![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
หวังว่า คงไม่ใช่ Southern Seaboard นะครับ ตอนนี้คนสตูลก็เริ่มออกมาบอกเล่าความไม่ชอบมาพากล
__________________
We make a living by what we get, we make a life by what we give. (Winston Churchill) |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ข่าวนี้อ่านแล้วสะท้อนสะท้านใจ.... มลพิษระยองน่าห่วง สารปรอทกระทบหญิงท้อง ![]() กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม เผยผลการตรวจสุขภาพประชาชนพื้นที่จังหวัดระยอง พบประชาชนมี อนุพันธ์ของสารเบนซิน มากกว่าปกติ 3.1% เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง และพบโลหะหนักประเภทปรอทและสารหนู อีก 34.8% อันตรายมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์... 14 ก.ค. น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม เปิดเผยผลการตรวจสุขภาพประชาชนพื้นที่จังหวัดระยอง ตามโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนในเขตควบคุมมลพิษและนอกเขตควบคุมมลพิษ พบประชาชนมีอนุพันธ์ของสารเบนซินมากกว่าปกติ 3.1% และพบโลหะหนักประเภทปรอทและสารหนู อีก 34.8% ว่า แม้ผลการตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยองครั้งนี้ จะพบสารอันตรายในระดับไม่สูงมากจนน่าวิตก และเป็นผลสำรวจที่เสร็จเพียง 80% ก็ตาม "ต้องยอมรับว่า มีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ซึ่งยังไม่สามารถระบุลงไปได้ชัดเจนว่า เกิดขึ้นจากสารพิษประเภทใดบ้าง แต่เชื่อว่าหากประชาชนยังคงได้รับสารพิษสะสมอยู่ตลอดเวลา ก็จะเกิดการสะสมและส่งผลเสียต่อสุขภาพรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากประชาชนยังคงต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษอยู่ ก็ยังวางใจไม่ได้ ยกตัวอย่างสารเบนซินที่พบ เป็นสารอินทรีย์ที่ระเหยง่าย และเป็นสารก่อมะเร็ง หากชาวบ้านยังคงต้องหายใจในอากาศที่มีสารเบนซินสะสมอยู่ทุกวันๆ ก็อาจสะสมพัฒนากลายเป็นมะเร็งได้ หรือกรณีสารปรอท เป็นสารที่ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง อันตรายมากโดยเฉพาะในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ หากได้รับสารสะสมในร่างกายปริมาณสูง อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้" น.ส.เพ็ญโฉม กล่าว นอกจากนี้ ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ข้อเสนอแนะการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชน ควรดำเนินการใน 2 ส่วนหลักคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตั้งระบบการเฝ้าระวังมลพิษอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ และอีกส่วนคือชุมชน ต้องมีการจัดระบบการเฝ้าระวังด้วยตัวเอง เช่น เมื่อได้กลิ่นผิดปกติจะต้องรู้แล้วว่าควรป้องกันตัวเองอย่างไร ส่วนกระทรวงสาธารณสุขจะต้องมีระบบการติดตามตรวจสอบสุขภาวะของประชาชนใน พื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการติดตามการการแพร่กระจายของมลพิษในพื้นที่ต่อไป
__________________
Saaychol |
|
#3
|
||||
|
||||
|
คนญี่ปุ่นมาพูดเรื่องมาบตาพุดเอง....ลองอ่านดูนะตะ จาก...คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/detail/20100714/66568 [COLOR="Navy"]ญี่ปุ่นจี้นายกฯเร่งแก้ปมมาบตาพุดลั่นผิดหวังรัฐจัดการช้า-เตือนเสีย โอกาสแข่งขัน นายกฯ พบนักลงทุนญี่ปุ่น ปลอบใจให้รอรัฐแก้ปัญหาโครงการมาบตาพุด ด้านประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ สวนกลับผิดหวัง ชี้รัฐออกประกาศประเภทกิจการรุนแรงล่าช้า ทำให้วางแผนลงทุนลำบาก เตือนหากปล่อยนานไทยเสียโอกาสทางการแข่งขัน ญี่ปุ่นอาจหันไปลงทุนประเทศอื่นในอาเซียน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษงาน “นายกรัฐมนตรีพบนักธุรกิจญี่ปุ่น” จัดโดยสมาคมไทย-ญี่ปุ่น ร่วมกับหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (เจซีซี) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญและบทบาทของนักลงทุน และนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ที่สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีหลายบริษัทจากญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ โตโยต้า และนิสสัน ที่ประกาศแผนขยายการลงทูนในไทย เพื่อผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งขอให้นักธุรกิจญี่ปุ่นอดทนรอการแก้ไขปัญหาในโครงการมาบตาพุด ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขอยู่ นายจุนอิจิ มิโซโนะอูเอะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า ปัญหาที่ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นกังวลใจในขณะนี้คือ ปัญหาการเมืองและปัญหาการลงทุนในโครงการมาบตาพุด โดยที่น้ำหนักจะอยู่ที่มาบตาพุดมากกว่า โดยเฉพาะความไม่ชัดเจนในการประกาศประเภทกิจการ หรือโครงการที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน ด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และสุขภาพ (เอชไอเอ) ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่นต้องการเห็นการประกาศฉบับนี้ออกมาโดยเร็ว แม้นายกฯ ระบุว่าจะประกาศประเภทกิจการภายใน 2 เดือน แต่นักลงทุนมองว่าช้าเกินไป และมีผลต่อแผนการลงทุนในอนาคตของนักลงทุน “ความไม่ชัดเจนในการประกาศประเภทกิจการที่มีผลกระทบรุนแรงฯ ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนในอนาคตของนักลงทุน ทำให้เรารู้สึกผิดหวัง เพราะเรารอมานานแล้ว แม้ว่านายกฯ ระบุว่าจะประกาศประเภทกิจการที่อาจมีผลกระทบรุนแรงฯ ภายใน 2 เดือน แต่ถือว่ายังช้าไป นักลงทุนต้องการให้ประกาศโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยที่ไทยจะมีการประกาศมาตรฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม แต่นักลงทุนก็ต้องการให้ประกาศฉบับนี้ออกมาโดยเร็ว" นายจุนอิจิ ระบุ ทั้งนี้ หากไทยไม่มีการพัฒนาตัวเองก็จะสูญเสียอำนาจในการแข่งขัน เมื่ออาเซียนรวมตัวเป็นตลาดเดียวกันในปี 2015 การที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะหันไปลงทุนประเทศอื่นๆ ในอาเซียนก็มีโอกาสสูง แต่ยอมรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ ของไทยมีความแข็งแกร่งมาก นักลงทุนญี่ปุ่นจะยึดไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ต่อไป ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ก็มีศักยภาพมากเช่นกัน ด้านนายฮิเดโนริ มัสสอิ ประธานบริษัทโตชิบาไทยแลนด์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย แต่นักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในไทย หากพิจารณาระหว่างปัจจัยเสี่ยงกับโอกาสการลงทุน พบว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดขณะนี้
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 15-07-2010 เมื่อ 15:18 |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|