![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
เรื่องการใช้บุคคลากรให้ถูกคนถูกเรื่องนี่ เป็นปัญหาใหญ่จริงๆในทุกองค์กรนะคะ อย่างไรก็ตาม จะเสนอเรื่องนี้ให้ที่เวทีเสวนาเรื่องปะการังฟอกขาวไว้ด้วยค่ะ...น้องปี๊บ
__________________
Saaychol |
|
#2
|
||||
|
||||
|
"ปะการังฟอกขาว" สร้างโอกาสจากวิกฤตเพื่อท้องทะเลไทย ...................... โดย ปิ่น บุตรี “ปะการัง...ปะการัง...งามล้ำค่า ช่วยกันรักษา... เจ้าไข่มุกเอเซีย ต้องเสียหาย โอ้ปักษ์ใต้บ้านเรา นั้นแย่แล้ว ใต้ทะเลไม่เหลือ ไม่เห็นแนว พังระเบิดเป็นแถว ปะการัง...” เพลง“ปะการัง” ของวง“ซูซู” ดูจะ เข้ากับบรรรยากาศของสภาพปะการังในบ้านเราช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่างานนี้เปลี่ยนบริบทจากการถูกระเบิดทำลายกลายมาเป็น วิกฤตการณ์ “ปะการังฟอกขาว”แทน ปะการังฟอกขาว ใครทำ??? ปะการังฟอกขาว เกิดจาก“สาหร่ายซูแซนเทลลี่”ที่ อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อปะการังซึ่งทำหน้าที่สร้างสีสันและสังเคราะห์แสง ให้พลังงาน แยกตัวออกมา ทำให้ตัวปะการังสีซีดลงกลายเป็นเนื้อเยื่อใสๆคล้ายวุ้นคลุมส่วนโครงสร้างที่ เป็นหินปูน มองเห็นเป็นสีขาว เทา หรือน้ำตาล สาเหตุหลักในการเกิดปะการังฟอกขาวมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น เกินกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติอุณหภูมิของน้ำทะเลจะอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลเกิดสูงเกิน 30.1 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ปะการังจะปรับทำตัวให้เกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมา ในอดีตปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติจะสัมพันธ์กับปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร ครั้นเอลนีโญผ่านพ้นไปปะการังก็จะใช้เวลาพักฟื้นแล้วกลับมามีสีสันสวยงามอีกครั้ง โดยบ้านเราในช่วงปี พ.ศ. 2540-41 ก็เคยเกิดปะการังฟอกขาวที่ค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเกิดปะการังฟอกขาวในปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮาในทุกวันนี้ ปะการังฟอกขาวหนนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นไปทั่วแถบภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ทั้งอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟ ซีเชลส์ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ส่วนที่เกิดบ้านเรานั้นถือว่าถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ เป็นวิกฤตปะการังฟอกขาวที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ขยายต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายเท่านั้น หากแต่มันกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง ส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ การท่องเที่ยว การกัดเซาะชายฝั่ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลด้วย สำหรับการเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้รู้ ต่างออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า ...การเกิดปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ เกิดจากเอลนีโญที่มาจากสภาวะโลกร้อนเป็นหลัก... แล้วสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ หากแต่มาจากน้ำมือมนุษย์เรานั่นเอง ปะการังฟอกขาวย้อนคืนสู่มนุษย์ ช่วงปะการังฟอกขาวเริ่มเป็นข่าวดัง ผมกำลังเริงร่าล่องใต้ทัวร์มาราธอนตามหมู่เกาะท้องทะเลในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หมู่เกาะเภตรา และหมู่เกาะตะรุเตา แห่งท้องทะเลอันดามันระหว่างทะเลตรังกับทะเลสตูลอยู่พอดี ครั้นพอกลับขึ้นมากรุงเทพฯมีหลายคนคนถามว่า “ทะเลอันดามันไปเที่ยวได้หรือ เห็นข่าวออกมาว่าเขาปิดอุทยานฯหลายที่หนิ” เอ้า...กลายเป็นเรื่องปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งไปเสียฉิบ ทั้งที่ความจริงอุทยานฯทางทะเลยังเที่ยวได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าทางกรมอุทยานฯเขาประกาศ “งดกิจกรรมดำน้ำบางจุด”หรือพูดง่ายๆว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด”ในอุทยานฯทาง ทะเลบางแห่ง ย้ำนะครับว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด” ไม่ได้ปิดอุทยานฯ ห้ามคนเข้าไปเที่ยวแต่อย่างใด นอกจากนี้กิจกรรมทางทะเลทั่วไป เช่น เล่นน้ำชายฝั่ง เดินชายหาด ชมทิวทัศน์ ท่องราตรี(ในบางพื้นที่) หรือดำน้ำในจุดที่อนุญาตไม่ใช่จุดต้องห้าม ก็ยังคงสามารถทำได้ตามปกติ โดยอุทยานฯที่ทำการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด ณ เวลานี้ มี 7 อุทยานฯด้วยกัน ได้แก่ 1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก 2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง 3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง 4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว 5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง 6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน 7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น อย่างไรก็ดีการเลือกปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดของกรมอุทยานฯ วัตถุประสงค์เท่าที่ผมจับจากข่าวก็เพื่อไม่ให้คน(นักท่องเที่ยว)เข้าไปซ้ำ เติมเหตุการณ์ให้มันเสื่อมเร็วและแย่ลงมากขึ้น เพราะหากเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติปกตินั้นมันสามารถฟื้นตัวได้ อย่างเร็วอาจแค่ 1 ปี อย่างช้าอาจถึง 5 ปี แต่กลับวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวแค่ไหน ยิ่งถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมา มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายจำนวนมากเท่านั้น หากแต่มันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลและเกิดผลกระทบอื่นตามมา ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ร่อยหรอ และส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง การท่องเที่ยว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เรียกว่าเมื่อมนุษย์เป็นตัวเอี่ยวสำคัญในการก่อวิกฤต ผลเอี่ยวจากการกระทำมันก็ย้อนศรกลับมากระทบต่อมนุษย์เราแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยง สร้างโอกาสจากวิกฤต แม้วิกฤตปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นจะอยู่ในขั้นรุนแรง แต่เราไม่ควรตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ หากแต่ควรตื่นตัวต่อสภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพราะปัญหาทะเลไทยที่ผ่านมามาได้มีเฉพาะเรื่องปะการังฟอกขาวเท่านั้น แต่มันมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกัดเซาะชายฝั่ง การจับสัตว์น้ำแบบเกินพอดี การระเบิดปลา ทำลายปะการัง การลักลอบนำปะการังไปขาย การทำอวนลาก อวนรุน การพัฒนาเมือง พัฒนาทางวัตถุโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ในขณะที่ถ้าโฟกัสให้แคบลงมาเฉพาะในมิติของการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาท้องทะเลไทยเราได้รับผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งจาก นายทุนบุกรุกท้องทะเลสร้างรีสอร์ท โรงแรม การปล่อยน้ำเสีย ขยะ ตะกอน ของผู้ประกอบการลงสู่ทะเล การมักง่ายทิ้งขยะลงทะเลของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวดำน้ำตื้นไปเหยียบยืนทำลายปะการังจนตายทั้งพวกที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และพวกที่ตั้งใจ เรือนำเที่ยวทิ้งของเสียลงทะเล หรือแม้กระทั่งการรับใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนดังที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวในเรื่องปะการังฟอกขาว สร้างจิตสำนึกการท่องเที่ยวอย่างถูกวิธีที่แม้จะต้องพูดแล้วพูดอีกพูดซ้ำพูดซากก็คงต้องทำกันต่อไป เพราะหากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเที่ยวกันแบบไร้สำนึก ทิ้งขยะ ของเสียลงทะเล ขโมยเก็บทรัพยากรนำกลับมา ไปเหยียบยืนบนปะการัง ไม่ว่าปะการังฟอกขาวหรือปะการังดีมันก็ถูกทำลายไม่ต่างกัน และภาครัฐ นับแต่นี้ไปคงต้องเอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติหน้าที่กันเสียที ผู้ประกอบการคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของอุทยานฯ หากถูกจับได้ ต้องจัดการให้เด็ดขาด อย่าให้เอาเยี่ยงอย่าง เจ้าหน้าที่คนไหนทุจริตคอร์รัปชั่นต้องไล่ออกอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง นายทุนคนไหนรุกล้ำที่ทั้งทางบกทางทะเลต้องอย่าปล่อยไว้ แม้หลายคนจะใหญ่มากเป็น“ตอยักษ์”ไม่สามารถจัดการได้ก็ต้องหาลู่ทางทำให้สื่อ ให้สังคมรับรู้ เพื่อสกัดยับยั้งไม่ให้เชื้อชั่วขยายผล ส่วนทางด้านผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ต้องไม่ทำมาหากินแบบละโมบ แต่เน้นที่ความยั่งยืนแทน และต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ รวมถึงช่วยดูและตักเตือนนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงทำผิดไปบ้าง นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างบนอุทยานฯ จำกัดจำนวนคนดำน้ำในพื้นที่สุ่มเสี่ยงหลายจุด เป็นต้น สำหรับเรื่องเหล่านี้แม้อาจดูฝันเฟื่อง เป็นอุดมคติ แต่อย่างน้อยการที่พวกเราโดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องได้ทำอะไรบ้างในทางที่ช่วยให้ดีขึ้น มันย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
