ด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์เครื่องมือตรวจวัดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้มีความพยายามอย่างยิ่งในการศึกษาวิเคราะห์ถึงคุณลักษณะต่างๆของบริเวณแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพยากรณ์แผ่นดินไหว โดยอาศัยทั้งที่เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

คุณลักษณะทางกายภาพของเปลือกโลกที่เปลี่ยนแปลงจากปกติก่อนเกิดแผ่นดินไหว
- แรงเครียดในเปลือกโลกเพิ่มขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก สนามโน้มถ่วง
- การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
- น้ำใต้ดิน (ชาวจีน สังเกต การเปลี่ยนแปลง ของน้ำในบ่อน้ำ 5 ประการ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ได้แก่ น้ำขุ่นขึ้น มีการหมุนวนของน้ำ ระดับน้ำเปลี่ยนแปลง มีฟองอากาศ และรสขม)
- ปริมาณก๊าซเรดอน เพิ่มขึ้น
- การส่งคลื่นวิทยุความยาวคลื่นสูงๆ

การสังเกตพฤติกรรมของสัตว์หลายชนิดที่มีการรับรู้ถึงภัยก่อนเกิดแผ่นดินไหว
- แมลงสาบจำนวนมากวิ่งเพ่นพ่าน
- สุนัข เป็ด ไก่ หมู หมี ตื่นตกใจ
- หนู งู วิ่งออกมาจากรู
- ปลา กระโดดขึ้นจากผิวน้ำ ฯลฯ

สัญญาณบ่งบอกเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กๆในบริเวณเดียวกันหลายสิบครั้งหรือหลายร้อยครั้งในระยะเวลาสั้นๆ เป็นวันหรือในสัปดาห์ อาจเป็นสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่กว่าตามมาได้ หรือในบางบริเวณที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในอดีต สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่มีขนาดเท่าเทียมกัน หากบริเวณนั้นว่างเว้นช่วงเวลาการเกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะเวลายาวนานหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี ยิ่งมีการสะสมพลังงานที่เปลือกโลกในระยะเวลายาวนานเท่าใด การเคลื่อนตัวโดยฉับพลันเป็นแผ่นดินไหวรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้น

ถึงแม้การพยากรณ์แผ่นดินไหวในภาวะปัจจุบัน จะยังอยู่ในช่วงของการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อการคาดหมายที่แม่นยำและแน่นอนขึ้น แต่การมีมาตรการป้องกันและบรรเทาพิบัติภัยแผ่นดินไหว เช่นการก่อสร้างอาคารให้มีความมั่นคงแข็งแรงในพื้นที่เสี่ยงภัย รวมถึงการเตรียมพร้อมที่ดีของประชาชน เช่นให้คำแนะนำถึงวิธีการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญควบคู่กันไปด้วย

เมื่อหันมองถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐเฮติมีผู้แสดงความเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดมหันตภัยครั้งนี้กันอย่างหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลที่จะหยิบยกเหตุผลมาประกอบการอธิบาย นายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อธิบายถึงสัญญาณผิดปกติจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ ว่าเคยมีนักวิทยาศาสตร์ที่คิดแตกต่างกัน มองว่าการเกิดแผ่นดินไหวบนโลกทุกวันนี้เกิดจากการสะสมพลังงานจากใจกลางโลกและนอกโลก ซึ่งเป็นพลังงานที่ปลดปล่อยมาจากระบบสุริยะ คล้ายกับปรากฏการณ์ในภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ที่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกอย่างรุนแรง เนื่องจากความผิดปกติของการเคลื่อนตัวของระบบสุริยะที่สร้างแรงกระตุ้นให้ดาวเคราะห์ต่างๆรวมถึงโลก โดยการปลดปล่อยพลังงานแสงพลังงานสนามแม่เหล็กมายังดาวเคราะห์หลายดวง กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแสงสว่าง ทำให้โลกได้รับสนามแม่เหล็กจากการเกิด "พายุสุริยะ" หรือ "จุดดับ" ก็ส่งพลังงานจากภายนอกเข้ามามีผลต่อการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกได้

"ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ที่โลกได้รับพลังงานจากระบบสุริยะหรือจักรวาลอื่นๆ ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก อย่างกรณีที่เฮติก็เชื่อว่าเกิดจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาล ที่กระตุ้นให้ดวงอาทิตย์เกิดสันดาป ปลดปล่อยสนามแม่เหล็กมาสู่โลก"

ทั้งนี้ เฮติเป็นประเทศที่ยากจนในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ต้องเผชิญกับหายนภัยครั้งรุนแรงหลายครั้งในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 2551 เกิดเฮอริเคน 3 ลูก และพายุโซนร้อนลูกหนึ่งถล่ม มีคนตาย 793 คน สูญหายอีกกว่า 300 คน ในปีเดียวกันนั้นยังเกิดการจลาจลเพราะราคาอาหารแพงลิบอีกด้วย

และแผ่นดินไหวครั้งนี้ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 200 ปี ที่เกิดขึ้นในเฮติ แถมยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกรุนแรงตามมาอีกถึง 24 ครั้ง ถือเป็นโศกนาฏกรรมกลางเมืองหลวง และเป็นปรากฏการณ์ที่รุนแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติอีกครั้งหนึ่งได้เลยทีเดียว



จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 24 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:55


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger