เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 27-01-2011
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default



เรื่องการใช้บุคคลากรให้ถูกคนถูกเรื่องนี่ เป็นปัญหาใหญ่จริงๆในทุกองค์กรนะคะ อย่างไรก็ตาม จะเสนอเรื่องนี้ให้ที่เวทีเสวนาเรื่องปะการังฟอกขาวไว้ด้วยค่ะ...น้องปี๊บ

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 28-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


"ปะการังฟอกขาว" สร้างโอกาสจากวิกฤตเพื่อท้องทะเลไทย ...................... โดย ปิ่น บุตรี



“ปะการัง...ปะการัง...งามล้ำค่า ช่วยกันรักษา...
เจ้าไข่มุกเอเซีย ต้องเสียหาย
โอ้ปักษ์ใต้บ้านเรา นั้นแย่แล้ว
ใต้ทะเลไม่เหลือ ไม่เห็นแนว
พังระเบิดเป็นแถว ปะการัง...”

เพลง“ปะการัง” ของวง“ซูซู” ดูจะ เข้ากับบรรรยากาศของสภาพปะการังในบ้านเราช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่างานนี้เปลี่ยนบริบทจากการถูกระเบิดทำลายกลายมาเป็น วิกฤตการณ์ “ปะการังฟอกขาว”แทน


ปะการังฟอกขาว ใครทำ???

ปะการังฟอกขาว เกิดจาก“สาหร่ายซูแซนเทลลี่”ที่ อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อปะการังซึ่งทำหน้าที่สร้างสีสันและสังเคราะห์แสง ให้พลังงาน แยกตัวออกมา ทำให้ตัวปะการังสีซีดลงกลายเป็นเนื้อเยื่อใสๆคล้ายวุ้นคลุมส่วนโครงสร้างที่ เป็นหินปูน มองเห็นเป็นสีขาว เทา หรือน้ำตาล

สาเหตุหลักในการเกิดปะการังฟอกขาวมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น เกินกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติอุณหภูมิของน้ำทะเลจะอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลเกิดสูงเกิน 30.1 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ปะการังจะปรับทำตัวให้เกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมา

ในอดีตปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติจะสัมพันธ์กับปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร ครั้นเอลนีโญผ่านพ้นไปปะการังก็จะใช้เวลาพักฟื้นแล้วกลับมามีสีสันสวยงามอีกครั้ง โดยบ้านเราในช่วงปี พ.ศ. 2540-41 ก็เคยเกิดปะการังฟอกขาวที่ค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเกิดปะการังฟอกขาวในปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮาในทุกวันนี้

ปะการังฟอกขาวหนนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นไปทั่วแถบภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ทั้งอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟ ซีเชลส์ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย

ส่วนที่เกิดบ้านเรานั้นถือว่าถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ เป็นวิกฤตปะการังฟอกขาวที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ขยายต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายเท่านั้น หากแต่มันกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง ส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ การท่องเที่ยว การกัดเซาะชายฝั่ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลด้วย

สำหรับการเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้รู้ ต่างออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า

...การเกิดปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ เกิดจากเอลนีโญที่มาจากสภาวะโลกร้อนเป็นหลัก...

แล้วสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ หากแต่มาจากน้ำมือมนุษย์เรานั่นเอง


ปะการังฟอกขาวย้อนคืนสู่มนุษย์

ช่วงปะการังฟอกขาวเริ่มเป็นข่าวดัง ผมกำลังเริงร่าล่องใต้ทัวร์มาราธอนตามหมู่เกาะท้องทะเลในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หมู่เกาะเภตรา และหมู่เกาะตะรุเตา แห่งท้องทะเลอันดามันระหว่างทะเลตรังกับทะเลสตูลอยู่พอดี

ครั้นพอกลับขึ้นมากรุงเทพฯมีหลายคนคนถามว่า “ทะเลอันดามันไปเที่ยวได้หรือ เห็นข่าวออกมาว่าเขาปิดอุทยานฯหลายที่หนิ”

