เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 01-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เตรียมพร้อมรับมือคลื่นสึนามิในประเทศไทย



ภายหลังเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ระดับ 9.0 ริกเตอร์ ส่งผลทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ความสูงกว่า 10 เมตร พัดถล่มชายฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น และส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นระเบิดตามมา ส่งผลให้มีระดับรังสีเพิ่มขึ้นผิดปกติ และมีสารไอโอดีน131 และสารซีเซี่ยม 137 แพร่กระจายออกมา รวมทั้งความสูญเสียที่ประเทศไทยได้รับจากคลื่นสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เป็นบทเรียนว่า ภัยจากสึนามิโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียชีวิต เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันหรือลดลงได้ หากมีการเตรียมพร้อม มีความรู้เกี่ยวกับคลื่นสึนามิและวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิเหตุฉุกเฉิน ซึ่งจะสามารถลดความสูญเสียได้

สำนักงานบริการด้านภูมิอากาศแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ( Nation Weather Service) ได้ริเริ่มโครงการ “เตรียมพร้อมรับคลื่นสึนามิ ” ขึ้นมาเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกลาง มลรัฐและหน่วยงานอำนวยการด้านอุบัติภัยท้องถิ่น รวมไปถึงสาธารณชน เพื่อทำงานร่วมกับระบบการเตือนภัยจากสึนามิ โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือการเพิ่มความปลอดภัยของสาธารณชนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจากคลื่นสึนามิ โดยโครงการดังกล่าวจัดทำขึ้นตามรูปแบบของการ เตรียมพร้อมรับพายุ ( StormReady ) ที่มีมาก่อน

สำหรับชุมชนในสหรัฐอเมริกาที่เตรียมพร้อมรับมือกับสึนามิจะต้องทำอะไรบ้าง

1. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการยามฉุกเฉิน
2. สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยถึงคนในชุมชนได้
3. ทำแผนรับมือกับภัยสึนามิ
4. จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักให้แก่ชุมชน
5. พร้อมรับสัญญาณเตือนจากศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ หรือใน ระดับภูมิภาค


สำหรับประเทศไทย การเตรียมการล่วงหน้าในด้านการออกแบบอาคาร สถานที่ การจัดทางเดิน การกำหนดบริเวณอันตรายและบริเวณปลอดภัย ทางขึ้นสู่ที่ปลอดภัย และการประกาศแจ้งเตือนต่อชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในราคาที่ไม่สูงมากนัก รวมทั้งเมื่อมีความพร้อมและสร้างความมั่นใจด้วยความไม่ประมาท จะทำให้พื้นที่ของประเทศไทยที่อยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย กลับมาเป็นเมืองน่าอยู่กว่าเดิม

ในส่วนของภาครัฐมีหน้าที่ดังนี้

1. ประสานงานระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความร่วมมือในการจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่คลื่นสึนามิจะมาถึง
2. กำหนดช่องทางการสื่อสารเพื่อการแจ้งเตือนแก่ชุมชนในเขตที่มีความเสี่ยง
3. วางแผนเพื่อกำหนดพื้นที่ที่อันตรายและพื้นที่ปลอดภัยในบริเวณชายฝั่ง ( โอยอิงข้อมูลจากระบบแผนที่ที่แสดงระดับความสูงของพื้นดิน) ประกาศเขตที่เสี่ยงภัย วางโครงสร้างพื้นฐานในการอพยพคน หาที่ปลอดภัยหรือกำหนดให้สถานที่บางแห่งทำหน้าที่เป็นที่หลบภัย
4. สร้างระบบการประสานงานระหว่างบุคลากรจากฝ่ายต่างๆในการทำงานร่วมกันเมื่อเกิดภัย ฝึกคนให้รู้จักระบบการเตือนภัยและหนีภัย ประสานกับสถาบันวิจัย สถานศึกษาและชุมชน เพื่อศึกษาและพัฒนารูปแบบการเตือนภัยที่เหมาะสม ได้ผล เข้ากับท้องถิ่นและประหยัด
5.ให้ความรู้แก่ประชาชน ข้าราชการและเยาวชน เกี่ยวกับความปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่างๆ ในโรงเรียนและด้วยสื่อที่เหมาะสม


สำหรับหน้าที่ของชุมชนและผู้นำชุมชน

1. จัดกิจกรรมที่สร้างความตระหนักเรื่องภัยธรรมชาติ
2. จัดตั้งคณะกรรมการด้านอุบัติภัยของชุมชน เพื่อวางแผนการทำงานต่างๆและจัดผู้รับผิดชอบ
3. หลีกเลี่ยงการสร้างอาคารที่ไม่ปลอดภัยและเสริมสร้างสิ่งที่ช่วยในการลดภัยจากคลื่นสึนามิ เช่น แนวของพืชยืนต้น การพัฒนาป่าชายเลนให้มีแนวป้องกันธรรมชาติเพิ่มขึ้น
4. จัดทำทางเดินขึ้นสู่ที่สูงและคัดเลือกสถานที่ ซึ่งจัดให้เป็นที่ปลอดภัยจากสึนามิ ทั้งนี้อาจใช้ข้อมูลด้านความสูงจากระบบแผนที่ของทางการ พร้อมติดป้ายแสดงเส้นทาง
5. จัดรูปแบบอาคารและถนน เพื่อลดโอกาสความเสียหายจากสึนามิ
6. จัดทำระบบแจ้งเตือนแก่ชุมชนด้วยระบบเสียงและสื่อที่เหมาะสม เช่น ไซเรน กลอง หอกระจายข่าว วิทยุ โทรทัศน์ SMS
7. จัดบุคลากรให้มีความรับผิดชอบในการรับฟังข่าวสารจากส่วนกลางที่มีข้อมูลแจ้งภัยสึนามิ
8. จัดการฝึกซ้อมการแจ้งเตือนภัย รวมทั้งการอพยพอย่างเป็นระเบียบและปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ


ควรทำอย่างไรเมื่อเกิดคลื่นสึนามิ

1. หากอยู่ที่บ้านหรือสถานที่ต่างๆ และได้ยินประกาศเตือนภัยคลื่นสึนามิ ต้องแจ้งให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนทราบ และถ้าอยู่ในเขตที่ต้องอพยพเมื่อเกิดสึนามิ ควรอพยพทันที โดยเคลื่อนย้ายด้วยความสงบ สุขุมและไม่เสี่ยงอันตรายไปยังสถานที่ปลอดภัย
2. หากอยู่ที่ชายหาด ใกล้มหาสมุทร ใกล้แม่น้ำหรือลำธารที่ไหลลงมหาสมุทรและรู้สึกว่าแผ่นดินสั่นสะเทือนให้รีบย้ายไปยังพื้นที่ที่สูงกว่าทันทีและหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ต่ำใกล้ชายฝั่ง โดยไม่ต้องรอเสียงประกาศเตือนภัย เพราะคลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวบริเวณใกล้ สามารถเข้าถล่มบางพื้นที่ได้ก่อนที่จะมีการประกาศเตือน
3. หากอยู่ในเรือ อย่านำเรือกลับเข้าฝั่ง คลื่นสึนามิสามารถทำให้ระดับน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดกระแสน้ำแปรปรวนมากและเป็นอันตรายในบริเวณชายฝั่งและท่าเรือ
4. ท่าเรือขนาดใหญ่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมดูแลของหน่วยงานการท่าเรือ และ/หรือระบบควบคุมการจราจรทางน้ำ หน่วยงานดังกล่าวจะควบคุมและดำเนินการต่างๆเพื่อเพิ่มความพร้อมในการรับสถานการณ์ ซึ่งหากมีการเคลื่อนย้ายเรือ ควรจะติดต่อกับหน่วยงานที่มีอำนาจ

แม้ว่าคลื่นสึนามิจะมีอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้น จึงไม่ควรตื่นตระหนกกังวลจากภัยพิบัติธรรมชาติจนเกินไป แต่หากรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณที่ยืนอยู่หรือได้ยินเสียงประกาศเตือนภัยจากคลื่นสึนามิ ก็ขอให้รีบบอกต่อญาติและเพื่อนๆในบริเวณนั้นให้ทราบและรีบอพยพไปยังบริเวณที่สูงโดยเร็ว




จาก ..................... สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 31 มีนาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 04-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


บทเรียนความพร้อมรับมือภัยพิบัติ



19 23 21 27 29….. ไม่ได้มาใบ้หวย แต่ตัวเลขทั้งหมดเป็นตัวเลขของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นเรื่องที่สร้างความฮือฮาให้กับเมืองไทยอยู่มิใช่น้อย กับสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างผิดปกติมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค.54 ที่ผ่านมา วันหนึ่งมีถึงสามฤดู เช้ามืดมีฝนตกโปรยปราย สายหน่อยลมหนาวพัดโชย ช่วงบ่ายอากาศร้อนแดดแรงขึ้นมา ทำให้คนที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อกันเลยทีเดียว ทั้งที่ประเทศไทยเราน่าจะเริ่มขยับเข้าสู่ฤดูร้อน เพราะใกล้เดือนเมษายนเต็มทน

สภาพอากาศจู่ๆ อุณหภูมิลดลงแบบเหลือเชื่อจนหลายจังหวัดเกิดอากาศหนาว เท่านั้นไม่พอยังเกิดพายุฝนกระหน่ำตกอย่างหนัก ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ฝนถล่มช่วงเช้ามืดจนทำให้หลายพื้นที่มีน้ำขังเจิ่งนอง ส่งผลกระทบการจราจรกลายเป็นอัมพาตเกือบทั้งวัน หลังฝนซาจากเมืองกรุง

แต่ทางภาคใต้ กลับกลายไปเกิดพายุฝนตกหนัก ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. ทำให้หลายพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้มีน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง และดินถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ จ.พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล และนราธิวาส ฯลฯ สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานเนื่องมาจากความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีน แพร่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนส่งผลให้ลมตะวันออกพัดปกคุมอ่าวไทยและภาคใต้กำลังแรง

อย่างไรก็ดีตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.เป็นต้นมา หลายจังหวัดทางใต้ยังมีตกอย่างลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 4 จังหวัด ที่ต้องกลายเป็นเมืองบาดาลและอีกหลายจังหวัดมีดินถล่ม ทำให้หลายพื้นที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไล่ตั้งแต่ จ.พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี และชุมพร

แทบไม่มีใครคาดคิดว่า เดือนเมษายน !! บ่งบอกถึงฤดูร้อนเริ่มต้นได้เพียงไม่กี่วัน แต่บางจังหวัดในภาคใต้กลับมีฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา จนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน อย่างที่ จ.นครศรีธรรมราช น้ำป่าทะลักเข้าท่วมเมือง และท่าอากาศยานครศรีธรรมราช รวมไปถึงเส้นทางรถไฟบางช่วงต้องหยุดไปโดยปริยาย แถมยังมีเรื่องหวาดเสียวให้น่าตื่นเต้นเข้าอีก เพราะจระเข้ตัวเขื่องหลุดออกมาเพ่นพ่าน เส้นทางการจราจรหลายแห่งถูกตัดขาดแบบสิ้นเชิง

จากเดิมที่หลายคนเคยคาดการณ์ไว้ว่าเดือนเมษายนนี้จะลาพักร้อน เพื่อไปพักผ่อนกับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามพื้นที่ท่องเที่ยว หมู่เกาะและชายหาดต่างๆ กลับต้องมาจมปลักอยู่ในห้องพักของโรงแรมด้วยสภาพฝนตกอย่างหนัก ไปท่องเที่ยวที่ไหนไม่ได้ หรือแย่ไปกว่านั้นต้องมาติดค้างที่เกาะต่างๆ เพราะคลื่นลมแรงเรือเล็กไม่สามารถเดินทางได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ยอดนิยมอย่างเกาะสมุย เกาะเต่า จังหวัดสุราษฏร์ธานี หรือแม้กระทั่งเขยิบขึ้นมาทางตอนบนอย่างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่อำเภอหัวหินก็ตาม นอกจากนั้นหลายคนยังวิตกกังวลว่า “สงกรานต์” ปีนี้ถ้าสภาพอากาศยังแปรปรวนขนาดนี้ จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางกลับบ้านอย่างแน่นอน

กรมอุตุนิยมวิทยารายงาน“สภาวะน้ำท่วมในภาคใต้” ระบุสาเหตุจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงยังคงปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนกลาง ทำให้มีฝนตกชุกหนาแน่นและหนักมากในหลายพื้นที่ จึงให้ระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก หลังจากนั้นปริมาณฝนตกหนักจะลดลง ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือ เพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงนี้ไว้ด้วย

ในขณะที่ทางภาคใต้กำลังเกิดปัญหาอุทกภัยหนัก และก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอีกเช่นกัน ช่วงเช้าวันที่ 29 มี.ค. อากาศในเมืองกรุงและอีกหลายพื้นที่ได้เย็นลงราวกับฤดูหนาว เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากทางกรมอุตุนิยมวิทยา ยังระบุอีกว่า บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานคร และ ภาคตะวันออก มีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป อุณหภูมิจะลดลงอีก และมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิต่ำสุด 13-14 องศา อุณหภูมิสูงสุด 22-25 องศา เรียกว่าสภาพร่างกายของเด็กและผู้ใหญ่บางคนที่ปรับตัวไม่ทันมีอาการเป็นไข้ไอจามกันจำนวนมาก

คุณเคยคิดหรือไม่ว่ากรุงเทพจะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนถึงกับอึ้งเมื่ออุณหภูมิที่กรุงเทพลดต่ำลงถึงขนาด 21 องศาเซลเซียสและเมื่อเดินทางขึ้นเครื่องบินเพื่อไปลงยังเชียงใหม่ เพียงแค่ลงสู่สนามบินอากาศร้อนจากภายนอกทำให้เรารู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิที่เชียงใหม่สูงกว่ากรุงเทพแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก น้อยมากที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

หากนำบทเรียนเหตุการณ์ในช่วงที่เกิดในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ 11 มี.ค. เหตุแผ่นดินไหวนิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น พม่า และอากาศแปรปรวน ฝนตก น้ำท่วมในภาคใต้มาเป็นบทเรียน ทุกหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถึงเวลาหรือยังกับความเตรียมพร้อมรับมือในเรื่องภัยพิบัติต่างๆ หรือจะต้องรอให้ธรรมชาติเป็นฝ่ายเริ่มต้นลงมือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อน เราทั้งหลายถึงค่อยยื่นมือช่วย ทำตั้งแต่วันนี้เถอะ ถ้าไม่อยากที่จะสูญเสียไปมากกว่านี้ในวันข้างหน้า

ในเรื่องราวของภัยพิบัติธรรมชาติ ที่เปรียบสมือนเป็นการส่งสัญญานเตือนล่วงหน้าให้บรรดามวลมนุษยชาติได้รับรู้กันแล้ว ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ??.




จาก .................. เดลินิวส์ วันที่ 4 เมษายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 04-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เรียนรู้จากภัยพิบัติ


ผู้บริหารของกรมอุตุนิยมวิทยามีความเห็นต่อสภาพอากาศที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงหลายจังหวัดภาคใต้ว่า เป็นความผิดปกติของฤดูกาล กล่าวคือความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนที่แผ่มาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือและอ่าวไทย ทำให้หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมภาคใต้ฝั่งตะวันออกและอ่าวไทยมีกำลังแรง มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยฝนที่ตกในช่วง 28-30 มีนาคม มีปริมาณมากถึง 1,000 มม.เศษ อันเป็นระดับที่เกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำและแหล่งน้ำที่มีจะรองรับไหว พื้นแผ่นดินที่จะรองรับน้ำก็ลดลง เพราะถูกใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจรูปแบบต่างๆ พื้นที่ป่าโดนแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ขาดต้นไม้ใหญ่รากลึกที่จะช่วยซับน้ำและตรึงผืนดินไว้ จึงเกิดการถล่มทลายของหน้าดินหลายพื้นที่

ความผิดปกติที่เกิดขึ้น คงโทษสิ่งใดไม่ได้ นอกจากทบทวนและยอมรับว่า ความรู้ทางด้านอากาศของเรายังไม่พอ ประสบการณ์ต่อภัยธรรมชาติจากความผิดปกติที่นานครั้งจะเกิดยังน้อยจนขาดความตื่นตัว หรือคิดเอาเองว่าจะไม่เกิด ผลที่ตามมาก็คือเครื่องมือและการเตรียมการไม่พร้อม นับแต่เรือท้องแบนเพื่อสำรวจ นำความช่วยเหลือไปสู่แหล่งประสบภัยไม่พอ หน่วยบรรเทาสาธารณภัยพลเรือนมีขีดความสามารถไม่ถึง ต้องพึ่งพากำลังและยุทโธปกรณ์จากกองทัพ ตั้งแต่การนำเรือรบฝ่าคลื่นลมรับนักท่องเที่ยวที่ติดเกาะ การนำเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงพลมาอพยพราษฎรหนีน้ำป่า จึงควรพิจารณาด้วยว่าหากกองทัพถูกตัดงบประมาณและไม่สามารถช่วยเหลือได้ ราษฎรผู้ประสบภัยจะเป็นอย่างไร

สิ่งที่รัฐควรดำเนินการเร่งด่วน ควบคู่กับการบรรเทาภัยและการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย ก็คือมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หน่วยเฝ้าระวัง เตือนภัยธรรมชาติ ศึกษาและประมวลข้อมูลทางวิชาการเพื่อสรุปสาเหตุ เสนอแนวทางการป้องกันในระยะต้นเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบ และวางแผน จัดเตรียมอุปกรณ์ พร้อมกับฝึกซ้อมการหนีภัยให้ทั่วถึง พร้อมกันนั้นก็จัดสรรงบประมาณให้สถาบันการศึกษาทำวิจัยเพื่อรับมือหรือแก้ไขในระยะยาว

ที่จะปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความเสียหายและภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้น มีสาเหตุหลักมาจากการขาดความจริงจังในการรักษาทรัพยากรป่า การละเลยต่อการขยายพื้นที่สวนยางพาราและสวนปาล์ม การยินยอมให้ขยายชุมชนรุกเข้าไปในพื้นที่ลาดเชิงเขา จนผืนแผ่นดินขาดคุณสมบัติในการรักษาสภาพหน้าดินจนถล่มทลายทำความเสียหาย การใช้มาตรการกำหนดพื้นที่ทางเกษตรกรรมมิให้ไปบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อรักษาธรรมชาติจึงต้องเคร่งครัด ทั้งนี้ ต้องดำเนินการก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึง เพราะพื้นที่เสี่ยงภัยคล้ายภาคใต้ได้ขยายตัวไปสู่ภาคอื่นๆแล้ว.




จาก .................. เดลินิวส์ วันที่ 4 เมษายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 05-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


รอยเลื่อนนครนายก


เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ ในเขตโทโฮกุ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิโถมซัดเกาะญี่ปุ่น มียอดผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 28,000 ราย

เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ เสียหาย สารกัมมันตรังสีชนิดพลูโทเนียมรั่วไหล กระจายไปยังประเทศใกล้เคียง รวมทั้งประเทศในทวีปยุโรป และอเมริกา

ถ้าลมเปลี่ยนทิศมาทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็อาจถึงประเทศไทยได้เช่นกัน!!

ระยะเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดเหตุแผ่นดินไหวรอยเลื่อนน้ำมา ขนาด 6.7 ริกเตอร์ ระดับความลึก 10 ก.ม. ห่างจากเมืองเกงตุง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฉาน ประเทศพม่า

เป็นรอยเลื่อนเดียวกันกับรอยเลื่อนน้ำมาในประเทศลาว ซึ่งเคยเขยื้อนจนเกิดแผ่นดินไหวมาแล้วในปี 2550 หนังสือพิมพ์นิวไลต์ ออฟ เมียนมาร์ ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต 75 ราย บาดเจ็บ 125 ราย

ทั้ง 2 ครั้ง ส่งผลต่อประเทศไทยเหมือนกัน คือ บ้านเรือน โบราณสถาน ถนน เสียหาย มีผู้เสียชีวิต

ทั้งหมดที่ยกมา เกิดจากรอยแตกในเปลือกโลก หรือรอยเลื่อน (faults) ซึ่งเป็นชนวนเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว

มีอานุภาพรุนแรงจนมวลมนุษย์ไม่อาจคาดเดาความเสียหายที่ตามมาได้

ยังไม่ทันเบาใจ ประเด็นรอยเลื่อนก็สร้างความหวาดหวั่นให้คนไทยอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนภาคกลางโดยเฉพาะเมืองกรุงที่ตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อน จะน่าวิตกกว่าภาคใดๆในประเทศ

เมื่อมีรายงานจาก นายปัญญา จารุศิริ หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปิดเผยหลังดูภาพถ่ายจากดาวเทียมว่า พบรอยเลื่อนใหม่ อยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ นั่นก็คือ รอยเลื่อนนครนายก

เป็นรอยเลื่อนที่พาดผ่าน จ.นครนายก ลงมากรุงเทพฯ ไปสุดที่จ.สมุทรปราการ มีความสัมพันธ์กับรอยเลื่อน แม่ปิง ที่พาดผ่าน จ.นครสวรรค์ จ.กำแพงเพชร ในแนว ทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ ยาว 50-100 ก.ม.

พร้อมระบุ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่รอยเลื่อนนี้ จะกระทบภาคกลางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี อุทัยธานี และลพบุรี เตรียมนำข้อมูลเสนอ ทส. เพื่อสำรวจและเพิ่มแนวรอยเลื่อนที่มีพลังของประเทศไทยจาก 13 จุด เป็น 14 จุด

กระทั่งล่าสุด นายเลิศสิน รักษาสกุลวงศ์ ผอ.สำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากร ธรณี ทส. ต้องออกมายืนยันว่า ประเทศไทยมีรอยเลื่อนเพียง 13 จุดเท่านั้น

ซึ่งรอยเลื่อนเหล่านี้มีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวไม่เกิน 6.9 ริกเตอร์

ส่วนรอยเลื่อนนครนายก และรอยเลื่อนองครักษ์ หลังจากติดตามมา 3 ปี มั่นใจว่า รอยเลื่อนองครักษ์เป็นรอยเลื่อนที่ไม่มีพลัง ขณะที่รอยเลื่อนนครนายก มีความมั่นใจ 75 เปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นรอยเลื่อนไม่มีพลัง

เนื่องจากไม่มีลักษณะเหมือนรอยเลื่อนที่มีพลัง เช่น ลักษณะแม่น้ำที่บิดเบี้ยว มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ใกล้รอยแตกร้าว

แต่ก็ต้องจับตาต่อไป


สำหรับรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย 13 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.รอยเลื่อนแม่จันและแม่อิง
2.รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน
3.รอยเลื่อนเมย
4.รอยเลื่อนแม่ทา
5.รอยเลื่อนเถิน
6.รอยเลื่อนพะเยา
7.รอยเลื่อนปัว
8.รอยเลื่อนอุตรดิตถ์
9.รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์
10.รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์
11.รอยเลื่อนท่าแขก
12.รอยเลื่อนระนอง
13.รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย




จาก .................. ข่าวสด คอลัมน์ที่ 13 วันที่ 5 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 06-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ความจริงจากภัยพิบัติ ..... คนไทยทำกันเอง



จาก .................. ไทยรัฐ วันที่ 6 เมษายน 2544
รูป
  
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 06-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


วิกฤติกัมมันตภาพรังสีกับการเตรียมรับมือของไทย ........................ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ธวัช ชิตตระการ


จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่น ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล อีกทั้งส่งผลกระทบให้เตาปฏิกรณ์ ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดทำให้สารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลและแพร่กระจายไปหลายพื้นที่นั้น ขอแยกแยะสถานการณ์ของสารกัมมันตภาพรังสีที่หลายคนกำลังวิตกกังวลอยู่ออกเป็น 6 ประเด็น ดังนี้


ประเด็นที่ 1 สารกัมมันตรังสีและกัมมันตภาพรังสีคืออะไร

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสารกัมมันตรังสีและกัมมันตภาพรังสีที่รั่วออกมาจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง ซึ่งกรณีนี้พบว่ากว่าที่จะได้พลังงานนิวเคลียร์ออกมานั้น เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ (U-235) จะต้องจับเอาอนุภาคนิวตรอนเข้าไปรวมกับนิวเคลียสของ U-235 กลายไปเป็น U-236 ซึ่งในภาวการณ์ขณะนั้น U-236 ไม่เสถียรเอามากๆ ก็จะแตกตัวออกมาเป็นสองเสี่ยงใหญ่ๆ (เราเรียกว่าผลผลิตฟิสชัน) พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานจลน์ออกมาประมาณ 200 MeV ต่อฟิสชัน พลังงานจลน์ส่วนนี้ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อนที่นำเอาไปต้มน้ำ ให้เดือดกลายไปเป็นไอ แล้วไปหมุนกังหันในเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาให้เราได้ใช้กัน

นอกเหนือจากผลผลิตฟิสชันและพลังงานจลน์ที่ปลดปล่อยออกมาแล้ว ในแต่ละการแตกตัวยังได้อนุภาคนิวตรอนใหม่ออกมาเฉลี่ยประมาณ 2-3 ตัว อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา และอนุภาคแกมมาที่ถูกปลดปล่อยพร้อมๆ กับการเกิดฟิสชันแล้ว พวกผลผลิตฟิสชันที่พวกเราคุ้นหู เช่น I-131, Cs-137, Co-60 และไอโซโทปรังสีอีกมากมายก็จะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตอายุตั้งแต่ไมโครวินาทีไปจนถึงหลายพันล้านปี โดยไอโซโทปรังสีที่เกิดมาหลังจากการเกิดฟิสชันนั้น ตามปกติแล้วจะยังคงปะปนอยู่ภายในแท่งเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถนำมาแยกเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ อุตสาหกรรม และการเกษตรได้อย่างดี และส่วนใหญ่ยังสามารถแยกเอา U-235 ไปใช้ประโยชน์ด้วยการไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงแท่งใหม่ได้อีก


ประเด็นที่ 2 ความสามารถในการแพร่กระจายในชั้นบรรยากาศเป็นไปในลักษณะใด/ไกลเท่าไร

การแพร่กระจายในชั้นบรรยากาศนั้นขึ้นอยู่กับว่าแรงระเบิดของเตาปฏิกรณ์จะ รุนแรงมากเพียงใด ถ้ารุนแรงมากก็อาจจะส่งให้ไอน้ำและสารกัมมันตรังสีที่ปะปนออกมาขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสูงได้ หลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางและกระแสแรงลมที่จะพัดพามวลของฝุ่นกัมมันตรังสีเหล่านี้ไป ซึ่งจากแบบจำลองเบื้องต้นนั้นมีโอกาสที่จะพัดข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังฝั่งตะวันตกของรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ แต่ถ้าระยะยาวอาจจะแพร่ไปทั่วโลกได้


ประเด็นที่ 3 อันตรายจากสารกัมมันตรังสี แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ

1. ถ้าร่างกายรับเอาสารกัมมันตรังสีเข้าไปในร่างกาย จะอันตรายมาก เพราะรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากสารกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมา จะทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่สารกัมมันตรังสีเหล่านั้นไปสะสมอยู่เช่น I-131 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปสะสมอยู่ที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) ซึ่งจะปลดปล่อยรังสีแกมมาออกมา ซึ่งเซลล์ของต่อมไทรอยด์จะถูกทำลายไปตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีสารกัมมันตรังสีบางตัวที่เป็นสารพิษเช่นพลูโทเนียม (Pu) ถ้าร่างกายรับเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็อาจจะเสียชีวิตได้

2. ถ้าร่างกายรับรังสีจากภายนอกร่างกาย เนื้อเยื่อในแต่ละบริเวณของร่างกายจะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน


ประเด็นที่ 4 ประชาชนทั่วไป (ในไทย) จะสังเกตได้อย่างไรว่าได้รับสารดังกล่าว/เตรียมป้องกันตัวเองอย่างไร

ประชาชนทั่วไป (ในไทย) โดยปกติก็จะได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ทุกวันอยู่แล้ว ก็ขอให้ติดตามข่าวสารจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งมีเครื่องมือวัดปริมาณรังสีในอากาศที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติติดตั้งตรวจสอบแบบ Real time ไว้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจำนวน 8 แห่ง


ประเด็นที่ 5 ถ้ามีความจำเป็นจะต้องไปในพื้นที่ ที่อาจมีการปนเปื้อนจริงๆ จะทำอย่างไร

ถ้ามีความจำเป็นจะต้องไปในพื้นที่ที่อาจมีการปนเปื้อนจริงๆแล้ว ควรจะพก Pocket dosimeter ติดตัวไปด้วย เพราะจะช่วยบอกว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเรารับโดนรังสีเข้าไปในร่างกายมากน้อยเพียงใด ใกล้กับระดับมาตรฐานที่ 50 mSv ต่อปีที่ยอมรับได้หรือยัง และเมื่อกลับมาที่เมืองไทยแล้วควรจะผ่านการวัดปริมาณรังสีทั้งร่างกาย เพื่อการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ที่ตั้งเครื่องวัดที่สนามบินสุวรรณภูมิ (Total count dose) และถ้าเราอยู่ในข่ายเสี่ยงที่ได้รับ I-131 เข้าไปในร่างกาย ก็ควรจะพักแยก และไม่ควรพบปะครอบครัวและญาติประมาณ 1-2 อาทิตย์


ประเด็นที่ 6 ความเป็นไปได้ที่อาหารนำเข้าจากญี่ปุ่นจะมีสารปนเปื้อนหรือไม่

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ แต่ก็ต้องเชื่อระบบทั้งของญี่ปุ่นและฝ่ายไทยที่น่าจะมีมาตรฐานสูงพอที่จะตรวจวัดว่าจะมีสารอาหารถูกปนเปื้อนก่อนนำเข้าประเทศหรือไม่ โดยเฉพาะนมผงเลี้ยงเด็กนั้นสำคัญที่สุด เพราะภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กจะน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก อย่างไรก็ตาม ถ้ามีข้อสงสัยก็น่าจะส่งให้หน่วยวิจัยฟิสิกส์นิวเคลียร์ ภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยหลักๆ ได้ช่วยตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้




จาก .................. กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 6 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 12-04-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้! ภัยจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์




จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.จนถึง 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว พบว่าอุทกภัยระลอกล่าสุดที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ทำให้หลายพื้นที่ใน 10 จังหวัดได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรัง ชุมพร พังงา นราธิวาส สตูล สงขลา และ กระบี่ มีประชาชนเดือดร้อน 6 แสนกว่าครัวเรือน หรือ 2 ล้านกว่าคน เสียชีวิตประมาณ 60 ราย

สาเหตุของพายุฝน-อุทกภัยร้ายแรงในภาคใต้หนนี้ นักวิชาการชี้ว่า นอกจากปรากฏ การณ์ 'ลานิญ่า-โลกร้อน' จะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว การกระทำของมนุษย์เองก็มีส่วนทำให้ภัยน้ำท่วม-น้ำป่า-ดินถล่มภาคใต้รุนแรงกว่าปกติด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำลายป่าธรรมชาติ สร้างสิ่งกีด ขวางทางน้ำ ตัดถนน หรือใช้พื้นที่ผิด ประเภท!

นายธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนว่า สืบเนื่องจากปรากฏการณ์ "เอลนิโญ่" เมื่อปลายปีพ.ศ.2552 ถึงต้นปีพ.ศ.2553 ทำให้เกิดภัยแล้งอย่างหนักในขณะนั้น

ต่อมาเดือนก.ค.2553 ก็เริ่มเข้าสู่ปรากฏการณ์ "ลานิญ่า" ในระยะแรกยังไม่เห็นผลกระทบมากนัก จนเมื่อเข้าสู่เดือนต.ค.เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมในภาคกลาง และภาคอีสาน

เมื่อเข้าสู่เดือนพ.ย.-ธ.ค.2553 ปรากฏการณ์ลานิญ่าทำให้เกิดฝนตกหนักในภาคใต้ และส่งผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ขณะที่ภาคกลางหนาวเย็น ซึ่งการคาดการณ์ด้วยโมเดลพยากรณ์อากาศก่อนหน้านี้ปรากฏการณ์ลานิญ่า จะหมดลงในเดือนมี.ค.2554 แต่จากโมเดลล่าสุด ลานิญ่ามีผลต่อสภาพอากาศของประเทศไทยไปอีก 2 เดือน คือสิ้นสุดเดือนพ.ค.2554 หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลตามปกติ

นายธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า สภาพอากาศแปรปรวนเป็นผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่นนั้น คิดว่าไม่เกี่ยวกัน เป็นเพียงการคาดการณ์ของแต่ละบุคคลมากกว่า



น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้! ภัยจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์



อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไปภัยพิบัติจะอยู่ใกล้ตัวมากขึ้น การเตรียมการแจ้งข้อมูลข่าวสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ขอให้ประชาชนติดตามคำแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด

ด้าน นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กลุ่มในภาคฐานทรัพยากร กล่าวว่า

จากการติดตามข่าวพบว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุเป็น 2 กระแส

กระแสหนึ่งบอกว่าเกิดจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนพัดเข้าสู่ประเทศไทย เหมือนมรสุมทั่วไป ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนัก

อีกกระแสบอกว่าเป็นผลกระทบจากสึนามิในญี่ปุ่น ทำให้กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศ

แต่ถ้าดูข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาและคำบอกเล่าของคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป พบว่า อากาศไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ที่ผ่านมาในช่วงเม.ย.-พ.ค.จะพบเพียงพายุฤดูร้อนในแถบ จ.เชียงราย แต่ขณะนี้กลับมาเกิดที่ภาคใต้

ทั้งหมดนี้น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศของโลก (โลกร้อน) ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร

อย่างไรก็ตาม "สิ่งกีดขวางทางน้ำ" เช่น ถนน สะพาน ก็ทำให้สถานการณ์ในบางพื้นที่เลวร้ายยิ่งขึ้น

บางแห่งเมื่อเกิดน้ำท่วมก็ลงทุน "ยกถนน" ให้สูงขึ้น แต่ไม่สนใจขยายความกว้างของสะพาน เพราะต้องการประหยัดงบฯ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ทั้งๆที่ถ้าคำนวณปริมาณน้ำในภาคใต้ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำน่าจะลดได้เองใน 1-2 วัน

แทนที่จะทุ่มงบฯ กับการยกระดับถนน น่าจะลงทุน "ขยายสะพาน" จะดีกว่า

ส่วนที่บางคนตกใจว่า ทำไมน้ำถึงท่วมสนามบิน ถ้าสังเกตจะเห็นว่า "สนามบินนครศรีธรรมราช" เป็น "หนองน้ำ" มาก่อน และบริเวณโดยรอบก็เป็นป่าเสม็ด รวมไปถึงบริเวณมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ก็เป็นที่สาธารณะที่ชาวบ้านสงวนไว้เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ ไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร

ส่วนกรณีศึกษาเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทั้งน้ำท่วม น้ำป่า และดินถล่ม ในพื้นที่ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.จนถึงช่วงต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมานั้น พล.ต.ดร.นพรัตน์ เศรษฐกุล อาจารย์ประจำสำนักวิศวกรรมศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญปฐพีธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อธิบายเจาะลึกถึงสาเหตุว่า

พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเหมือนอยู่ในกระทะ โดยมีภูเขาล้อมรอบอยู่

ภูเขาเหล่านั้นเป็นหินแกรนิตและหินดินดานที่ผุแล้ว เนื่องจากพื้นที่ทางใต้จะมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา และในบริเวณเทือกเขาหลวงมีความลาดชันสูง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเกิดฝนตกติดต่อกันและค่อนข้างหนัก ทำให้หินที่ผุพังที่อยู่ตามยอดเขาไม่สามารถที่จะอุ้มน้ำไว้ได้

จากนั้นเมื่อมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก จึงค่อยๆกัดเซาะเศษหินที่ผุพังที่อยู่ข้างบนยอดเขาลงมาก่อน จนเกิดการรวมตัวของน้ำ เศษหิน เศษดิน และต้นไม้ต่างๆ จากยอดภูเขาที่ได้ล้อมรอบพื้นที่นั้นไหลรวมกัน จนทำให้กระแสน้ำไหลทะลักเข้าสู่หมู่บ้านในพื้นที่ ต.กรุงชิง อย่างรุนแรงและรวดเร็ว

ปัจจัยอีกประการที่ทำให้น้ำท่วมหนักใน อ.นบพิตำ พล.ต.ดร. นพรัตน์ ชี้ว่า

ปัจจุบันต้นไม้ป่าธรรมชาติค่อนข้างจะเหลือน้อย เพราะส่วนใหญ่คนที่อยู่บริเวณนั้นจะโค่นป่าเพื่อเอาพื้นที่ไปใช้ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ต้นยางพารา และยังมีการใช้พื้นที่ในลำน้ำ ถมทางน้ำบ้าง ด้านข้างก็มีถนนยกระดับสูงขึ้นมา

ตามปกติแทนที่น้ำจะไหลตามธรรมชาติของมัน แต่การที่มีคนเข้าไปใช้พื้นที่ดังกล่าวก็ทำให้การไหลของน้ำเผชิญกับอุปสรรคกีดขวาง เกิดดินถล่ม ส่งผลให้หลายหมู่บ้านในพื้นที่ประสบปัญหาภัยพิบัติ ทำให้สะพานขาด ชาวบ้านถูกตัดขาดจากพื้นที่รอบนอก

สําหรับแนวทางแก้ปัญหา พล.ต.ดร.นพรัตน์ ระบุว่า ปัญหาจากภัยธรรมชาติ เราไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้า

แม้ตอนนี้จะมีหน่วยงานทางราชการที่เกี่ยวข้องนำ "กระบอกตวงน้ำฝน" มาวัดไว้ว่า ถ้าหากปริมาณน้ำฝนมีมากกว่า 100 มิลลิเมตรภายใน 3 วัน จะต้องรายงานให้ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติทราบ

แต่เนื่องจากชาวบ้านไม่ได้มีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพื้นที่นั้นๆ วิธีที่จะช่วยได้ดี คือ เราต้องชี้แนะให้กับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านตามยอดเขา หรือหมู่บ้านที่อยู่ในบริเวณจุดเสี่ยง ให้ทราบว่าพื้นที่ที่อยู่อาศัยมีความเสี่ยงอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น มีวิธีการป้องกันอย่างไร ด้วยการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพาชาวบ้านขึ้นไปสำรวจบนเขาว่า หินที่อยู่บนยอดเขาต่างๆ นั้นผุพังในระดับใดแล้ว เสี่ยงอันตรายหรือไม่

รวมทั้งให้ศึกษาถึงความลาดชันของภูเขา หรือการเก็บตัวอย่างของหินและดินด้วยการทดสอบว่าปริมาณน้ำเท่าใด ที่จะทำให้เกิดการไหลของดินและหินเหล่านั้น โดยให้ชาวบ้านเป็นผู้เตือนตัวเองจะดีกว่าที่ต้องขึ้นอยู่กับส่วนกลาง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องคอยเป็นผู้เตือนภัยให้ชาวบ้านทราบ บางทีอาจจะสายเกินกว่าที่ชาวบ้านจะรับมือได้

"ทุกคนต้องตระหนักแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงผันผวนของภูมิอากาศโลกเป็นสัญญาณเตือนที่จะต้องปรับตัวพร้อมรับกับสถานการณ์ กรณีที่เกิดขึ้นในนครศรีธรรมราชเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในขณะนี้ ได้เข้าไปหาชุมชนพบว่ายังไม่มีความรู้พื้นฐานลักษณะทางธรณีที่ชุมชนอาศัยอยู่เลย ยังยึดอยู่กับปริมาณน้ำฝนเป็นหลัก เพียงแค่รู้ว่าเมื่อฝนตกมากต้องอพยพ ชุมชนควรรู้ในเรื่องธรณีวิทยาของพื้นที่ด้วย" พล.ต.ดร.นพรัตน์ กล่าว


"ลานิญ่า" เป็นคำดั้งเดิมจากภาษาสเปน มีความหมายว่า "เด็กผู้หญิง" จัดเป็นปรากฏการณ์ตรงกันข้ามกับ "เอลนิโญ่" เกิดจากความผกผันของกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก

เมื่อเกิดลานิญ่า อุณหภูมิบนผิวน้ำทะเลมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกจะต่ำลงอย่างผิดปกติราว 3-5 องศาเซลเซียส ทำให้ความดันฝั่งตะวันตกต่ำกว่าความดันฝั่งตะวันออก เกิดลมพายุพัดเสริมลมสินค้าทิศตะวันออกพัดพาน้ำและอากาศที่หนาวเย็นไปยังทิศตะวันตก

ด้วยระดับน้ำทะเลซีกตะวันตกที่เพิ่มสูงกว่าสภาวะปกติ ประกอบกับลมสินค้าตะวันออกเฉียงใต้ที่หอบน้ำฝนพัดผ่านมา ทำให้ "ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ซึ่งประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคนี้ด้วย ต้องเผชิญกับฝนตกหนัก น้ำท่วม และหน้าดินพังทลายอยู่บ่อยครั้ง

แต่ข้อดีของลานิญ่า คือ น้ำเย็นใต้มหาสมุทรจะยกตัวขึ้นแทนที่กระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวน้ำ ทำให้เกิดธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝูงปลาชุกชุม




จาก .................. ข่าวสด วันที่ 12 เมษายน 2544
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:17


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger