เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 11-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


New Normal ป่าและทะเลไทย I Green Pulse



คลิปฉลามหูดำล่าสุดที่เกาะยูง ในบริเวณหมู่เกาะพีพี,โลมาปากขวดฝูงใหญ่กว่าร้อยตัวที่สิมิลัน, และข่าวการพบพะยูนที่บ้านเพ จังหวัดระยองในช่วงอาทิตย์นี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องของสัตว์ทะเลหลายๆ ชนิดที่เป็นสัตว์หายากและแทบไม่เคยพบในพื้นที่

นับตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ที่ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักลง ซึ่งนั่นหมายถึงการหยุดการรบกวนสัตว์ต่างๆไปด้วย

ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลอย่าง ผศ.ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ แห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การปรากฏตัวของสัตว์ป่าหายากต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ทะเล กำลังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ธรรมชาติต้องการ และการจัดระเบียบกิจกรรมมนุษย์ที่เกี่ยวข้องใหม่ไม่ต่างจากกิจกรรมประเภทอื่นๆ หรือ New Normal ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแผนอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ผู้จัดทำนโยบายหลายคณะได้ทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ หรือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องการเพียงการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังให้เห็นผล ดังที่กำลังปรากฏจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดในขณะนี้


พาเหรดสัตว์ป่า

นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา การรายงานการพบเห็นสัตว์ป่าในพื้นที่อนุรักษ์ต่างๆทั่วประเทศที่ปิดตัวลง โดยเฉพาะพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลมีมากขึ้น ซึ่งปลาฉลามหูดำ นอกจากจะพบที่เกาะยงแล้ว ยังปรากฏตัวตามบริเวณน้ำตื้นที่เกาะห้อง ไปจนถึงเกาะสุรินทร์และเกาะตาชัยอีกด้วยในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมานี้อีกด้วย

นอกจากปลาฉลามหูดำแล้ว ยังมีปลาวาฬเพชรฆาตดำในบริเวณอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา ซึ่ง ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ไม่มีการรายงานการพบเห็นมานาน โดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้รายงานว่า ในปลายเดือนเมษายน ขณะนั่งเรือออกไปลาดตระเวนตามปกติ ได้พบเจอฝูงวาฬเพชฌฆาตดำฝูงใหญ่ 10-15 ตัว ความยาวประมาณ 3-4 เมตร ว่ายน้ำบริเวณอ่าวหินงาม เกาะรอก ในเขตอุทยานฯ ห่างจากฝั่งเพียง 400 เมตร โดยถือว่าเป็นฝูงใหญ่ และเป็นครั้งแรกที่มีการพบเจอวาฬเพชฌฆาตดำนี้ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา

ที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลไม่น้อยไปกว่ากันคือ การปรากฏตัวของพะยูนในบริเวณบ้านเพ จังหวัดระยองในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา โดย ดร.ธรณ์ อธิบายว่า พะยูนในภาคตะวันออกมีเหลือเพียงกลุ่มเล็กๆ กระจายกันไป และแทบไม่มีใครพบเห็นมานานพอสมควร จากประชากรทั้งหมดที่สำรวจพบในปีที่แล้ว 261 ตัว ในพื้นที่ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย 13 พื้นที่

มีเพียงราว 24 ตัวที่พบในอ่าวไทย โดยอยู่ในพื้นที่ืทะเลภาคตะวันออกประมาณ 20 ตัว และอีก 4 ตัวที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี บางพื้นที่ของฝั่งอ่าวไทย ไม่มีรายงานการพบพะยูนอีกแล้ว เช่น ปัตตานี และชุมพร แม้จะเคยมีรายงานในอดีต โดยสมัยอดีตย้อนไปประมาณ 60ปีที่แล้ว แหล่งที่ใหญ่ที่สุดของพะยูนภาคตะวันออกคือ คุ้งกระเบน โดยมีรายงานการพบถึง 40 ตัวขึ้นไป และในช่วง 20-30 ปีต่อมาก็ยังพอพบแหล่งพบพะยูนมากอยู่คือ ปากน้ำประแสร์ จังหวัด ระยอง ซึ่งมีการพบพะยูนฝูงใหญ่กว่า 20 ตัวว่ายอยู่ในบริเวณดังกล่าว

"เมื่อเรือหยุด พะยูนจึงกลับมาหากินหญ้าทะเลตามชายฝั่ง เช่น แถวบ้านเพ ก็มีหญ้าทะเลอยู่บ้าง" ดร. ธรณ์ ตั้งข้อสังเกต



ในพื้นที่ที่มีประชากรพะยูนมากที่สุดในประเทศเองอย่างอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพะยูนลูกกำพร้าที่เป็นที่รักของผู้คนคือมาเรียม พะยูนฝูงใหญ่ที่ไม่ค่อยถูกพบเห็นก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ฯ พบพะยูนฝูงใหญ่กว่า 30 ตัว ออกหากินหญ้าทะเลบริเวณแหลมจูโหย ในขณะที่เขาบาตูที่มาเรียมเคยถูดอนุบาลอยู่ก็พบฝูงพะยูน5-6 ตัวเป็นประจำในช่วงนี้ กลุ่มพิทักษ์ดูหยง ซึ่งช่วยเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดูแลพะยูนรายงาน

นอกจากปลาทะเลหายากชนิดต่างๆ เต่ามะเฟืองซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์สงวนชนิดใหม่ของไทยก็พบมีการขึ้นมาวางไข่และทำรังมากที่สุดในรอบ 20 ปี โดยมีการพบถึง 11 รัง ตามหาดต่างๆ ของฝั่งอันดามันซึ่งครั้งหนึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว อาทิ หาดบ่อดาน หาดท้ายเหมือง จังหวัดพังงา หรือหาดทรายแก้ว หาดไม้ขาว หาดในทอน จังหวัดภูเก็ต

นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้สัมภาษณ์ช่วงที่ผ่านมาว่า ลูกเต่ามะเฟืองจะทยอยฟักออกมาและพากันคลานลงสู่ทะเลตรงกับช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดหนักไปทั่วประเทศ โดยลูกเต่าเกิดใหม่ในฤดูนี้มีปริมาณมากกว่าฤดูอื่น ในรอบกว่า2ทศวรรษ

ทางกรมฯ ยังไม่ได้เก็บข้อมูลที่ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพชายหาดและระบบนิเวศทางทะเลหลังจากเกิดการระบาดฯ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง แต่โดยหลักการแล้วปริมาณนักท่องเที่ยวที่น้อยลง ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งน้อยลง น้ำเน่าเสีย ของเสีย และขยะต่างๆ ก็ลดลงตามไปด้วย จึงมีโอกาสที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งสัตว์ทะเลหายากได้พักและฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

"การลดลงของนักท่องเที่ยวน่าจะมีผลดีต่อระบบนิเวศทางทะเล," นายโสภณกล่าว


New Normal ด้านอนุรักษ์

ดร.ธรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิดที่ทำให้เกิดช่วงหยุดพักของพื้นที่อนุรักษ์ต่างๆ น่าจะเป็นโอกาสที่ดำเนินการสิ่งที่เขาเรียกว่า "แผน 5 ขั้น" ที่จะช่วยขับเคลื่อนงานที่ได้วางนโยบายและแผนมาแล้ว



ดร.ธรณ์แนะนำให้หน่วยงาน "การ์ดอย่าตก" ซึ่งหมายถึงการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ซึ่งอาจยิ่งจำเป็นที่จะต้องให้มีความเข้มงวดมากกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการดูแล และที่สำคัญ ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ไม่ควรมีการดึงงบประมาณในส่วนนี้ไปใช้เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์โควิด เพราะพื้นที่อนุรักษ์เหล่านี้คือพื้นที่ที่สูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวจากการที่ต้องปิดตัวมากพออยู่แล้ว และควรได้รับการสนับสนุนทดแทนรายได้เพื่อคงประสิทธิภาพการทำงาน

ดร.ธรณ์ ชี้ว่า สถานการณ์โควิดทำให้เกิดสภาพการณ์ที่สะท้อนหลักการสำคัญในการจัดการพื้นที่อนุรักษ์และทรัพยากรธรรมชาติ คือการจำกัดการรบกวน เช่นการจำกัดจำนวนคนและการรักษาระยะห่าง ซึ่งแผนต่างได้ระบุไว้เช่นกัน อาทิ การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวและยานพาหนะต่างๆในพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งยังมีการบังคับใช้น้อยมากในความเป็นจริง

ในจำนวนพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล 26 แห่ง มีเพียงไม่กี่แห่งที่บังคับใช้หลักการ "ความสามารถในการรองรับ" หรือ carrying capacity ของพื้นที่, ดร. ธรณ์กล่าว

นอกจากนี้ สถานการณ์โควิดในครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสให้แผนถูกนำไปปฏิบัติได้จริงตามเงื่อนไขของพื้นที่จริง และนั่นหมายถึง การเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยทำแผนในพื้นที่ให้เชื่อมโยงกับแผนระดับชาติและนำไปปฏิบัติให้เกิดผล ซึ่งเป็น แผนขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 ที่เขาเสนอสำหรับ New Normal ของพื้นที่อนุรักษ์

และแผนขั้นที่ 5 คือ การผลักดันแผนงานใหญ่ๆที่ครอบคลุมภาพรวมของพื้นที่ อาทิ โครงการอันดามันมรดกโลกที่ถูกออกแบบและผ่านความเห็นชอบแล้ว แต่ยังไม่มีการนำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อกำกับทิศทางงานอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ในภาพรวมอย่างจริงจังเสียที

"คีย์เวิร์ดเหล่านี้แหละจะช่วยได้ แต่มันก็ขึ้นกับความเป็นจริงว่าเราอยากเดินไปข้างหน้าไหม ผู้รับผิดชอบหรือผู้เกี่ยวข้อง อยากเห็นโลกใหม่ๆ หรือเปล่า"

"บอกว่า รัก แค่นั้นไม่พอ อยาก แค่นั้นไม่ไปไหน เราต้องลงมือทำ" ดร.ธรณ์ ทิ้งท้ายถึงการทำงานอนุรักษ์หลังยุคโควิด หรือ New Normal ด้านอนุรักษ์จากนี้ไป


https://www.bangkokbiznews.com/news/...m_campaign=eco

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 11-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ค้านกองทัพเรือใช้ที่ดินป่าสงวนฯ ระยอง 4,600 ไร่ อ้างปกป้องอีอีซี

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนออกแถลงการณ์ ค้านกองทัพเรือใช้ที่ดินป่าสงวนฯ ใน 3 ตำบล ของ จ.ระยอง อ้างเพื่อจัดทำโครงการป้องกันภัยทางอากาศ ในพื้นที่อีอีซี



วันนี้ (10 พ.ค.2563) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนออกแถลงการณ์ ค้านกองทัพเรือใช้ที่ดินป่าสงวนฯ จ.ระยอง ระบุว่า คัดค้านการยกพื้นที่ป่าสงวนฯ 4,600 ไร่ ไปเอื้อประโยชน์ให้กองทัพเรือ

ตามที่กองทัพเรือทำหนังสือถึงกรมป่าไม้ เพื่อขอใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาห้วยมะหาด, ป่าเขานั่งยอง และป่าเขาครอก พื้นที่เขาโกรกตะแบกและเขาเนินกระปรอก ในท้องที่ ต.ห้วยโป่ง อ.เมืองระยอง และ ต.สำนักท้อน ต.บ้านฉาง ต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เพื่อจัดทำโครงการป้องกันภัยทางอากาศในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) และบริเวณใกล้เคียง และเป็นที่ตั้งหน่วยป้องกันภัยทางอากาศ ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวมเนื้อที่ทั้งหมด 4,600 ไร่

แถลงการณ์ระบุต่อว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งทรัพยากรป่าไม้พื้นถิ่น ที่ประชาชนโดยรอบพื้นที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์เสมือนเป็นป่าชุมชน ในการเก็บเห็ด เก็บสมุนไพร ฯลฯ รวมทั้งใช้เป็นแหล่งสันทนาการ ที่เป็นกำแพงกรองมลพิษในวิถีชนบทของคนระยองเสมอมา

"การที่กองทัพเรือจะขอใช้พื้นที่ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจาก 2,558 ไร่ เป็น 4,600 ไร่ โดยอ้างการป้องกันอีอีซีและนิคมมาบตาพุดนั้น กองทัพเรือเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ เพราะพื้นที่เหล่านี้อยู่บนบก ไม่ใช่พื้นที่ชายแดนหรือชายทะเล และไม่เคยมีปัญหาด้านความมั่นคง"

เป็นพื้นที่เศรษฐกิจไม่ใช่พื้นที่สงครามความขัดแย้ง ที่จะมีข้าศึกที่ไหนบุกมายึดอีอีซีหรือนิคมมาบตาพุด จนต้องมีค่ายทหารมาคอยปกป้อง หากจะมีปัญหาก็มีแต่ปัญหาอาชญากรรมธรรมดาเท่านั้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจไม่ใช่ทหาร

และที่สำคัญกองทัพเรือก็มีฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากมายเกินพออยู่แล้ว และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากองทัพเรือก็มีปัญหาความขัดแย้งกับชุมชนหลายพื้นที่มาโดยตลอด ทั้งที่ชุมชนแสมสาร หรือที่ ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว

"การรุกคืบเข้ามาขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จ.ระยอง ดังกล่าว หรือเพียงแค่ต้องการขยายฐานอำนาจ ขยายตำแหน่งของเหล่าทหารเรือ หรือต้องการขอเพิ่มงบประมาณจากภาษีของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้นกันแน่"

กรมป่าไม้ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องมีจุดยืนในการปกป้องป่าไม้ตามแนวนโยบายป่าไม้แห่งชาติที่ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2562 ซึ่งเน้นการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ปกป้องดูแลป่า แต่ถ้ายกพื้นที่ป่าดังกล่าวให้กองทัพเรือไปใช้ประโยชน์ได้ตามคำขอ แนวนโยบายป่าไม้แห่งชาติก็จะไร้ความหมายและควรฉีกทิ้งไปเสีย แล้วให้กองทัพเรือไปยกร่างเขียนใหม่ แล้วนำไปบังคับใช้กันเองตามสะดวก แต่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และชาวระยองจะไม่ยอมศิโรราบกับกรณีดังกล่าว โดยจะขอพึ่งอำนาจศาลปกครองเป็นประการต่อไป


https://news.thaipbs.or.th/content/292283

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:59


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger