![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
โลกร้อน : วินิจ รังผึ้ง การระบาดของโรค ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยและการท่องเที่ยวของ โลกอย่างหนัก ด้วยเพราะเชื้อไวรัส เอ เอช1 เอ็น1 มีการแพร่ระบาดออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็วกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และอาจจะมากกว่านั้นกว้างขวางกว่านั้น เพราะบางประเทศที่ไม่มีมาตรฐานด้านการสาธารณสุขก็จะไม่มีการรายงาน ไม่มีการจดบันทึก หรือตัวเลขรายงานการระบาดจากทุกประเทศทั่วโลกในขณะนี้ก็อาจจะต่ำกว่าความ เป็นจริงไปมาก ด้วยนักวิชาการสาธารณสุขก็ยังคาดว่าจะเป็นเพียงครึ่งของการระบาดจริง เท่านั้น เพราะคนที่เป็นหรือได้รับเชื้อแล้วรักษาเองโดยไม่ไปตรวจรักษาตามสถานพยาบาล ก็มีอยู่อีกมากมาย เจ้าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้จึงสามารถสร้างความตื่นตระหนกและหวาดวิตกกันไปทั่วโลก ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเดินทางท่องเที่ยวไปไหนไกลบ้าน เพราะกลัวจะติดหวัดหรือหวั่นเกรงในความไม่สะดวกต่างๆในการเดินทางไกล จึงทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมีปริมาณลดลงไปด้วย ความจริงในแวดวงนักวิชาการสาธารณสุขและนักระบาดวิทยาของไทยนั้น ก็ได้มีการคาดการณ์ล่วงหน้ามาตั้งแต่ปีที่แล้วว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และ ไวรัสสายพันธุ์อื่นๆจะมีการกรายพันธุ์และพัฒนาตัวเองรวมทั้งมีการแพร่ระบาด จนยากที่จะควบคุม เพราะสาเหตุใหญ่ที่มาจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อมที่ เป็นตัวเอื้ออำนวยให้ไวรัสและเชื้อโรคชนิดอื่นๆแพร่กระจายขยายตัวได้มากมาย ยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะทำให้โรคเขตร้อนต่างๆมีการแพร่ระบาดรุนแรงยิ่งขึ้นและยังมีการขยาย ตัวออกไปในวงกว้างโดยเฉพาะการแพร่ระบาดเข้าไปยังเขตหนาวที่ปัจจุบันก็มี อุณหภูมิแปรปรวนและสูงขึ้น ทำให้โรคบางชนิดที่ไม่เคยมีก็เกิดมีขึ้นได้ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่าไวรัสและเชื้อโรคต่างๆ มีการขยายตัวขึ้นเป็นทวีคูณจากการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อม ก็คือ ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยของเรามีปริมาณฝนตกลงมามากกว่าปรกติ คือตกมาตลอดตั้งแต่ฤดูร้อนต่อเนื่องเข้ามาสู่ฤดูฝน และช่วงวันที่ฝนไม่ตกอากาศก็มักจะร้อนจัด ทำให้อากาศมีสภาพร้อนชื้นอย่างมาก จนส่งผลให้พืชพันธุ์เจริญเติบโต พืชผลทางการเกษตรติดดอกออกผลกันดกดื่นเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลิ้นจี่ เงาะ มังคุด ทุเรียน ลำไย ออกผลเต็มต้นกันจนราคาตกต่ำติดดินจนต้องมีการปิดถนนประท้วงกันไปมากมาย ซึ่งนั่นเป็นผลิตผลและการขยายตัวแพร่พันธุ์ของพืชขนาดใหญ่ๆ เชื้อไวรัสและเชื้อโรคต่างๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่ออุณหภูมิของโลกและสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวเผยแพร่เผ่า พันธุ์ มันก็เลยออกลูกออกหลานแพร่ระบาดกันจนเต็มบ้านเต็มเมือง และเมื่อโลกมนุษย์ทุกวันนี้เป็นเสมือนยุคที่โลกไร้พรมแดน การเดินทางไปมาหาสู่กันทำได้รวดเร็วสะดวกสบายในทุกมุมโลก เชื้อโรคก็ถือโอกาสทำตัวเป็นผู้โดยสารติดตามผู้คนไปทุกหนทุกแห่ง การควบคุมโรคระบาดจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดูเหมือนภาวะโลกร้อนจะเป็นสาเหตุให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและเกิด โรคระบาดที่ร้ายแรงขึ้นทุกที หากถ้าเราไม่ช่วยกันหยุดยั้งหรือชะลอภาวะโลกร้อนกันตั้งแต่วันนี้ ห้วงเวลาที่เหลือก็จะเป็นห้วงเวลาที่มนุษย์จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างลำบาก ยากแค้นแสนสาหัส ความจริงแล้วสาเหตุใหญ่ของภาวะโลกร้อนนั้นก็เกิดขึ้นจากมนุษย์ปล่อยก๊าซ เรือนกระจกขึ้นไปสู่บรรยากาศเป็นจำนวนมากจนก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทนที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากฟอสซิลทั้งหลายเช่นน้ำมัน ถ่านหิน และเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดพลังงาน เกิดความร้อน และเกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเราท่านทุกคนต่างก็มีส่วนด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะทางตรงหรือทาง อ้อม ทางตรงก็เช่นการขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแล้วปล่อยไอเสียออกมา ทางอ้อมก็เช่นการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่นอกจากจะก่อให้เกิดความร้อนแล้ว การผลิตไฟฟ้าก็ต้องใช้น้ำมัน ใช้ถ่านหิน ใช้พื้นที่ป่ามาสร้างเขื่อนเป็นต้น นอกจากนี้การใช้สินค้าทุกชนิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งสินค้าเหล่านั้นต้องใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ ผ่านกระบวนการผลิตจากโรงงาน ผ่านกระบวนการขนส่ง ซึ่งล้วนมีส่วนก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกด้วยกันทั้งสิ้น ความจริงเจ้าปรากฏการณ์เรือนกระจกนั้นมิใช่จะเป็นสิ่งเลวร้ายด้าน เดียว แต่กลับมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างสูงยิ่งหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ในภาวะที่สมดุล เพราะปรากฏการณ์เรือนกระจกนั้นมีส่วนช่วยให้พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิที่อบอุ่น เพราะก๊าซเรือนกระจกเช่นก๊าซคาบอนไดออกไซด์ และไอน้ำที่อยู่ในชั้นบรรยากาศนั้น ทำหน้าที่เป็นเสมือนแผ่นกระจกในเรือนกระจกที่ชาวเมืองหนาวใช้เป็นโรงเรือน สำหรับปลูกพืช ซึ่งแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังโลกส่วนใหญ่จะสะท้อนกลับไป แต่จะมีความร้อนและรังสีบางส่วนที่เมื่อสะท้อนจากพื้นโลกกลับขึ้นไปก็จะ สะท้อนก๊าซเรือนกระจกกลับลงมายังผิวโลกอีก นั่นจึงทำให้โลกใบนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 องศาเซลเซียส ซึ่งหากไม่มีปรากฏการณ์เรือนกระจกเช่นนี้ โลกก็จะมีอุณหภูมิหนาวเย็นถึงติดลบ 20 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นโลกจะมีสภาพเหมือนยุคน้ำแข็ง มนุษย์ สัตว์ และพืชก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่รักษาสมดุลให้ปรากฏการณ์เรือนกระจกอยู่ในภาวะแห่งความพอดี โดยเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปในบรรยากาศอย่างมากมายอยู่ทุกเมื่อเชื่อ วัน ปริมาณความร้อนและรังสีที่ถูกกักขังไว้ในเรือนกระจกที่หนาแน่นขึ้นก็จะเพาะ บ่มให้โลกร้อนขึ้นๆ จนเป็นผลให้เกิดความแปรปรวนของฤดูกาลและสภาพดินฟ้าอากาศ จนก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเช่น น้ำแข็งในแถบขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว แผ่นดินไหว ไฟป่า คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง พายุเฮอริเคน พายุใต้ฝุ่นที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ฝนตกหนัก น้ำท่วมใหญ่ ดินถล่ม ระดับน้ำทะเลท่วมสูงขึ้น ชายฝั่งถูกกัดเซาะ รวมทั้งโรคระบาดในเขตร้อนจะแพร่ระบาดทวีความรุนแรงขึ้นและขยายพื้นที่การ ระบาดไปทั่วโลก ธรรมชาติสร้างสมดุลไว้บนผืนโลกจนเกิดพืช สัตว์และมนุษย์ขึ้นมาอาศัยอยู่บนผืนโลกอย่างมีความสุข หากเราทำลายความสมดุลให้สูญสิ้นไปแล้วเราจะอยู่อย่างไรบนโลกใบนี้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อดูแลรักษาโลกของเราวันนี้คงยังไม่สาย ด้วยการร่วมใจกันประหยัดพลังงาน ใช้ทรัพยากรของโลกอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพียงเท่านี้เราก็จะมีส่วนดูแลรักษาโลกใบนี้ร่วมกัน จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 11 สิงหาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
โลกร้อนส่งผล 100 ปี ระดับน้ำทะเลพุ่ง 1 ม. ![]() องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชื่อดังของโลก ประเมินว่า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงกว่า 1 เมตร ในราว 100 ปีข้างหน้า กองทุนสัตว์ป่าโลก หรือ "ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ" (WWF) ซึ่งเป็นองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่าในปีพ.ศ. 2643 หรือเกือบ 100 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นถึง 1.2 เมตร ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่สหประชาชาติคาดการณ์เอาไว้ที่ 59 เซนติเมตรถึง 1 เท่าตัว "ภาวะโลกร้อนจะส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลก ทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นและเกิดน้ำท่วม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชา กรถึง 1 ใน 4 ของจำนวนประชากรโลก ดังนั้นเราจึงตัดสินใจแจ้งเตือนเรื่องดังกล่าวก่อนที่จะมีการประชุมแก้ปัญหา โลกร้อนที่ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนธันวาคม 2552" รายงานกองทุนสัตว์ป่าโลก ระบุ จาก : ข่าวสด วันที่ 7 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
อุณหภูมิโลกเพิ่ม 1 องศาฝนกระหน่ำแรงขึ้น 6% งานวิจัยเอ็มไอที-คาลเทคชี้พายุฝนรุนแรงจะเพ่มขึ้น 6% หากอุณภูมิโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 องศาเซลเซียส (ภาพประกอบไซน์เดลี) แบบจำลองนักวิจัยเอ็มไอที-คาลเทคชี้อนาคต พายุฝนพัดกระหน่ำรุนแรงขึ้นเพราะโลกร้อน ระบุทุกๆ 1 องศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น ฝนรุนแรงขึ้น 6% เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำไอน้ำในชั้นบรรยากาศก็สูงขึ้นด้วย งานวิจัยอื่นๆ ก่อนหน้านี้ชี้ว่า ปริมาณเฉลี่ยของฝนและหิมะประจำฤดูกาลจะเพิ่มขึ้นทั้งในบริเวณเส้นศูนย์สูตร และบริเวณขั้วโลก แต่ปริมาณฝนจะลดลงในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร อย่างไรก็ดีไซน์เดลีระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทราบความถี่และความรุนแรง ของพายุฝนที่จะกระหน่ำลงมา ซึ่งพายุใหญ่จะนำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมและการกัดเซาะดินที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดงานวิจัยของพอล โอ'กอร์แมน (Paul O'Gorman) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากภาควิชาโลก บรรยากาศและดวงดาว แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์หรือเอ็มไอที (MIT) และทาพิโอ ชไนเดอร์ (Tapio Schneider) ศาสตราจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมและวิศวกรรมแห่งสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย หรือคาลเทค (Caltech) สหรัฐฯ ได้ร่วมกับศึกษาเพื่อตอบโจทย์ข้างต้น โดยแบบจำลองที่ทั้งสองใช้ศึกษาชี้ว่า พายุฝนรุนแรงจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6% เมื่ออุณหภูมิพื้นผิวโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส พร้อมกันนี้ การศึกษาต่างหากของทีมนักวิจัยเอ็มไอทีเมื่อต้นปีนี้ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และนโยบายการเปลี่ยนระดับโลก ชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่รวดเร็วและใช้ในวงกว้างแล้ว พบว่าอุณหภูมิพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 5.2 องศาเซลเซียสก่อนสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งอุณภูมิดังกล่าวเป็นค่ากลางของช่วงอุณภูมิที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตซึ่ง อยู่ระหว่าง 3.5-7.4 องศาเซลเซียส โดยมีเปอร์เซนต์ความน่าจะเป็นสูงถึง 90% ด้าน ริชาร์ด อัลลัน (Richard Allan) นักวิจัยอาวุโสแห่งศูนย์วิทยาศาสตร์ระบบสิ่งแวดล้อม (Environmental Systems Science Centre) มหาวิทยาลัยเรดดิง (Reading University) ในอังกฤษกล่าวว่า งานวิจัยของโอ'กอร์แมนเป็นก้าวสำคัญที่จะเข้าใจพื้นฐานทางกายภาพของพายุฝน รุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ แต่ยังต้องมีงานวิจัยที่มากกว่านี้ เพื่อให้เกิดการยอมรับในแบบจำลองที่ใช้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของพายุฝนรุนแรง " พื้นฐานของเหตุผลที่ศึกษาการเพิ่มขึ้นของฝนซึ่งรุนแรงขึ้น คืออากกาศที่ร้อนขึ้น ทำให้มีไอน้ำมากขึ้นด้วย ดังนั้นภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น ก็จะมีไอน้ำในชั้นบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ปริมาณพายุฝนรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นด้วย" โอ'กอร์แมนกล่าว อย่างไรก็ดี นักวิจัยกล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงข้ามกับที่เราคาดคิดกัน นั่นคือพายุฝนที่รุนแรง จะไม่เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับความจุของความชื้นในชั้นบรรยากาศ. จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ภาวะ"โลกร้อน"ส่งผล "เอลนิญโญ"เกิดถี่-เอเชียแล้ง ![]() อาจารย์ มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เตือนว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ "เอลนิญโญ" บ่อยครั้งขึ้น และยังส่งผลให้พื้นที่บางจุดในทวีปเอเชียประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรง วารสาร วิทยาศาสตร์ "เนเจอร์" ตีพิมพ์ผลการศึกษาของ เบน เคิร์ตแมน อาจารย์มหาวิทยาลัยไมอามีและคณะ ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือภาวะโลกร้อน จะทำให้ปรากฏการณ์เอลนิญโญเกิดถี่ขึ้น เพราะนอกจากเกิดเอลนิญโญฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกทุก 4-5 ปีแล้ว ยังจะเกิดเอลนิญโญทางตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกถี่ขึ้น แต่จะไม่เกิดพร้อมกัน ส่งผลให้เอเชียแห้งแล้งยิ่งขึ้น ขณะที่เฮอริเคนถล่มฝั่งตะวันออกของสหรัฐและประเทศในทะเลแคริบเบียนจะรุนแรง ขึ้น รายงานแจ้งว่า เอลนิญโญเป็นปรากฏการณ์กระแสน้ำอุ่นในทะเลบริเวณเส้นศูนย์สูตรทางมหาสมุทร แปซิฟิกตะวันออก ไหลไปแทนที่กระแสน้ำเย็นบริเวณเส้นศูนย์สูตรทางมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก และชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทำให้อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย และภาคตะวันออกของบราซิลแห้งแล้ง แต่ในประเทศสหรัฐ อเมริกาบริเวณฝั่งอ่าวเม็กซิโก และหลายพื้นที่ของภูมิภาคอเมริกาใต้ จะพบภัยธรรมชาติฝนตกหนัก ทำให้ผิวน้ำทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติกมีอุณหภูมิลดลง ช่วยบรรเทาการก่อตัวและความรุนแรงของเฮอริเคน จาก : ข่าวสด วันที่ 30 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ สัญญาณเตือนต้องแก้โลกร้อนอย่างจริงจัง คุณตา-คุณยายได้รับความช่วยระหว่างเกดอุทกภัยในฟิลิปปินส์ ผู้เชี่ยวชาญชี้น้ำท่วมครั้งใหญ่ใน ฟิลิปปินส์เป็นสัญญาณบ่งชี้ต้องแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง เตือนหลายล้านชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ด้านองค์กรการกุศลอังกฤษระบุอีก 6 ปีข้างหน้าประชากรโลก 54% จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ชาวฟิลิปปินส์จะคุ้นเคยกับพายุไต้ฝุ่น ซึ่งกระหน่ำลงมาทุกปีราวๆ ลูกอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ “มหาอุทกภัย” จากพายุ “กิสนา” (Ketsana) ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการราว 240 คนนั้น กลับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงผิดปกติสำหรับผู้คนในท้องที่นั้น ซึ่งเอเอฟพีระบุว่า ปริมาณฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง 9 ชั่วโมงในกรุงมนิลานั้น มากกว่าปริมาณฝนจากเฮอร์ริเคนแคทรินา (Hurricane Katrina) ที่ถล่มนิวออร์ลีนส์ของสหรัฐฯ เสียอีก แอนโธนี กอเลซ (Anthony Golez) หัวหน้าหน่วยป้องกันภัยพลเรือนของฟิลิปปินส์ และพริสโก นิโล (Prisco Nilo) หัวหน้าหน่วยพยากรณ์สภาพอากาศของฟิลิปปินส์ ต่างพิศวงต่อการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดของไต้ฝุ่นซึ่งถล่มประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กอเลซระบุว่า ในเดือน เม.ย.ซึ่งควรจะเป็นฤดูร้อนสำหรับฟิลิปปินส์ แต่กลับมีพายุไต้ฝุ่นถึง 3 ลูกพัดถล่มประเทศ โดยหนึ่งในนั้นกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินถล่มซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 250 คนทางตอนใต้ของเมืองหลวง และพายุไต้ฝุ่นในช่วงเดือน มิ.ย.ยังมีเส้นทางที่เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติ โดยเคลื่อนตัวผ่านทางตอนเหนือและส่วนกลางของเกาะลูซอน (Luzon) เป็นครั้งแรก และสำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิต ผู้คนกว่า 12 ล้านคน ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมาก่อน ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากต่อแถวรับความช่วยเหลือ “เมื่อ คุณลองสังเกตข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คุณจะเห็นว่าปีนี้และปีที่ผ่านมาเป็นปีที่แปลกประหลาดมาก และเราก็ทำได้เพียงสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศเท่านั้น” กอเลซกล่าว “เรา ไม่อาจกล่าวโทษเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นเพราะฝน เราทราบว่านี่เป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องโต้เถียงกันเรื่องนี้อีก นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจำเป็นต้องเตรียมตัว นี่เป็นเพียงประสบการณ์แรกของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมตัวมากกว่านี้ และเราต้องแก้ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” มาร์ก เดีย (Mark Dia) นักรณรงค์ของกรีนพีซให้ความเห็นผ่านสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่น ทางด้าน อีโว เดอ โบร์ (Yvo De Boer) ประธาน สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาว่าด้วยโลกร้อน ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ กล่าวว่า น้ำท่วมในฟิลิปปินส์นั้นเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นที่โลกต้องตกลงสัญญาในการ จัดการปัญหาโลกร้อนก่อนเส้นตายในเดือน ธ.ค.นี้ ภายในการเจรจาที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก โบร์กล่าวว่าข้อตกลงร่วมกันระดับโลกนี้จะรับประกันว่า ความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้วอย่างที่เกิดขึ้นนี้จะลดลง ตามผลของนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการปฏิบัติอย่าง จริงจัง ทั้งนี้ผู้ร่วมเจรจาในเวทีของสหประชาชาติพยายามนำร่างหนังสือในสองประเด็น หลักๆ ที่ยังตกลงกันไม่ได้คือ เรื่องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเรื่องความร่วมมือทางด้านการเงินขึ้น มาพิจารณา เพื่อหาข้อสรุปสำหรับการประชุมที่โคเปนเฮเกน ขณะที่ จอส เบอร์เซลส์ (Jose Bersales,) นักมนุษยธรรมและผู้อำนวยการกิจการฉุกเฉินขององค์กรการกุศล “เวิร์ลวิชัน” (World Vision) เตือนว่าพายุที่ฟิลิปปินส์เหมือนกับหายนะของผู้ที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งมักไม่ได้เตรียมการเพื่อรับมือกับพายุ และยังเป็นเสียงปลุกให้โลกเตรียมตัวในการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศที่โคเปนเฮเกนในปลายปีนี้ ผู้ประสบอุทกภัยในฟิลิปปินส์กำลังเก็บกวาดบ้านเรือน หลังน้ำลด (ภาพทั้งหมดจากเอเอฟพี) ทางเวิร์ลวิชันยังกล่าวถึงคำพยากรณ์ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศหรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนจะมีความรุนแรงขึ้น มีกระแสลมรุนแรงขึ้นและมีพายุฝนหนักขึ้นด้วย ซึ่งภัยพิบัติในฟิลิปปินส์ครั้งนี้เป็นเหมือนหายนะทำลายล้างสำหรับประชากร ของประเทศ 43% หรือ 36 ล้านคน ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 ดอลลาร์ และมีหมอ 1 คนที่ต้องดูแลผู้ป่วย 1,700 คน ซึ่งคนจำนวนนี้ต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อรับมือกับพายุอันเลวร้าย นอกจากนี้งานวิจัยขององค์กรการกุศลออกซ์แฟม (Oxfam) ของอังกฤษยังระบุด้วยว่า ในอีก 6 ปีข้างหน้าจะมีประชากรโลก 54% หรือ 375 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ภาวะโลกร้อน...หนุนพายุเขตร้อนแรงและถี่ ![]() ส่งผลคนจนเอเชียขาดแคลนอาหาร อิทธิพลของไต้ฝุ่น “กิสนา” ที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ฟิลิป ปินส์กลายเป็นเมืองบาดาลโดยฉับพลันมีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คน ก่อนที่จะเคลื่อนตัวมาที่เวียดนามซึ่งคร่าชีวิตผู้คนนับ 100 และลาวนับเป็นเรื่องโชคดีว่าก่อนจะเข้าประเทศไทย กิสนาแปรสภาพเป็นพายุดีเปรสชันไปแล้ว คนไทยได้รับผลกระทบน้อยลงไป ยังไม่ถึงขั้นต้องเสียชีวิต เพียงแต่ทำให้บ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคเสียหาย แต่ยังไม่ทันที่จะแก้ไขความเสียหายและเยียวยาจิตใจของผู้คน ล่าสุดทางการฟิลิปปินส์ออกประกาศเตือนในวันศุกร์ที่ผ่านมาให้เตรียมรับมือ กับพายุไต้ฝุ่นลูกใหม่ “ป้าหม่า” คาดว่าก่อให้เกิดปริมาณฝนตกน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับพายุไต้ฝุ่น “กิสนา” นอกจากนี้ในบ้านเรามีคำเตือนให้ระวังพายุฝนจากมหาสมุทรอิน เดียอ่าวเบงกอล จะเป็นพายุไซ โคลน ซึ่งจะพัดเข้าทางภาคใต้ของไทย บริเวณสตูล ภูเก็ต พังงา ระนอง ในระยะ 2-3 วันนี้ จะว่าไปปรากฏการณ์ของพายุต่าง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติของฤดูฝนในประเทศที่อยู่แนวเส้นศูนย์สูตร เรียกว่าพายุหมุนเขตร้อน เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่แถวฟิลิป ปินส์ ที่มีระดับอ่อนสุดคือดีเปรสชันไปจนถึงไต้ฝุ่น กล่าวคือ ความแรงลมความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางจะก่อให้เกิดดีเปรสชันมีค่าไม่เกิน 33 นอตต่อชั่วโมง พายุโซนร้อนความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าระหว่าง 34-63 นอตต่อชั่วโมง และกลายมาเป็นพายุไต้ฝุ่นอยู่ที่ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าตั้งแต่ 64 นอตขึ้นไป อย่างไรก็ตาม มีการกำหนดว่าพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก และมีความแรงของลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุมากกว่า 33 นอต จะเริ่มเรียกชื่อพายุ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาโลก ได้จัดรายชื่อเรียกพายุหมุนเขตร้อน ซึ่งเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกไว้เป็นสากล ตามลำดับเพื่อง่ายในการเก็บบันทึก ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเกิดขึ้นของพายุในมหาสมุทรแปซิฟิก ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติปกติ เป็นพายุตามฤดูกาลของช่วงปลายฤดูฝน แต่นับจากนี้ไปพายุดังกล่าวจะมีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้น อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ถึงเวลาที่ประเทศในแถบภูมิภาคนี้ต้องเตรียมรับมือและป้องกัน ต้องติดตั้งสัญญาณเตือนให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง แต่ที่ผ่านมาแนวทางการเตรียมรับมือในบ้านเราทำกันเป็นฤดูกาลเหมือนกับปัญหา หมอกควันที่จะออกมาแก้ปัญหาในช่วงเกิดเหตุ 1-2 เดือนแล้วหายไป “ภาวะโลกร้อนทำให้อากาศแปรปรวนเกิดพายุดีเปรสชันไต้ฝุ่นในหลายประเทศเตรียม รับมือแล้ว ในบังกลาเทศมีการฝึกเด็กเป็นแสนคนให้ว่ายน้ำ หากเกิดน้ำท่วมประชากรในประเทศจะได้รอดตาย” อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยา กรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวอีกว่าในกลุ่มประเทศที่เป็นหมู่เกาะอย่างมัลดีฟส์ และฟิจิมีแผนที่จะรับมือกับการเกิดน้ำท่วมแผ่นดินหายด้วยการระดมนักวิชาการ จากทั่วโลกไปร่วมวางแผน รวมทั้งได้เชิญตนในฐานะคนไทยไปร่วมวางแผนป้องกันน้ำท่วมแผ่นดินหายอันเกิด จากภาวะโลกร้อนแล้ว ระหว่างเกิดพายุกิสนาในฟิลิปินส์ ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ซึ่งมีสำนักงานในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ได้เปิดเผยผลการศึกษา เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นรากฐานของภัยคุกคามต่อความมั่นคงทาง ด้านอาหารและพลังงานของเอเชีย” จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในเอเซีย จะมีผลกระทบต่อประเทศที่ยากจนในภูมิภาค โดยเฉพาะสตรีที่อยู่ในชนบทของประเทศกำลังพัฒนา จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากต้องพึ่งพาพืชผลเพื่อการยังชีพ การเข้าถึงทรัพยากรมีอย่างจำกัด และการขาดซึ่งอำนาจในการตัดสินใจ และมีแนวโน้มว่ากลุ่มประชากรเหล่านี้จะอพยพโยกย้าย เพื่อหาความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน นางเออซูลา พรูส รองประธานเอดีบี กล่าวว่า ความั่นคงทางอาหารและพลังงานของทุกประเทศในเอเชียถูกคุกคามโดยการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศ มากกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมดในเอเชียมีชีวิตความเป็นอยู่ต่ำกว่าเส้นความ ยากจนที่ 2 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และประชากรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่อาศัยฝนในการทำเกษตร และอาศัยในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภูมิอากาศที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ประชากรในเอเชีย 2.2 พันล้านคน พึ่งพาเกษตรกรรมในการหาเลี้ยงชีพ ปัจจุบันมีผลผลิตตกต่ำลง อันมีสาเหตุมาจากน้ำท่วม ความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล นอกจากนี้จากการวิจัยด้านพลังงาน พบว่าการเข้าถึงพลังงานที่สามารถซื้อได้อยู่ในภาวะเสี่ยงมากขึ้น การผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างกว้างขวางในภูมิภาคจะช่วยลด ความเสี่ยงลงได้ หากมีนโยบายทางการเงินต่าง ๆ ที่จะมาเร่งให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น พลังงานและแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก สำหรับคนยากจน ความรุนแรงของพายุตามฤดูกาลที่ถี่และแรงขึ้น นำมาซึ่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในเอเชียในระยะยาว จนยากจะแก้ไขแน่นอนในอนาคต. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 4 ตุลาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
ชี้โลกร้อนคุกคามคนลุ่มน้ำโขง กองทุนสัตว์ป่าโลก (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) เผยแพร่รายงานขนานการประชุมองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศโลก 2009 ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ ระบุการเปลี่ยนรูปแบบของสภาพอากาศและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงแล้ว ขณะปัญหาโลกร้อนยังคุกคามชีวิตคนอีกหลายล้านในภูมิภาคนี้ รายงานขององค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งนี้ชี้ว่า อุทกภัยรุนแรงและภัยแล้ง, การกัดเซาะชายฝั่ง, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคลื่นความร้อน ที่จะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้านี้ ส่งผลกระทบถึงผลผลิตข้าว, ผลไม้และกาแฟ และการทำประมง ซึ่งเป็นปัจจัยเลี้ยงชีวิตของผู้คนจำนวนมากในกลุ่มประชากรลุ่มแม่น้ำโขง 65 ล้านคน "ทั่วทั้งภูมิภาคนี้อุณหภูมิกำลังเพิ่มขึ้น และได้เพิ่มขึ้นแล้ว 0.5-1.5 องศาเซลเซียสในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา" ข่าวรอยเตอร์อ้างข้อความในรายงาน ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ กล่าวว่า ในขณะที่หลายพื้นที่ของภูมิภาคนี้จะมีฤดูฝนที่สั้นลง แต่คาดว่าปริมาณน้ำฝนโดยรวมกลับจะเพิ่มขึ้น หมายความว่าฝนที่ตกก็จะมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะคุกคามต่อผลผลิตทางการเกษตร และทำใหิเกิดน้ำท่วมและดินถล่มตามมา พื้นที่ลุ่มน้ำโขงที่รายงานนี้กล่าวถึงนั้น นับรวมตั้งแต่ที่ราบสูงทิเบตในจีนลงมายังพม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม จากนั้นได้ไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เป็นแหล่งปลูกข้าวราวครึ่งหนึ่งของเวียดนาม และเป็นแหล่งผลิตกุ้งประมาณ 60% แต่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและน้ำเค็มหนุน ได้กระทบต่อปริมาณผลผลิตและอาจทำให้เกษตรกรไร้ที่ทำกิน ประชากรจำนวนมากอาศัยในที่ลุ่มต่ำ ตามแนวชายฝั่งและในพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง เช่นในนครโฮจิมินห์ซิตี, ฮานอย และกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้ภูมิภาคเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่ออุทกภัย, การรุกล้ำปนเปื้อนของน้ำเค็ม และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น รายงานกล่าวด้วยว่า ภัยแล้งและอุทกภัยที่เกิดถี่ขึ้นจะสร้างความเสียหาย ขนานใหญ่ต่อชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ ในช่วงฤดูแล้งจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำหนักหน่วงขึ้นด้วย "อุณหภูมิสูงขึ้นได้ทำให้พื้นที่เพาะปลูกลดขนาดลง ขณะที่พายุ, น้ำท่วม และภัยแล้ง กำลังทำลายผลผลิตทั่วทั้งลุ่มน้ำโขง การขาดแคลนน้ำจะจำกัดการผลิตภาคเกษตร และคุกคามต่อความมั่นคงด้านอาหารด้วย" รายงานนี้เสริม บรรดาผู้แทนจากประมาณ 180 ประเทศ กำลังประชุมกันที่สำนักงานยูเอ็นในกรุงเทพฯ เพื่อพยายามหาความตกลงร่วมกัน ในการขยับขยายความร่วมมือต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อน โดยพวกเจ้าหน้าที่กำลังพยายามนิยามเนื้อหาที่จะใช้เป็นพื้นฐานของการทำสนธิ สัญญาว่าด้วยโลกร้อนฉบับใหม่ ที่ยูเอ็นหวังว่าจะสามารถหาความเห็นพ้องต้องกันได้ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ประเด็นหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงฉบับใหม่นี้ คือการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ยากจน ในการปรับตัวเข้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่ด้านนอกศูนย์การประชุมของยูเอ็น มีชาวนาไทย, เกษตรกร, ชาวประมง และชนพื้นเมืองจากหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และเนปาล รวมประมาณ 2,000 คน มาชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยทุ่มเทมากขึ้นในการจำกัดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก "เรามาที่นี่เพื่อถ่ายทอดเสียงของชาวนาต่อยูเอ็น" ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรจากอินโดนีเซียตะโกนอยู่ด้านนอกศูนย์ประชุม ประเทศกำลังพัฒนากล่าวโทษชาติร่ำรวยว่า ไม่ยอมริเริ่มด้วยการทำข้อตกลงลดระดับการปล่อยก๊าซให้หนักหน่วงกว่านี้ และต้องการให้ประเทศร่ำรวยรับปากทุ่มเงินนับพันล้านดอลลาร์ช่วยชาติยากจน ให้ปรับตัวรับผลกระทบและสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม. จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 6 ตุลาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|