เอ้า...กลายเป็นเรื่องปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งไปเสียฉิบ ทั้งที่ความจริงอุทยานฯทางทะเลยังเที่ยวได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าทางกรมอุทยานฯเขาประกาศ “งดกิจกรรมดำน้ำบางจุด”หรือพูดง่ายๆว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด”ในอุทยานฯทาง ทะเลบางแห่ง ย้ำนะครับว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด” ไม่ได้ปิดอุทยานฯ ห้ามคนเข้าไปเที่ยวแต่อย่างใด นอกจากนี้กิจกรรมทางทะเลทั่วไป เช่น เล่นน้ำชายฝั่ง เดินชายหาด ชมทิวทัศน์ ท่องราตรี(ในบางพื้นที่) หรือดำน้ำในจุดที่อนุญาตไม่ใช่จุดต้องห้าม ก็ยังคงสามารถทำได้ตามปกติ

โดยอุทยานฯที่ทำการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด ณ เวลานี้ มี 7 อุทยานฯด้วยกัน ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น

อย่างไรก็ดีการเลือกปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดของกรมอุทยานฯ วัตถุประสงค์เท่าที่ผมจับจากข่าวก็เพื่อไม่ให้คน(นักท่องเที่ยว)เข้าไปซ้ำ เติมเหตุการณ์ให้มันเสื่อมเร็วและแย่ลงมากขึ้น เพราะหากเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติปกตินั้นมันสามารถฟื้นตัวได้ อย่างเร็วอาจแค่ 1 ปี อย่างช้าอาจถึง 5 ปี

แต่กลับวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวแค่ไหน ยิ่งถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมา มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายจำนวนมากเท่านั้น หากแต่มันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลและเกิดผลกระทบอื่นตามมา ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ร่อยหรอ และส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง การท่องเที่ยว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

เรียกว่าเมื่อมนุษย์เป็นตัวเอี่ยวสำคัญในการก่อวิกฤต ผลเอี่ยวจากการกระทำมันก็ย้อนศรกลับมากระทบต่อมนุษย์เราแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยง


สร้างโอกาสจากวิกฤต

แม้วิกฤตปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นจะอยู่ในขั้นรุนแรง แต่เราไม่ควรตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ หากแต่ควรตื่นตัวต่อสภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพราะปัญหาทะเลไทยที่ผ่านมามาได้มีเฉพาะเรื่องปะการังฟอกขาวเท่านั้น แต่มันมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกัดเซาะชายฝั่ง การจับสัตว์น้ำแบบเกินพอดี การระเบิดปลา ทำลายปะการัง การลักลอบนำปะการังไปขาย การทำอวนลาก อวนรุน การพัฒนาเมือง พัฒนาทางวัตถุโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ในขณะที่ถ้าโฟกัสให้แคบลงมาเฉพาะในมิติของการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาท้องทะเลไทยเราได้รับผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งจาก นายทุนบุกรุกท้องทะเลสร้างรีสอร์ท โรงแรม การปล่อยน้ำเสีย ขยะ ตะกอน ของผู้ประกอบการลงสู่ทะเล การมักง่ายทิ้งขยะลงทะเลของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวดำน้ำตื้นไปเหยียบยืนทำลายปะการังจนตายทั้งพวกที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และพวกที่ตั้งใจ เรือนำเที่ยวทิ้งของเสียลงทะเล หรือแม้กระทั่งการรับใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนดังที่ปรากฏเป็นข่าว

ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวในเรื่องปะการังฟอกขาว สร้างจิตสำนึกการท่องเที่ยวอย่างถูกวิธีที่แม้จะต้องพูดแล้วพูดอีกพูดซ้ำพูดซากก็คงต้องทำกันต่อไป เพราะหากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเที่ยวกันแบบไร้สำนึก ทิ้งขยะ ของเสียลงทะเล ขโมยเก็บทรัพยากรนำกลับมา ไปเหยียบยืนบนปะการัง ไม่ว่าปะการังฟอกขาวหรือปะการังดีมันก็ถูกทำลายไม่ต่างกัน

และภาครัฐ นับแต่นี้ไปคงต้องเอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติหน้าที่กันเสียที ผู้ประกอบการคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของอุทยานฯ หากถูกจับได้ ต้องจัดการให้เด็ดขาด อย่าให้เอาเยี่ยงอย่าง เจ้าหน้าที่คนไหนทุจริตคอร์รัปชั่นต้องไล่ออกอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง นายทุนคนไหนรุกล้ำที่ทั้งทางบกทางทะเลต้องอย่าปล่อยไว้ แม้หลายคนจะใหญ่มากเป็น“ตอยักษ์”ไม่สามารถจัดการได้ก็ต้องหาลู่ทางทำให้สื่อ ให้สังคมรับรู้ เพื่อสกัดยับยั้งไม่ให้เชื้อชั่วขยายผล

ส่วนทางด้านผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ต้องไม่ทำมาหากินแบบละโมบ แต่เน้นที่ความยั่งยืนแทน และต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ รวมถึงช่วยดูและตักเตือนนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงทำผิดไปบ้าง

นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างบนอุทยานฯ จำกัดจำนวนคนดำน้ำในพื้นที่สุ่มเสี่ยงหลายจุด เป็นต้น

สำหรับเรื่องเหล่านี้แม้อาจดูฝันเฟื่อง เป็นอุดมคติ แต่อย่างน้อยการที่พวกเราโดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องได้ทำอะไรบ้างในทางที่ช่วยให้ดีขึ้น

มันย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย




จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 29-01-2011
sea addict sea addict is offline
Member
 
วันที่สมัคร: Jul 2009
ข้อความ: 29
Default

นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ ุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน

ใครเห็นด้วยกับการให้สื่อเลิกใช้คำว่า "ปิดอุทยานฯ"ในการเสนอข่าวบ้าง ยกมือขึ้น

ผู้สื่อข่าวของสื่อบางสำนักที่ไม่เข้าใจมักใช้คำนี้ลงในสื่อของตัวเอง เพราะ มันใช้คำง่ายดี มันฟังดูยิ่งใหญ่ดี และเรียกความน่าสนใจจากผู้เสพสื่อ และประชาชนทั่วไปได้ดี และขณะเดียวกัน มันสร้างความเข้าใจผิด ความตื่นตระหนกและแรงต่อต้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไม่สมควรแก่เหตุผล ทั้งยังส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างไม่อาจคาดเดาได้

การใช้คำว่า งดการดำน้ำในจุดดำน้ำบางแห่ง ของอุทยาน มันยาวกว่า ยากกว่า แต่ก็น่าจะทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าใจและไม่หวังกอบโกยจากธรรมชาติ สบายใจมากขึ้นและอาจจะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่ต้องทำงานด้านนี้มากขึ้น เพราะเขารู้สึกว่ายังมีพื้นที่หากิน และนักท่องเที่ยวยังคงได้มาเที่ยวชม

ถึงตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า ระหว่างการออกมาตรการของรัฐ กับการให้ข่าวของสื่ออะไรจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนมากกว่ากัน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 29-01-2011
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default



เรื่องการใช้คำว่า "ปิดอุทยาน" ที่หนังสือพิมพ์โปรยหัวตัวเป้งไว้นั้น ได้ไปขึ้นพูดในเวทีเสวนาเรื่อง "ระดมความคิดแก้วิกฤตปะการัง" ไว้ว่า มีผลกระทบต่อจิตใจของนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวทางทะเล และผู้ประกอบการมาก ก่อให้เกิดความตกใจ สับสน นึกว่าอุทยานฯ ถูกปิดทั้งหมด (เสียงก่นด่าเลยตามมา)

เห็นด้วยกับน้องsea addict ค่ะ.....เปลี่ยนคำพูดซะใหม่ดีกว่า ไม่อย่างนั้น ใจจะวายกันหมด

__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 14-06-2011 เมื่อ 11:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 29-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เมื่อวานนี้ ถ้าจำไม่ผิด ดร.เนะก็ได้กล่าวเตือนสื่อไปแล้วในเรื่องการใช้คำและการนำเสนอข้อมูลเนื้อหาข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสื่อเข้าใจผิด

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 29-01-2011
Super_Srinuanray's Avatar
Super_Srinuanray Super_Srinuanray is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Deep Blue Sea
ข้อความ: 1,070
Default

น้องก็เห็นด้วยสำหรับการนำเสนอของสื่อค่ะ คำบางคำสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ สักแต่ใช้โปรยหัวข่าวเพื่อเรียกร้องความน่าสนใจของข่าว ในทางกลับกัน กลับเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองแท้ๆๆ

แล้วอย่างนี้เมื่อไรเศรษฐกิจจะฟื้น และต้องเสียเงินประชาสัมพันธ์ กันอีกเท่าไรเพื่อให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว

ไม่ใช่ไม่สนับสนุนการอนุรักษ์นะคะ แต่อยากให้การอนุรักษ์ใต้ท้องทะเลเป็นจุดดึงดูดให้คนที่สนใจว่า เมืองไทยทำอย่างไรกับแนวปะการังที่เสียหาย ให้ฟื้นกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

คิดว่าคงจะไม่สายเกินไปนะคะ...
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 30-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


คุมเข้มปะการังฟอกขาว


เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ หอมช่วย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ได้สั่งการให้สั่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำเรือตรวจการณ์ออกไปลอยลำในทะเลอันดามัน เพื่อเฝ้าระวังแหล่งปะการังฟอกขาวในเขตพื้นที่เกาะตะรุเตา ที่มีเนื้อที่กว่า 9.9 แสนไร่ โดยเฉพาะที่บริเวณหาดทรายขาว เกาะหินงาม เกาะดง และเกาะตะเกียง เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยว ลักลอบแอบลงไปดำน้ำดูปะการังบริเวณพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปะการังฟอกขาว

แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางลงไปเที่ยวชมบรรยากาศตามเกาะต่างๆ แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าเป็นพื้นที่งดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว งดนำนักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการัง เพื่อให้ปะการังได้ฟื้นตัว.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 29 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 31-01-2011
ดอกปีบ's Avatar
ดอกปีบ ดอกปีบ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ข้อความ: 693
Default

ดีใจที่เริ่มเห็นการเฝ้าระวังติดตามผลตามมาบ้างแล้วครับ .. หวังว่าจะไม่ใช่ช่วงต้นๆเท่านั้นนะครับที่ช่วยกันตรวจตราสอดส่องแบบนี้

เห็นด้วยเช่นกันที่บทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นน่าจะทำให้การควบคุมดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้บ้าง แต่ก็จะเป็นจะต้องได้ความร่วมไม้ร่วมมือจากผู้ปฏิบัติและผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย ไม่อย่างนั้นกฎหมายแรงแค่ไหนก็ไร้ผลครับ ..
__________________
If we see the hearts of others, peace will follow

You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 02-02-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เสนอนายกฯ แก้ทั้งระบบ ‘ปะการังขาว’


นักวิชาการเข้าพบนายกฯ เสนอแผนฉุกเฉินฟื้นฟูปะการังในระยะเร่งด่วน เรียกร้องให้ผลักดันแผนยุทธศาสตร์การจัดการแนวปะการังในประเทศไทยผ่านบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เผยปัญหาปะการังฟอกขาวในปีนี้ไม่รุนแรง

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประการัง อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนและกลุ่มนักวิชาการจากหลายองค์กรอนุรักษ์ทะเลไทยได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาแนวปะการังตายจำนวนมากจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว มีข้อเสนอ คือ แผนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองและฟื้นฟูแนวปะการังในเขตทะเลฝั่งอันดามันและอ่าว ไทย ประกอบด้วย
1.ลดผลกระทบปะการังเสียหายอันเกิดจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ
2.ปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายและทำลายทรัพยากรอย่างรุนแรง
3.ป้องกันน้ำเสียจากเรือและสถานประกอบการที่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล และ
4.ป้องกันตะกอนดินที่ไหลจากภูเขาลงมาทับถมปะการังเสียหาย

ผศ.ดร.ธรณ์ระบุว่า นอกจากเสนอแผนฉุกเฉินให้รัฐบาลนำไปดำเนินงานแล้ว ยังเสนอนายกรัฐมนตรีให้ช่วยเร่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์และปฏิบัติการจัดการแนวปะการังในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเรื่องยังค้างอยู่ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นักวิชาการต้องการให้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ทันภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ แผนดังกล่าวจะช่วยอนุรักษ์และคุ้มครองแนวปะการังได้อย่างยั่งยืน โดยนายกฯให้ความสนใจปัญหานี้ และพร้อมผลักดันแผนเร่งด่วนและแผนระยะยาวให้เกิดขึ้นสำเร็จ

"ส่วนการปิดพื้นที่ดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลบางส่วนไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ เพราะผู้ประกอบการเข้าใจสถานการณ์และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แต่หากมีการลักลอบเข้าไปดำน้ำในเขตหวงห้าม หัวหน้าอุทยานแห่งชาตินั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบ" นายธรณ์กล่าว

นักวิชาการผู้นี้แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ปะการังฟอกขาวในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่จะปิดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นระยะเวลานานเท่าใดขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแนวปะการัง ทั้งนี้ สิ่งที่นักวิชาการเรียกร้องมาตลอด แต่ภาครัฐไม่เคยสนใจ คือ การสำรวจสภาพแนวปะการังตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มีการติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา

อาจารย์ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทะเลอันดามัน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาปะการังฟอกขาวและเสียหายจะไม่หนักเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากปะการัง ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดนั้นสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี และอุณหภูมิน้ำทะเลก็จะไม่ร้อนจัดเหมือนปีก่อน ส่วนการแก้ปัญหาของกรมอุทยานแห่งชาติฯนั้นถือว่าล่าช้ามาก และไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล จึงไม่ทราบว่าเกิดปัญหาปะการังฟอกขาว ขอให้ฝึกอบรมหรือเปิดรับเจ้าหน้าที่ ผู้มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเข้ามาประจำพื้นที่อย่างเร่งด่วน

นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการจับกุมผู้ฝ่าฝืนเข้าไปดำน้ำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศปิดพื้นที่บางส่วนห้ามใช้ประโยชน์ในกิจกรรมท่องเที่ยว ขอยืนยันว่ากรมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แม้ว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเข้าไปดำน้ำในเขตหวงห้าม เพราะไม่ทราบข้อมูล จึงได้ตักเตือน และหากพบผู้ฝ่าฝืนก็ให้เจ้าหน้าที่จับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมาย.




จาก .................. ไทยโพสต์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 31-01-2011
นาย's Avatar
นาย นาย is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 187
Default

....เมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่แล้วไปดำน้ำที่บริเวณช่องแสมสาร จ.ชลบุรี...พบปะการังขาวประมาณ 40 % ของปะการัง...หลังจากติดธุระไม่ค่อยได้ไป....เมื่อวานนี้ไปดำน้ำมา...ไม่น่าเชื่อไม่พบปะการังฟอกขาวเลยและพบปะการังอ่อนขึ้นเป็นจำนวนมาก..สวยงามมาก...ขอบคุณธรรมชาติ....ถามเพื่อนฝูงที่ไปประจำเล่าให้ฟังว่า..หลังจากที่อากาศเริ่มเย็นลงปะการังฟอกขาวก็ค่อยๆหายไป...ก็ขอขอบคุณธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:18


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger