![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
กทม.วอนคนเมืองกรุงอย่าตระหนกสถานการณ์น้ำท่วมจากสภาวะโลกร้อน ยืนยันมีความพร้อมรับมือได้ ![]() " ประกอบ จิรกิติ" รองผู้ว่าฯกทม. ชี้เหตุการณ์น้ำท่วมจากสภาวะโลกร้อนยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ ยันถ้าน้ำสูงมีมาตรการรับมือ ระบุถ้าจะเพิ่มความสูงของเขื่อนหรือระบายน้ำออกทะเล ต้องคำนึงถึงผู้ได้รับผลกระทบด้วย นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงกรณีที่นายพิจิตต รัตตกุล ผู้อำนวยการบริหารศูนย์เตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย และอดีตผู้ว่าฯกทม. มีข้อกังวลว่า มาตรการรับมือน้ำท่วมของกทม.จะใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากเกิดสภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนและมีน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้น ว่า การออกมาเตือนดังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อที่ตนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าไปตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ บรรเทาสาธารณภัยของกทม.อีกครั้ง อาทิ เครื่องสูบน้ำ อุโมงค์ระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ ให้มีประสิทธิภาพในการระบายน้ำในพื้นที่กทม. อย่างไรก็ตามตนไม่อยากให้คนกรุงเทพฯตื่นตระหนกกับการคาดการณ์ที่ว่ากทม.จะ ไม่สามารถระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่ออกสู่ทะเลได้ เนื่องจากระดับน้ำทะเลหนุนสูงเกินไป เพราะตนมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะยังไม่มาถึงในช่วงเวลาอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตาม กทม.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยระหว่างนี้กทม.โดยสำนักการระบายน้ำได้ประสานในยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริ (กปร.) กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมอุตุนิยมวิทยา รวมไปถึงจังหวัดใกล้เคียง อาทิ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.อ่างทอง เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์น้ำและนำข้อมูลดังกล่าววางแผนในการรับมือและป้องกันต่อไป นายประกอบ กล่าวถึงข้อเสนอที่ว่าให้เพิ่มความสูงของเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาอีก 50 เซนติเมตร รวมถึงการสร้างคันกั้นน้ำนั้น คงต้องนำประเด็นดังกล่าวพิจารณากับคณะทำงานของสำนักการระบายน้ำ(สนน.)อีก ครั้งหนึ่ง เบื้องต้นต้องพิจารณาตามความเหมาะสม อาทิ เขื่อนกั้นน้ำเจ้าพระยามีความสูงเฉลี่ย 2.5 เมตร หากจะสร้างเพิ่มอีก 50 ซม. นั้นจะสามารถทำได้หรือไม่ หากพิจารณาตามโครงสร้างฐานรากของเขื่อน เพราะหากสร้างสูงกว่านั้นประชาชนที่อยู่หลังเขื่อนจะได้รับความเดือดร้อน รวมไปถึงนำข้อมูลระดับน้ำสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมานำมาวิเคราะห์ ซึ่งหากพบว่าในอนาคตระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงเกินระดับเขื่อน อาจจะมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น นำกระสอบทรายเสริมความสูงให้กับเขื่อน เป็นต้น รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวด้วยว่าตนคาดว่าช่วงปลายปี 2552 นี้ หากสถานการณ์ฝนตกไม่มีพายุเกิดขึ้น ระดับน้ำทะเลไม่หนุนสูง กทม.น่าจะรับมือกับสถานการณ์ได้ ทั้งนี้จากรายงานของสนน.เรื่องปริมาณฝนตกในเดือนสิงหาคมพบว่ามีปริมาณ 93 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับสถานการณ์รอบ 30 ปีที่ คือ 114.2 มิลลิเมตร แม้การรายงานปริมาณน้ำฝนจะไม่ถึงขั้นวิกฤต กทม.ก็ได้เตรียมรับมือเบื้องต้น คือ พร่องน้ำในคลองแสนแสบ และคลองอื่นๆ รวมไปถึงระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปแล้วส่วนหนึ่ง เพื่อเตรียมการหากมีฝนตกในปริมาณมากก็จะสามารถระบายลงคลองได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการระบายน้ำออกสู่ทะเลนั้น กทม.ได้คำนึงถึงประชาชนที่ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งด้วย เนื่องจากหากระบายน้ำจืดออกสู่ทะเลมากเกินไป ก็อาจกระทบต่อการประมงชายฝั่งได้ จาก : มติชน วันที่ 19 สิงหาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
