![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
สมาร์ทโปรเจ็กต์ ปะการังฟื้นชายฝั่ง ![]() ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในทะเลอ่าวไทยและอันดามันลุกลามและขยายวงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศชายฝั่ง จึงมีความพยายามปรับปรุงฟื้นฟูแถบชายฝั่งที่ถูกคลื่นกัดเซาะให้กลับมาคงสภาพเดิม กรมทรัพยากรธรณีและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตปัตตานี มอบทุนสนับสนุน ผศ.พยอม รัตนมณี อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.ปัตตานี ไปศึกษาวิจัยภายใต้โครงการ "การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเชิงบูรณาการ" หรือโครงการ "สมาร์ทโปรเจ็กต์" เพื่อช่วยลดวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่งให้กลับคืนสภาพสมบูรณ์ คณะวิจัยกว่า 20 คน จึงเริ่มโครงการสมาร์ทโปรเจ็กต์ เฟส 1 ผ่านการทำ "ปะการังเทียมกันคลื่น" พร้อมทั้งก่อสร้างแบบรางจำลอง คลื่นขึ้นที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.ปัตตานี เพื่อเป็นห้องวิจัยทางทะเล หลังจากนั้นได้สร้างแบบปะการังเทียมขึ้นมา พร้อมศึกษาทางกายภาพ รูปแบบ รูปทรง ขนาด ช่องเปิดรอบแท่งปะการัง แนวและตำแหน่งการจัดวางแท่งปะการังเทียม กระทั่งพัฒนาแท่งปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่งได้สำเร็จ สามารถต้านแรงคลื่นได้ดี มีลักษณะเป็นรูปโดม มี 3 ขนาด ประกอบด้วย ขนาดเล็กมีฐานกว้าง 1.8 เมตร สูง 1.3 เมตร, ขนาดกลาง ฐานกว้าง 1.8 เมตร สูง 1.5 เมตร และขนาดใหญ่ ฐานกว้าง 1.8 เมตร สูง 1.6 เมตร ![]() แต่ละขนาดจะมีช่องเปิดลักษณะเดียวกัน ประกอบไปด้วย ช่องเปิดด้านบน 1 ช่อง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร ช่องเปิดด้านข้าง จำนวน 3 แถว แถวละ 6 ช่อง โดยแถวบนช่องเปิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร แถวกลางมีช่องเปิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร และแถวล่างมีช่องเปิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร โดยช่องเปิดดังกล่าวช่วยการชะลอความแรงคลื่น ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อฟื้นฟูหาดทราย ให้เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล และเป็นแหล่งดำน้ำในอนาคต จากนั้นทางคณะวิจัยเลือกพื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่มีปัญหาเรื้อรังมายาวนานเป็นพื้นที่นำร่อง ผลการศึกษาวิจัยพบว่า แนวปะการังเทียมสามารถสลายพลังงานคลื่นได้เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาจึงขยายผลโครงการสมาร์ทโปรเจ็กต์ เฟส 2 ไปยังพื้นที่ จ.ระยอง และจ.จันทบุรี เนื่องจากมีหลายพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง หลังผ่านการทดลองพบว่าปะการังเทียมสามารถช่วยลดพลังงานคลื่นได้สูงสุดถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดคณะวิจัยเตรียมทดลองสมาร์ทโปรเจ็กต์ เฟส 3 กับสภาพการใช้งานปะการังเทียมในทะเลจริง ที่ชายฝั่งทะเล บริเวณอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร จ.เพชรบุรี ในช่วงเดือนก.ค. เพื่อประเมินผลด้านวิศวกรรม ด้านระบบนิเวศ และด้านสังคม ต่อเนื่อง 12 เดือน หากประสบผลสำเร็จก็จะปรับปรุงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย ![]() ผศ.พยอม เปิดเผยว่า ทีมวิจัยโครงการปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่งศึกษาค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทะเลชายฝั่งมานานกว่า 10 ปี พบว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดอย่างต่อเนื่อง และตามแนวชายฝั่งส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่งอีกด้วย เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ จึงนำผลการสำรวจและข้อมูลการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลในหลายพื้นที่ของไทยมาศึกษาวิเคราะห์ จึงพบว่าชายฝั่งที่มีโขดหินหรือแนวปะการังอยู่ด้านนอก มักไม่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ทำให้หาดทรายมีเสถียรภาพค่อนข้างดี เนื่องจากแนวปะการังจะทำหน้าที่เป็นแนวสลายพลังงานคลื่น เป็นโครงสร้างตามธรรมชาติที่แข็งแรงปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และเกื้อกูลต่อระบบนิเวศทางทะเลเป็นอย่างดี "แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมายังเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ยังขาดการบูรณาการองค์ความรู้ด้านต่างๆในการแก้ปัญหา โดยส่วนใหญ่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาแก้ปัญหา ทำให้การแก้ปัญหาชายฝั่งทะเลในบ้านเราไม่บรรลุผลเท่าที่ควร เนื่องจากประเทศไทยมีปัจจัยหลายประการที่แตกต่างกับต่างประเทศ เช่น สัณฐานชายฝั่ง สภาพคลื่นลม น้ำขึ้น น้ำลง กระแสน้ำ ตะกอน ระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งวิถีชีวิต ปัญหาจึงถูกแก้ไม่ถูกวิธี" อาจารย์พยอมระบุว่า ในอนาคตการใช้แนวปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการนำไปแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยแนวปะการังเทียมเหล่านี้จะทำหน้าที่สลายและลดพลังงานคลื่น ปรับเปลี่ยนลักษณะของคลื่นที่เคลื่อนที่เข้าสู่ชายหาดให้เบาลง ในขณะเดียวกันที่การเคลื่อนย้ายเม็ดทรายขึ้นมาบนชายหาดจะมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับคลื่นลม ดังนั้น เราศึกษาถึงรูปแบบ รูปร่าง รูปทรง และขนาดแท่งปะการังเทียม รวมถึงช่องเปิดโดยรอบแท่งปะการังเทียม เพื่อให้เป็นช่องทางเข้าออกของน้ำทะเลและสัตว์ทะเล เพื่อให้แนวปะการังเทียมสามารถเป็นที่ยึดเกาะ อยู่อาศัย หลบภัย และอนุบาลสัตว์ทะเลได้ หากการศึกษาวิจัยสัมฤทธิผลจะช่วยลดวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่งได้ ในแง่ของการวิจัยอาจจะใช้เวลาหลายปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างมหาศาล จาก : ข่าวสด วันที่ 13 เมิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
สร้างบ้านปลาด้วยปะการังเทียม การทำประมงชายฝั่งเป็นอาชีพที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างช้านาน จวบจนสถานการณ์ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่งและปัจจัยต่างๆมีผลกระทบ ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำของไทยมีปริมาณลดลงอย่างมากจนบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานต่างๆจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรมประมงนับเป็นหน่วยงานแรกและหน่วยงานหลักที่ริเริ่มให้มีการจัดสร้างปะการังเทียมขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ควบคู่กับการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้ชาวประมง เยาวชน และประชาชน ได้ตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ การรักษาสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำ และจากการสำรวจสภาวะการประมงทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยตอนล่าง กรมประมง ในปี พ.ศ. 2540 ที่ผ่านมาพบว่ามีปริมาณสัตว์ทะเลเฉพาะที่นำมาขึ้นที่ท่าขึ้นปลาที่สำคัญๆ ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส รวม 666,848 ตัน และมีปริมาณสัตว์ทะเลสูงสุดที่จังหวัดปัตตานี 288,241 ตัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่ต่อเนื่องจากการประมง อาทิ อู่และคานเรือประมงกว่า 35 แห่ง โรงน้ำแข็งกว่า 59 แห่ง ห้องเย็นกว่า 23 แห่ง โรงงานปลากระป๋อง กว่า 13 แห่ง โรงงานน้ำปลา 1 แห่ง โรงงานปลาป่น 32 แห่ง นอกจากนี้พื้นที่ดังกล่าวยังมีจำนวนประชากรประมงเป็นจำนวนมากที่ได้ดำเนินธุรกิจทำการประมง และด้วยความต้องการในทรัพยากรสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก จึงเป็นผลให้การจับสัตว์น้ำขึ้นมาจากทะเลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพแวดล้อมของท้องทะเลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นผลให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงและการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำตามธรรมชาติได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแหล่งอาศัยให้กับสัตว์น้ำในท้องทะเล ซึ่งแหล่งอาศัยหากินเพื่อเจริญเติบโตของสัตว์น้ำที่สำคัญก็คือแนวปะการังนั่นเอง จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2552 ให้มีการสร้างปะการังเทียมให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือชาวประมงที่เดือดร้อนให้ได้มีแหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพที่อุดมสมบูรณ์ เหมือนเช่นในอดีต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมสนองพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดทำปะการังเทียมขึ้น นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในพิธีเปิดการส่งมอบและจัดวางปะการังเทียมภายใต้โครงการ “ร่วมสร้างบ้านปลาด้วยปะการังเทียม” ณ จังหวัดปัตตานี เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมาว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับสนองพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยในวิถีความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของชาวประมงขนาดเล็กที่มีฐานะยากจน มีรายได้น้อยขาดพื้นที่ทำการประมง โดยได้จัดสร้างปะการังเทียมเพิ่มขึ้นเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์ทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ดังเดิมจึงดำเนินการกำหนดแผนการจัดสร้างปะการังเทียมปี 2553 ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ รวม 15 แห่ง รวมทั้งพื้นที่พิเศษใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดสงขลา สตูล นราธิวาส ยะลา และปัตตานี ด้วย โดยจะจัดวางห่างจากฝั่งประมาณ 6 กิโลเมตร ระดับน้ำลึก 13 เมตร เป็นแท่งคอนกรีตรูปลูกบาศก์แบบโปร่ง ขนาด 1.5x 1.5x1.5 เมตร จำนวน 638 แท่ง วางเป็นแถวเดี่ยวยาว 150 เมตร แบ่งเป็น 4 กลุ่มมีระยะห่างระหว่างกลุ่ม 50 เมตร ทางด้าน ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการติดตามผลการจัดสร้างปะการังเทียมในปี 2552 ที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และนราธิวาส จำนวน 6 แห่ง พบว่าชาวประมงขนาดเล็กมีแหล่งทำการประมงชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 10-20 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 20-30 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าบางพื้นที่มีสัตว์น้ำบางชนิดที่หายไปในช่วงเวลาหนึ่งกลับคืนมา เช่น ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่ ปลาช่อนทะเล ปลาผีเสื้อเทวรูป ปลาจะละเม็ดเทา ปลาดุกทะเล และปลาตะลุมพุก เป็นต้น แนวปะการังบริเวณชายฝั่งและแนวปะการังแบบกำแพงจะช่วยป้องกันชายฝั่งจากการกัดเซาะของคลื่นและกระแสน้ำโดยตรง บริเวณชายฝั่งที่แนวปะการังถูกทำลายจะถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงจากคลื่นลมทะเลในฤดูมรสุม เป็นแหล่งกำเนิดทรายให้กับชายหาด ทั้งจากการสึกกร่อนของโครงสร้างหินปูน การกัดกร่อนโดยสัตว์ทะเลบางชนิดและจากกระแสคลื่น ซึ่งทำให้หินปูนปะการังแตกละเอียดเป็นเม็ดทรายที่ขาวสะอาด เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชนานาชนิด เช่น เต่าทะเลและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ ปลาหมึก หอย กุ้ง แมงกะพรุน และปลิงทะเล เป็นต้น. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 24 เมิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขนซากรถถังใช้ทำเป็นปะการังเทียมฟื้นฟูทะเลอ่าวไทยออกจากโคราชแล้ว ![]() ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 23 ก.ค. ที่กองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ สายสรรพาวุธ ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก เจ้าหน้าที่กรมทหารขนส่งรักษาพระองค์ได้นำซากรถถังรุ่น 30 T 69-2 ล็อตแรกจำนวน 9 คันที่จะใช้ทำเป็นปะการังเทียมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอ่าวไทย แถบจังหวัดนราธิวาส ตามโครงการพระราชดำริปะการังเทียมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ออกเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมาแล้ว โดยขบวนซากรถถังได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ เพื่อส่งมอบซากรถถังให้ทางกรมประมงรับช่วงต่อเคลื่อนย้ายซากรถถังไปทิ้งลงทะเลอ่าวไทยแถบจังหวัดนราธิวาสต่อไป สำหรับซากรถถังที่ถูกนำไปทำเป็นแหล่งปะการังเทียมนี้ เป็นรถถังขนาดกลาง รุ่น 30 T 69-2 ซึ่งผลิตขึ้นในประเทศจีน และถูกนำมาประจำการที่กองพันทหารม้าที่ 16 จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. 2530 ก่อนที่เสื่อมสภาพและถูกนำมาซ่อมบำรุงกับทางกองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2547 แต่หลังจากประเมินแล้วหากดำเนินการซ่อมแซมจะไม่คุ้มค่า ทางกองทัพบกจึงเห็นควรส่งมอบซากรถถังที่ไม่ใช้แล้วให้กับกรมประมงใช้ทำเป็นปะการังเทียมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล ตามโครงการพระราชดำริปะการังเทียม ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงต้องการส่งเสริมและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลและการประมงของประเทศไทย ทั้งนี้ ซากรถถังที่ทางกองทัพบกส่งมอบให้กับกรมประมงครั้งนี้มีจำนวน 25 คัน โดยจะทำการเคลื่อนย้ายทั้งหมด 3 รอบ ซึ่งในวันนี้ (23 ก.ค. 53) เป็นการเคลื่อนย้ายซากรถถังรอบแรกจำนวน 9 คัน รอบที่สองวันที่ 25 ก.ค. จำนวน 8 คัน และรอบสุดท้ายวันที่ 27 ก.ค.อีกจำนวน 8 คันโดยทางกองทหารขนส่งรักษาพระองค์จะทำการเคลื่อนย้ายซากรถถังไปที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ จากนั้นกรมประมงจะรับช่วงเคลื่อนย้ายต่อเพื่อนำซากรถถังไปทิ้งลงทะเลอ่าวไทยต่อไป โดยโครงการดังกล่าวจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2553 นี้ จาก : มติชน วันที่ 23 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ทบ.ปลดรถถังชำรุดส่งประมงทำปะการังเทียม กองทัพบกส่งมอบซากรถถัง 25 คันให้กรมประมงนำไปสร้างปะการังเทียม ฟื้นฟูทะเลอ่าวไทยที่ จ.นราธิวาส ปัตตานี ที่กองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ สายสรรพวุธ ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ สายสรรพวุธ กรมสรรพวุธทหารบก (กรซย.ศซส.สพ.ทบ.) ภายในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดเตรียมซากรถถังที่ถูกปลดระวางจำนวน 25 คันไปทำเป็นปะการังเทียมเพื่อฟื้นฟูทะเลอ่าวไทยที่จังหวัดนราธิวาสและ ปัตตานี รถถังดังกล่าวอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมจนเป็นสนิมเขรอะ ซึ่งจอดเรียงรายตาก แดดตากฝนอยู่ลานด้านหน้าโรงซ่อมบำรุงภายในศูนย์ดังกล่าว เป็นรถถังขนาดกลาง รุ่น 30 t 69-2 ที่เคยใช้งานอยู่แถบชายแดนประเทศไทย ซึ่งเป็นรถถังที่ผลิตขึ้นในประเทศจีน และถูกนำมาประจำการที่กองพันทหารม้า ที่ 16 จังหวัดนครศรีธรรมราช กองทัพบกไทย ตั้งแต่เมื่อปี 2530 ก่อนที่เสื่อมสภาพและถูกนำมาซ่อมบำรุงที่ กรซย.ศซส.สพ.ทบ. เมื่อปี 2547 แต่ไม่สามารถทำการซ่อมแซมได้ เนื่องจากประเมินความเสียหายแล้วเกิน 60% และไม่คุ้มค่ากับการซ่อมแซม โดยมาจัดเตรียมลำเลียงขึ้นหัวรถลากเทรนเลอร์ 22 ล้อของกรมทหารขนส่งรักษาพระองค์ เพื่อขนย้ายไปยังท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ ก่อนจะนำขึ้นเรือไปยังจังหวัดนราธิวาส และจะถูกนำไปทิ้งลงในทะเลอ่าวไทยที่จังหวัดนราธิวาสและปัตตานี เพื่อสร้างเป็นปะการังเทียมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล ตามโครงการพระราชดำริปะการังเทียมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงต้องการส่งเสริมและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลและการประมงของประเทศไทย พ.อ.มังกร ว่านเครือ รองผู้อำนวยการ กรซย.ศซส.สพ.ทบ. เปิดเผยว่า การส่งมอบซากรถถังในครั้งนี้เป็นการสนองพระเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงต้องการช่วยเหลือประมงพื้นบ้าน โดยเฉพาะแถบชายฝั่งจังหวัดปัตตานีและ นราธิวาส ซึ่งจริงๆแล้วโครงการนี้มีหลายหน่วยงานที่เข้าร่วมให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกรมประมง รวมถึงหน่วยราชการอื่นๆ ทั้งนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะอนุรักษ์ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของท้องทะเลเช่นเดียวกัน สำหรับทางหน่วยทหารในสังกัดแห่งนี้ก็เป็นซากรถถังที่หมดสภาพซ่อมไม่คุ้มค่า เนื่องจากถูกใช้การมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน โดยเข้ามาประจำการในกองทัพไทยตั้งแต่ปี 2530 ที่ผ่านมา และกองทัพบกได้มีการพิจารณาแล้วว่า หากนำไปพัฒนาฟื้นฟูทะเลจะทำให้เกิดประโชยน์ต่อชาวประมงพื้นบ้าน สร้างความสมบูรณ์ของท้องทะเลมากกว่าอย่างอื่น พ.อ.มังกรกล่าวอีกว่า สำหรับการขนย้ายซากรถถังทั้งหมดจะทำการเคลื่อนย้าย 3 รอบ คือ วันที่ 22, 24 และ 26 กรกฎาคม 2553 โดยทางกองทหารขนส่งรักษาพระองค์จะทำการขนย้ายไปที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ จากนั้นกรมประมงจะรับช่วงต่อโดยเดินทางทางเรือ เพื่อนำซากรถถังทั้งหมดไปรวมไว้ที่หน้าพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก่อนจะนำไปทิ้งลงทะเลทำเป็นปะการังเทียมต่อไป. จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 23 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|