|||
|
|||
|
นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ ุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน
ใครเห็นด้วยกับการให้สื่อเลิกใช้คำว่า "ปิดอุทยานฯ"ในการเสนอข่าวบ้าง ยกมือขึ้น ผู้สื่อข่าวของสื่อบางสำนักที่ไม่เข้าใจมักใช้คำนี้ลงในสื่อของตัวเอง เพราะ มันใช้คำง่ายดี มันฟังดูยิ่งใหญ่ดี และเรียกความน่าสนใจจากผู้เสพสื่อ และประชาชนทั่วไปได้ดี และขณะเดียวกัน มันสร้างความเข้าใจผิด ความตื่นตระหนกและแรงต่อต้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไม่สมควรแก่เหตุผล ทั้งยังส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างไม่อาจคาดเดาได้ การใช้คำว่า งดการดำน้ำในจุดดำน้ำบางแห่ง ของอุทยาน มันยาวกว่า ยากกว่า แต่ก็น่าจะทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าใจและไม่หวังกอบโกยจากธรรมชาติ สบายใจมากขึ้นและอาจจะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่ต้องทำงานด้านนี้มากขึ้น เพราะเขารู้สึกว่ายังมีพื้นที่หากิน และนักท่องเที่ยวยังคงได้มาเที่ยวชม ถึงตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า ระหว่างการออกมาตรการของรัฐ กับการให้ข่าวของสื่ออะไรจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนมากกว่ากัน |
|
#4
|
||||
|
||||
|
เรื่องการใช้คำว่า "ปิดอุทยาน" ที่หนังสือพิมพ์โปรยหัวตัวเป้งไว้นั้น ได้ไปขึ้นพูดในเวทีเสวนาเรื่อง "ระดมความคิดแก้วิกฤตปะการัง" ไว้ว่า มีผลกระทบต่อจิตใจของนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวทางทะเล และผู้ประกอบการมาก ก่อให้เกิดความตกใจ สับสน นึกว่าอุทยานฯ ถูกปิดทั้งหมด (เสียงก่นด่าเลยตามมา) เห็นด้วยกับน้องsea addict ค่ะ.....เปลี่ยนคำพูดซะใหม่ดีกว่า ไม่อย่างนั้น ใจจะวายกันหมด
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 14-06-2011 เมื่อ 11:04 |
|
#5
|
||||
|
||||
|
เมื่อวานนี้ ถ้าจำไม่ผิด ดร.เนะก็ได้กล่าวเตือนสื่อไปแล้วในเรื่องการใช้คำและการนำเสนอข้อมูลเนื้อหาข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสื่อเข้าใจผิด
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
น้องก็เห็นด้วยสำหรับการนำเสนอของสื่อค่ะ คำบางคำสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ สักแต่ใช้โปรยหัวข่าวเพื่อเรียกร้องความน่าสนใจของข่าว ในทางกลับกัน กลับเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองแท้ๆๆ
แล้วอย่างนี้เมื่อไรเศรษฐกิจจะฟื้น และต้องเสียเงินประชาสัมพันธ์ กันอีกเท่าไรเพื่อให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว ไม่ใช่ไม่สนับสนุนการอนุรักษ์นะคะ แต่อยากให้การอนุรักษ์ใต้ท้องทะเลเป็นจุดดึงดูดให้คนที่สนใจว่า เมืองไทยทำอย่างไรกับแนวปะการังที่เสียหาย ให้ฟื้นกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว คิดว่าคงจะไม่สายเกินไปนะคะ...
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS |
|
#7
|
||||
|
||||
|
คุมเข้มปะการังฟอกขาว เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ หอมช่วย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ได้สั่งการให้สั่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำเรือตรวจการณ์ออกไปลอยลำในทะเลอันดามัน เพื่อเฝ้าระวังแหล่งปะการังฟอกขาวในเขตพื้นที่เกาะตะรุเตา ที่มีเนื้อที่กว่า 9.9 แสนไร่ โดยเฉพาะที่บริเวณหาดทรายขาว เกาะหินงาม เกาะดง และเกาะตะเกียง เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยว ลักลอบแอบลงไปดำน้ำดูปะการังบริเวณพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปะการังฟอกขาว แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางลงไปเที่ยวชมบรรยากาศตามเกาะต่างๆ แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าเป็นพื้นที่งดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว งดนำนักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการัง เพื่อให้ปะการังได้ฟื้นตัว. จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 29 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#8
|
||||
|
||||
|
ดีใจที่เริ่มเห็นการเฝ้าระวังติดตามผลตามมาบ้างแล้วครับ .. หวังว่าจะไม่ใช่ช่วงต้นๆเท่านั้นนะครับที่ช่วยกันตรวจตราสอดส่องแบบนี้
เห็นด้วยเช่นกันที่บทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นน่าจะทำให้การควบคุมดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้บ้าง แต่ก็จะเป็นจะต้องได้ความร่วมไม้ร่วมมือจากผู้ปฏิบัติและผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย ไม่อย่างนั้นกฎหมายแรงแค่ไหนก็ไร้ผลครับ ..
__________________
If we see the hearts of others, peace will follow ![]() You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon |
|
#9
|
||||
|
||||
|
เสนอนายกฯ แก้ทั้งระบบ ‘ปะการังขาว’ นักวิชาการเข้าพบนายกฯ เสนอแผนฉุกเฉินฟื้นฟูปะการังในระยะเร่งด่วน เรียกร้องให้ผลักดันแผนยุทธศาสตร์การจัดการแนวปะการังในประเทศไทยผ่านบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เผยปัญหาปะการังฟอกขาวในปีนี้ไม่รุนแรง ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประการัง อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนและกลุ่มนักวิชาการจากหลายองค์กรอนุรักษ์ทะเลไทยได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาแนวปะการังตายจำนวนมากจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว มีข้อเสนอ คือ แผนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองและฟื้นฟูแนวปะการังในเขตทะเลฝั่งอันดามันและอ่าว ไทย ประกอบด้วย 1.ลดผลกระทบปะการังเสียหายอันเกิดจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ 2.ปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายและทำลายทรัพยากรอย่างรุนแรง 3.ป้องกันน้ำเสียจากเรือและสถานประกอบการที่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล และ 4.ป้องกันตะกอนดินที่ไหลจากภูเขาลงมาทับถมปะการังเสียหาย ผศ.ดร.ธรณ์ระบุว่า นอกจากเสนอแผนฉุกเฉินให้รัฐบาลนำไปดำเนินงานแล้ว ยังเสนอนายกรัฐมนตรีให้ช่วยเร่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์และปฏิบัติการจัดการแนวปะการังในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเรื่องยังค้างอยู่ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นักวิชาการต้องการให้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ทันภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ แผนดังกล่าวจะช่วยอนุรักษ์และคุ้มครองแนวปะการังได้อย่างยั่งยืน โดยนายกฯให้ความสนใจปัญหานี้ และพร้อมผลักดันแผนเร่งด่วนและแผนระยะยาวให้เกิดขึ้นสำเร็จ "ส่วนการปิดพื้นที่ดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลบางส่วนไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ เพราะผู้ประกอบการเข้าใจสถานการณ์และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แต่หากมีการลักลอบเข้าไปดำน้ำในเขตหวงห้าม หัวหน้าอุทยานแห่งชาตินั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบ" นายธรณ์กล่าว นักวิชาการผู้นี้แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ปะการังฟอกขาวในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่จะปิดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นระยะเวลานานเท่าใดขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแนวปะการัง ทั้งนี้ สิ่งที่นักวิชาการเรียกร้องมาตลอด แต่ภาครัฐไม่เคยสนใจ คือ การสำรวจสภาพแนวปะการังตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มีการติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา อาจารย์ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทะเลอันดามัน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาปะการังฟอกขาวและเสียหายจะไม่หนักเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากปะการัง ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดนั้นสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี และอุณหภูมิน้ำทะเลก็จะไม่ร้อนจัดเหมือนปีก่อน ส่วนการแก้ปัญหาของกรมอุทยานแห่งชาติฯนั้นถือว่าล่าช้ามาก และไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล จึงไม่ทราบว่าเกิดปัญหาปะการังฟอกขาว ขอให้ฝึกอบรมหรือเปิดรับเจ้าหน้าที่ ผู้มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเข้ามาประจำพื้นที่อย่างเร่งด่วน นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการจับกุมผู้ฝ่าฝืนเข้าไปดำน้ำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศปิดพื้นที่บางส่วนห้ามใช้ประโยชน์ในกิจกรรมท่องเที่ยว ขอยืนยันว่ากรมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แม้ว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเข้าไปดำน้ำในเขตหวงห้าม เพราะไม่ทราบข้อมูล จึงได้ตักเตือน และหากพบผู้ฝ่าฝืนก็ให้เจ้าหน้าที่จับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมาย. จาก .................. ไทยโพสต์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#10
|
||||
|
||||
|
....เมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่แล้วไปดำน้ำที่บริเวณช่องแสมสาร จ.ชลบุรี...พบปะการังขาวประมาณ 40 % ของปะการัง...หลังจากติดธุระไม่ค่อยได้ไป....เมื่อวานนี้ไปดำน้ำมา...ไม่น่าเชื่อไม่พบปะการังฟอกขาวเลยและพบปะการังอ่อนขึ้นเป็นจำนวนมาก..สวยงามมาก...ขอบคุณธรรมชาติ....ถามเพื่อนฝูงที่ไปประจำเล่าให้ฟังว่า..หลังจากที่อากาศเริ่มเย็นลงปะการังฟอกขาวก็ค่อยๆหายไป...ก็ขอขอบคุณธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง....
|
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|