เตือนภัยแผ่นดินปากแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้จมทะเล วารสารด้านธรณีวิทยาระบุอ้างจากภาพถ่ายดาวเทียม หากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน พื้นที่ปากแม่น้ำหลายแห่งทั่วโลกมีอัตราการทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพื้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาในประเทศไทยด้วยเช่นกัน... สำนัก ข่าวเอเอฟพีรายงานวันนี้ ( 21 ก.ย. ) อ้างข้อมูลจากวารสารด้านธรณีวิทยา “เนเชอร์ จีโอไซน์” ระบุทำนายพื้นที่แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสายสำคัญๆ ของโลกราว 2 ใน 3 ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของผู้คนรวมมากเกือบ 500 ล้านคน จะถูกน้ำทะเลท่วมในที่สุด รวมถึงพื้นที่แถบปากแม่น้ำเจ้าพระยาของไทย รายงานฉบับดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลจากภาพถ่ายผ่านดาวเทียม แสดงให้เห็นพื้นที่แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำสายสำคัญที่สุดของโลก 33 แห่ง พบว่า 85 เปอร์เซ็นต์ เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยภาวะน้ำท่วมกระทบผืนแผ่นดินบริเวณกว้างมากกว่า 260,000 ตารางกม. และภายในสิ้นศตวรรษนี้สถานการณ์น้ำท่วมจะขยายตัวขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ หากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ออสเตรเลียกับแอนตาร์คติกา เผชิญหายนะภัยลักษณะดังกล่าวไปแล้ว แต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น ผิดจากพื้นที่แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของเอเชีย ซึ่งแต่ละแห่งมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ไล่ตั้งแต่พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด 3 ใน 11 แห่ง คือ ปากแม่น้ำเหลืองหรือแม่น้ำหวงเหอทางภาคเหนือของจีน ปากแม่น้ำแยงซีใกล้มหานครเซี่ยงไฮ้ และปากแม่น้ำมุกใกล้เมืองกวางโจว ส่วนพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ อาทิ ปากแม่น้ำไนล์ในอิยิปต์ ปากแม่น้ำเจ้าพระยาของไทย ปากแม่น้ำไรน์ของฝรั่งเศส ปากแม่น้ำคงคาในบังกลาเทศ ปากแม่น้ำอิระวดีในพม่า ปากแม่น้ำโขงในเวียดนามและปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ในสหรัฐ ถ้ามนุษย์ไม่แทรกแซงจัดการแก้ปัญหาหรือปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปตามสภาวะ จะก่อให้เกิดน้ำท่วมแผ่นดินกินบริเวณกว้าง ทั้งนี้ ตามรายงานของสหประชาชาติ ระบุภายในปี 2643 หรือสิ้นศตวรรษนี้ ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย18-59 ซม. ขณะที่พื้นที่ปากแม่น้ำหลายแห่งทั่วโลกมีอัตราการทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างพื้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยามีอัตราทรุดตัวลงเฉลี่ยปีละ 5-15 ซม. เนื่องเพราะการสูบน้ำบาดาลมาใช้อย่างกว้างขวาง ส่วนพื้นที่ปากแม่น้ำโพในอิตาลี ตลอดช่วงศตวรรษที่แล้วแผ่นดินทรุดลงมากถึง 3.7 เมตร เพราะการทำเหมืองเจาะก็าซมีเทนใต้ดิน และพื้นที่ปากแม่น้ำอิระวดีของพม่าหลังเผชิญพายุไซโคลนนาร์กีซพัดถล่มเมื่อ ปีที่แล้ว ทำให้บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมเหนือระดับน้ำทะเลลึกถึง 6 เมตร นั่นคือเหตุผลทำให้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายมากถึง 138,000 ราย. จาก : ไทยรัฐ วันที่ 22 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
เตือนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเสี่ยงจม ![]() สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี ผลศึกษาชี้ พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ 2 ใน 3 ของโลก เสี่ยงจมอยู่ใต้น้ำ รวมถึง ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทรุดลงทุกปี เพราะการใช้น้ำบาดาล วารสารจีโอไซแอนซ์ เผยแพร่ผลการศึกษาใหม่สุดว่า พื้นที่ปากแม่น้ำขนาดใหญ่ราว 2 ใน 3 ของโลก ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรเกือบ 1,000 ล้านคน กำลังตกอยู่ในภาวะหนีเสือปะจระเข้ กล่าวคือเจอทั้งดินทรุด และระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น การค้นพบดังกล่าว ที่มีพื้นฐานการจากศึกษาภาพถ่ายดาวเทียม แสดงให้เห็นว่า 85% ของพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำขนาด ใหญ่สุด 33 แห่ง ประสบกับภาวะน้ำท่วมหนักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กินพื้นที่ราว 260,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งคาดว่าภายในศตวรรษนี้ พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่มีความเสี่ยงเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ จะเพิ่มขึ้นมากถึง 50% หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก เจมส์ ซิฟอิทสกี้ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยขั้วโลก และเทือกเขาแอลป์ มหาวิทยาลัยโคโลราโด แกนนำจัดทำการศึกษาครั้งนี้ ระบุว่า แม้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจะเป็นเอเชีย แต่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และทำการเกษตรอย่างมาก ในทุกๆ ทวีป ยกเว้นออสเตรเลีย กับขั้วโลกใต้ ก็ล้วนแต่ตกอยู่ในภาวะอันตราย ในการวัดระดับความรุนแรงที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับนั้น พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะจมอยู่ใต้น้ำล้วนอยู่ในจีน คือ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเหลืองทางตอนเหนือของประเทศ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ใกล้กับนครเซี่ยงไฮ้ และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล ใกล้กับกวางโจว ขณะสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไน ล์ ของอียิปต์ แม่น้ำเจ้าพระยาของไทย และแม่น้ำโรนของฝรั่งเศส ล้วนแต่ติดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงเช่นกัน โดยปากแม่น้ำที่มีความเสี่ยงรองลงมา 7 แห่ง รวมถึง แม่น้ำคงคา ในบังกลาเทศ แม่น้ำอิระวดีของพม่า แม่น้ำโขง ในเวียดนาม และแม่น้ำมิสซิสซิปปี ของสหรัฐ ผลการศึกษาระบุว่า สามเหลี่ยมปากแม่น้ำจะมีตะกอนมาสะสมตามธรรมชาติเมื่อน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นแล้วท่วมกินพื้นที่กว้าง แต่มนุษย์มีส่วนทำให้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำหลายแห่งจมจากการทำเขื่อนกั้นต้นน้ำแ ละเปลี่ยนเส้นทางไหลของน้ำ ทำให้ตะกอนไม่ไหลลงมาสะสม นอกจากนี้การทำเหมืองใต้ดินและการสูบน้ำบาดาลก็มีส่วนทำให้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำจมด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีอัตราการทรุดตัวถึงปีละ 2-6 นิ้ว ผลจากการสูบน้ำบาดาลไปใช้ จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
กองทุนโลกเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ 'ทำ 'กทม.'ยิ่งเสี่ยงจมน้ำ WWF ชี้กรุงธากา มะนิลา และจาการ์ตา เป็น3 เมืองใหญ่ในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิ อากาศ ขณะที่กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยคุกคามจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นและ ปัญหาน้ำท่วม เมื่อวันพฤหัสบดี (12) กองทุนโลกเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (World Wide Fund for Nature : WWF) องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีฐานอยู่ที่เมืองแกลนด์ ในสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยรายงานล่าสุดที่ชื่อว่า “Mega-Stress for Mega-Cities” ซึ่งศึกษาถึงภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อ 11 เมืองใหญ่ในเอเชีย ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลหรือดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ คือ กรุงธากาของบังกลาเทศ, เมืองกัลกัตตาของอินเดีย , กรุงเทพมหานคร, กรุงพนมเปญของกัมพูชา, นครโฮจิมินห์ในเวียดนาม,สิงคโปร์, กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย,ฮ่องกง, กรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์, กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย,และนครเซี่ยงไฮ้ของจีน รายงานฉบับนี้ระบุว่า ธากา , มะนิลา, และจาการ์ตา ป็น 3 เมืองที่มีความเปราะบางมากที่สุด ต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเป็นเมืองที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และพายุ โดยในทั้ง 3 เมืองนี้ ธากาเป็นเมืองที่ตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดโดยได้คะแนนความเสี่ยงระดับ 9 จากทั้งหมด 10 ระดับ เนื่องจากมีประชากรแออัดกันอยู่มากกว่า 13 ล้านคนบนเนื้อที่เพียง304 ตารางกิโลเมตรและยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปัจจุบันเพียงไม่กี่เมตรเท่า นั้น นอกจากนั้น ยังมักได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนจนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เป็นประจำ ขณะที่ขีดความสามารถของเมืองในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศกลับ อยู่ในระดับต่ำมาก จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|