![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
คนแรกของโลก ตายเพราะอากาศพิษ ด.ญ.ชาวอังกฤษ 9 ขวบ คนแรกของโลก ตายเพราะอากาศพิษ - ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า แพทย์ในอังกฤษแจ้งผลวินิจฉัยโรคและชันสูตรพลิกศพเด็กหญิง วัย 9 ขวบ ว่าเป็นคนแรกของโลกที่มีสาเหตุการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ ![]() ด.ญ.เอลลา คิสสิ-เดบราห์ อาศัยในย่านลูวิแชม ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน และอยู่ใกล้กับถนนเซาท์ เซอร์คูลาร์ ซึ่งเป็นถนนสายหนึ่งที่มีการสัญจรหนาแน่นที่สุดในลอนดอน เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกล่าวว่า เอลลาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อดือน ก.พ. 2556 หลังจากหัวใจหยุดเต้นและผายปอดไม่สำเร็จ เด็กหญิงป่วยเป็นโรคหืดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวและและภาวะการหยุดหายใจ เธอต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินบ่อยครั้งตลอด 3 ปี แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากการหยุดหายใจฉับพลัน เป็นหืดอย่างรุนแรงและแพ้มมลพิษทางอากาศ ส่วนเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพระบุว่าเอลลาเสียชีวิตเพราะเป็นหืดซึ่งเกิดจากการสูดอากาศพิษเข้าไป องค์กรการกุศลทั้งสมาคมโรคหืดแห่งอังกฤษและมูลนิธิปอดแห่งอังกฤษเห็นตรงกันว่าเอลลาเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ระบุสาเหตุการเสียชีวิตในใบมรณบัตรว่าเสียชีวิตจากมลภาวะ ฟิลิป บาร์โลว์ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกล่าวในศาลว่าแม่ของเอลลาไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมลภาวะหรือโรคหืดซึ่งอาจจะช่วยให้หาทางป้องกันไม่ให้อาการหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้เพราะมลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นโรคหืดและหืดกำเริบ เอลลาป่วยระหว่างปี 2553-2556 เธอได้รับใช้ไนโตรเจน ไดออกไซด์และอนุภาคขนาดเล็ก หรือ พีเอ็ม มากเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ส่วนใหญ่เกิดจากการสูดอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษจากการจราจรที่คับคั่ง บาร์โลว์กล่าวว่าอังกฤษล้มเหลวในการลดระดับไนโตรเจน ไดออกไซด์ตามที่สหภาพยุโรปและกฎหมายในประเทศกำหนด ส่วนโรซามุนด์ คิสสิ-เดบราห์ แม่ของเอลลากล่าวหลังจากศาลตัดสินว่า เราต้องได้รับความยุติธรรมที่เอลลาควรได้รับ แต่ยังมีเด็กคนอื่นๆ ที่เดินไปโรงเรียนในเมืองและสูดเอาอากาศพิษปริมาณมากเข้าไป คดีของเอลลาควรนำไปสู่กฎหมายอากาศสะอาดฉบับใหม่และทำให้รัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องให้อย่างจริงจัง แม่ของเอลลากล่าวว่าตนคิดว่าคนยังขาดความเข้าใจว่าปอดของเด็กที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่และถูกทำลายด้วยอากาศเป็นพิษ อีกทั้ง หวังว่าจะเห็นประชาชนรณรงค์ให้ตระหนักถึงอันตรายของมลพิษทางอากาศมากกว่าการโจมตีกันไปมา ศาลสูงเพิกถอนการตัดสินคดีก่อนหน้านี้เมื่อปี 2557 ที่สรุปการเสียชีวิตของเอลลาว่าเกิดจากการหายใจล้มเหลว หลังจากพบหลักฐานใหม่ว่าระดับมลพิษทางอากาศแถวบ้านของหนูน้อยสูงเกินระดับอันตราย ด้าน ซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญยิ่งและยกย่องแม่ของเอลลาที่กล้าหาญอย่างยิ่งและต่อสู้มานานหลายปี พร้อมทั้งกล่าวว่าอากาศเป็นพิษทำให้สุขภาพย่ำแย่ โดยฉพาะเด็กๆ วันนี้ จะต้องเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ครอบครัวอื่นๆ ไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนกับครอบครัวของเอลลา เมื่อปี 2561 สตีเฟน โฮลเกต อาจารย์มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมตัน พบว่าระดับมลพิษที่สถานีวัดคุณภาพอากาศที่แคตฟอร์ดซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเอลลาไม่มากนัก มีระดับมลพิษเกินกว่าที่กฎหมายของอียูกำหนดเอาไว้มาก ก่อนที่เอลลาเสียชีวิต หากต้องการให้ลูกหลานสุขภาพดีก็จะต้องช่วยกันรักษาความสะอาดสิ่งแวดล้อม ซาราห์ วูลนัฟ ซีอีโอสมาคมโรคหืดแห่งอังกฤษและมูลนิธิปอดแห่งอังกฤษกล่าวว่าส่งใจไปถึงครอบครัวเอลลาที่ต่อสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อผลที่ยิ่งใหญ่ คดีความของเอลลาสะท้อนให้เห็นถึงอันตรายที่มองไม่เห็นจากการสูดอากาศสกปรกและเป็นส่วนเหตุส่วนหนึ่งของหืดหรือโรคปอด พร้อมทั้งเห็นว่ากฎหมายและนโยบายเพื่ออากาศสะอาดยังไม่เพียงพอ อีกทั้ง รัฐบาล เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและแพทย์ต้องร่วมมือกันต่อสู้กรับวิกฤตทางสุขภาพที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศ ขณะที่โฆษกรัฐบาลอังกฤษกล่าวว่ารัฐบาลจะทุ่มงบประมาณ 3,800 ล้านปอนด์หรือประมาณ 153,900 ล้านบาทเพื่อใช้ในแผนปรับปรุงการคมนาคมขนส่ง ลดการปล่อยไนโตรเจน ไดออกไซด์และป้องกันชุมชนจากการได้รับมลพิษทางอากาศ รวมทั้ง ตั้งเป้าหมายเพื่ออากาศสะอาดสดใส https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_5552179
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
จีนเดินหน้าโครงการแยกเกลือจากน้ำทะเลผลิตน้ำจืดได้ 10,000 ตันต่อวัน ![]() โครงการแยกเกลือจากน้ำทะเล จีนเดินหน้าผลิตน้ำจืดได้ 10,000 ตันต่อวัน นำไปใช้ในกระบวนการหลอมเหลวในโรงงานเหล็กกล้า พร้อมแจกจ่ายให้พนักงานบริโภครายวัน โครงการแยกเกลือออกจากน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลได้ถึง 10,000 ตันต่อวัน เริ่มดำเนินการแล้ว ที่ เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน บริษัท โส่วกัง จิงถัง ยูไนเต็ด ไอออน แอนด์ สตีล จำกัด เป็นผู้ดำเนินโครงการแยกเกลือออกจากน้ำทะเลแบบไฮบริดที่ใช้ความร้อน - เมมเบรน ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นความสำเร็จทางอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ของภาคธุรกิจเหล็กกล้าของจีน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำปริมาณมาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลังงานและการปกป้องสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ จางโป๋ ระบุว่า โครงการใหม่นี้ผสมผสานการใช้ความร้อนและเมมเบรนเพื่อแยกเกลือออกจากน้ำทะเล โดยใช้ความร้อนในการกลั่นน้ำทะเลและใช้เมมเบรนในการกรองแบบอัลตราและออสโมซิสผันกลับ ซึ่งเป็นวิธีที่คล้ายกับเครื่องกรองน้ำใช้ในบ้าน น้ำจืดที่ได้จากโครงการนี้จะถูกนำไปใช้ในกระบวนการหลอมเหลวในโรงงานเหล็กกล้าโดยตรง พร้อมแจกจ่ายให้พนักงานบริโภครายวัน อนึ่ง กระบวนการแยกเกลือจากน้ำทะเลเป็นส่วนสำคัญสำหรับโรงงานเหล็กกล้า เนื่องจากทำให้โรงงานสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำทะเลที่มีปริมาณล้นเหลือ และนำความร้อนเหลือทิ้งมาส่งเสริมให้กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น https://www.komchadluek.net/news/foreign/452053
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ทช.เอาผิดเรือท่องเที่ยวทิ้งสมอทับปะการังฟื้นฟู 4 ปี พังยับ ![]() อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สั่งเอาผิดเรือนักท่องเที่ยวฝ่าฝืนเข้ามาในเขตกั้นทุ่นห้ามเข้าแปลงปลูกปะการังที่หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ แตกหักเสียหาย หลังทีมอาสาสมัคร และนักวิชาการเจอกับตา มีภาพหลักฐานชัดเจนสำรวจแปลงปะการังที่ปลูก 4 ปีแตกหักเสียหาย กรณีนักวิชาการด้านทรัพยากรทางทะเล โพสต์กรณีพบเรือนักท่องเที่ยวฝ่าฝืนเข้าแนวเขตวางทุ่นปะการัง ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ วันนี้ (17 ธ.ค.2563) นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ให้สัม ภาษณ์ไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า กรณีการทิ้งสมอเรือบนแนวปะการังธรรมชาติ และแนวปะการังที่มีวางแปลงฟื้นฟู ถือว่ามีความผิดเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.2562 เนื่องจากปะการังถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองภายใต้พ.ร.บ.ฉบับนี้ การทำให้ปะการังเกิดความเสียหาย ทั้งการจับ ดัก ล่อทำลายถือว่ามีความผิด เบื้องต้นทราบว่าเรือดังกล่าวเข้ามาในเกาะพีพี ในแนวเขตวางทุนให้เรือจอด ห้ามทิ้งสมอ และมีแนวปะการังที่ถูกสมอเรือแตกหักเสียหาย ทางทช.สามารถเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดได้ แต่ขอหารือกับทางอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุพืช ก่อนนว่าจะเป็นเจ้าภาพหรือไม่ เพราะอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบโดยตรง "การที่ทิ้งสมอเรือไปทำลายปะการังที่ฟื้นฟู จนแตกหักเสียหายเข้าข่ายความผิดชัดเจน ทั้งทช.และกรมอุทยานฯสามารถดำเนินคดีเจ้าของเรือลำนี้ได้ และฝากเตือนคนอื่นๆที่มาเที่ยวว่าให้ระมัดระวังในการท่องเที่ยวทางทะเล เพราะปะการังกว่าจะงอกเติบโตแต่ละ 1 มิลลิเมตรใช้เวลาเป็นปีๆ" ![]() ภาพ: เฟซบุ๊ก Nalinee Thongtham นักวิชาการทช.เจอเอง-ปะการังฟื้นฟู 4 ปีพัง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ดร.นลินี ทองแถม นักวิชาการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ภูเก็ต) โพสต์เฟซบุ๊ก Nalinee Thongtham ว่า เรือเข้ามาทิ้งสมอในแนวปะการังอุทยานพีพีอีก ขนาดอุทยานฯ กั้นทุ่นราวไว้ น้ำก็ใส และตื้นเห็นปะการังชัด และปะการังที่เสียหายเป็นปะการังที่อาสาสมัครพยายามฟื้นฟู หลังจากที่ปะการังธรรมชาติแถวนี้ฟอกขาวตายเกือบหมด ต้องใช้แรงงานอาสาสมัครในการอนุบาล ดูแล ย้ายปลูกจากกิ่งที่เล็กกว่านิ้วก้อย ใช้เวลารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ปี กำลังขึ้นสวยเต็มพื้นที่ แต่ก็ถูกผู้ประกอบการที่เห็นแก่ตัวทำลายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที เมื่อไหร่คนพวกนี้จะถูกลงโทษให้เข็ดหลาบ ทั้งในแง่กฎหมายและกฎของสังคม พยาน หลักฐานมี ฝากผู้เกี่ยวข้องพิจารณาด้วย ![]() ภาพ: เฟซบุ๊ก Nalinee Thongtham ชี้ความผิดอย่างน้อย 2 ข้อกล่าวหา ขณะที่นายธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ทีมงานอนุรักษ์ปะการังที่เกาะพีพีแจ้งข่าวมา มีเรือทิ้งสมอทำให้ปะการังที่ปลูกไว้แตกหักเสียหาย เรือยังฝ่าทุ่นกั้นเขตห้ามเข้าที่หาดด้วย การกระทำดังกล่าว น่าจะมีความผิดตามนี้ 1.ทำอันตรายต่อปะการังที่เป็นสัตว์คุ้มครอง มีบทลงโทษตามพ.รบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2.ฝ่าฝืนระเบียบอุทยาน นำเรือเข้าไปในสถานที่ห้ามเข้า และยังอาจมีข้ออื่นๆ อีก เช่น คนเรือขออนุญาตถูกต้องหรือเปล่า ทั้งนี้อาจารย์ ระบุว่า เพิ่งโพสต์เรื่องการลงโทษที่เกาะพงัน หวังว่าคงตรวจสอบติดตามด้วยมาตรฐานเดียวกัน และอันที่จริงควรมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะที่นี่เป็นอุทยาน และมีภาพปะการังหักชัดเจนทางอุทยานทราบแล้ว และคงรีบดำเนินการ พรุ่งนี้ผมเข้าพบท่านอธิบดีกรมอุทยาน จะรายงานท่านอีกครั้งแต่เชื่อมือหัวหน้าพีพีคนใหม่ จะจัดการได้อย่างรวดเร็วและเรียบร้อย ดังที่ท่าน รมต.ประกาศอยู่เสมอ เราจะไม่ยอมให้การท่องเที่ยวทำร้ายทะเล https://news.thaipbs.or.th/content/299279
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
ทึ่ง!! ชาวประมงแคนาดาจับ "ยูนิคอร์นล็อบสเตอร์" สีหายากในโลก !! "โรบินสัน รัสเซล" (Robinson Russell) ชาวประมงแคนาดา สามารถจับ ยูนิคอร์นล็อบสเตอร์ หายากตัวนี้ได้ ใกล้ๆ กับบริเวณชายฝั่งของรัฐเมนประเทศสหรัฐอเมริกา . ![]() รายงานบนโลกออนไลน์ จาก IG ของ @robinsonfrankrussell หรือ คุณโรบินสัน เปิดเผยว่า เขาออกทะเลจับล็อบสเตอร์มา 20 กว่าปี ยังไม่เคยพบเห็น ล็อบสเตอร์สีสันแปลกตามากขนาดนี้มาก่อน เขาแน่ใจว่า เจ้าล็อบสเตอร์ ตัวนี้น่าจะเป็นสัตว์หายากและสมควรที่จะได้รับการอนุรักษ์ไว้ เขาจึงประสานเรื่องนี้ ส่งต่อไปให้กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Huntsman Marine Science Center ประเทศแคนาดา รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลต่อไป" รายงานข่าวยังเผยว่า "โรบินสัน" ยังได้ตั้งชื่อให้ล็อบเตอร์ตัวนี้ไว้ด้วยว่าเจ้า "ลัคกี้" ในนขณะที่ ทางสถาบันกุ้งก้ามกรามแห่งมหาวิทยาลัยเมน รายงานว่า มีโอกาสที่จะพบยูนิคอร์นล็อบสเตอร์นั้นมีเพียง 1 ใน 100 ล้านตัวเท่านั้นเอง https://www.nationtv.tv/main/content...mpaign=foreign
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวอิศรา
ป่าชายเลน : จุดพลิกสำคัญของการรักษาทะเล ![]() "...หลังๆมานี้มีเอาไม้ป่าชายเลนทำเฟอร์นิเจอร์ด้วย คำถามคือ ถ้าเราสามารถเอาเฟอร์นิเจอร์อื่นๆเช่นเก้าอี้นวด เก้าอี้หลุยส์ หรือเตียงผ้าใบมาทำกำแพงกันคลื่นลมและเป็นที่อนุบาลสัตว์ทะเลให้วางไข่เลี้ยงลูกแทนป่าชายเลนได้ การเอาป่าชายเลนไปหั่นเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือไปเผาถ่านก็คงน่าเสียดายไม่มาก..." .......................................... คุณผู้อ่านทราบมั้ยครับ ว่า ป่าชายหาด กับป่าชายเลนต่างกันยังไง ? ป่าพรุ จะไม่ผลัดใบ และน้ำที่ขังในป่าพรุนั้น คือน้ำจืด ไม่ใช่น้ำเค็ม! ในผลการศึกษาเรื่องป่าชายเลน ของคณะอนุกรรมาธิการด้านทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งมีพลเรือเอก ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร สมาชิกวุฒิสภา เป็นประธานอนุกรรมาธิการ บอกไว้อย่างน่าสนใจว่า ป่าชายหาดนั้นคือป่าที่เกิดขึ้นในที่ดินทรายความเค็มสูง แต่น้ำทะเลจะท่วมไม่ถึง มักเกิดขึ้นหลังสันทรายตามแนวฝั่ง มีลักษณะเป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบ ส่วนต้นไม้ในป่าพรุนั้น แม้ไม่ผลัดใบเช่นกัน แต่ดินป่าพรุสมบูรณ์กว่ามาก เพราะเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมกันมานาน มีน้ำจืดขังเป็นแอ่งตลอดเวลา พืชในป่าพรุจึงมักมีโครงสร้างพิเศษ เช่น มีรากหายใจโผล่จากดิน ส่วนพืชในป่าชายเลน จะมีความแปลก มีคุณสมบัติพิเศษ และมีพันธุ์ที่หาได้ยาก ขยายพันธุ์ก็ยาก เพราะต้องยึดตัวเองอยู่ในเลน มีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็มของทะเลเข้าถึงสลับไปมาตลอดเวลา แถมดินเลนด้านใต้ก็ถูกคลื่นและน้ำขึ้นน้ำลงโยกไปมาตลอด มีสัตว์ประเภท หอย ปู และปลาตีนขุดรูเป็นโพรงอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านี้ตลอดเวลา โพรงรากของแต่ละต้นจึงพยายามปรับตัวให้สามารถยึดเกาะได้มากที่สุด เปลือกและแกนไม้ต้องพบกับสภาพการกัดกร่อนของน้ำเค็มได้ดี เดี๋ยวเปียกเดี๋ยวแห้งสลับไปมาโดยไม่มีคำว่าหน้าฝนหน้าแล้ง การงอกของต้นใหม่ต้องเผชิญกับคลื่นจึงทำให้มีทั้งแตกหน่องอกกอและทิ้งผลได้ ![]() นับเป็นนิเวศของพืชที่น่าจะมีวิวัฒนาการระดับแชมป์มากๆ แถมภารกิจนอกเหนือจากการเป็นทั้งโรงเรียน และโรงคลอดอันปลอดภัยให้สัตว์ทะเลนานาชนิดแล้ว ป่าชายเลนยังรับบทเป็นเกราะกำบังแผ่นดินชายฝั่งจากพายุ ทั้งลม และคลื่นในฐานะกำแพงที่ซ่อมตัวเองได้ ขยายกำแพงให้กว้างหรือหนาขึ้นก็ได้ เป็นเหงือกที่ช่วยดักกรองปฏิกูลและสารที่เข้มข้นต่างๆไม่ให้ผ่านจากบกลงทะเล เช่น โลหะหนัก เพราะสิ่งเหล่านั้นจะตกตะกอนไว้ที่บริเวณนี้ ตะกอนดินที่มาถึงปากแม่น้ำได้อาศัยรากและแนวป่าเหล่านี้ก่อตัวเป็นแผ่นดินตะกอนที่งอกขึ้นใหม่ ป่าชายเลนจึงมีสถานะผู้ช่วยเพิ่มพื้นที่ดินให้ประเทศไปด้วย ป่าชายเลนจึงมีบทบาทสำคัญไปถึงแม้แต่หญ้าทะเล และแนวปะการัง เป็นที่หลบ ที่อาศัยให้นกทะเล หรือแม้แต่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอีกหลากหลาย เล่ามาแค่นี้ เราก็รู้สึกว่า ป่าชายเลนมีค่ามากๆแล้วใช่มั้ยครับ... นี่ยังไม่พูดถึงมนุษย์เลยนะครับ ว่าได้ใช้ป่าชายเลนทำที่อาศัย ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำที่จอดเรือหลบพายุ ถีบกระดานจับหอยจับปู เอาเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวไปดรฟต์เฉยๆก็มี ตัดไม้โกงกางกันเป็นสัมปทาน(ดีที่สมัยนายกบรรหารสั่งเลิกสัมปทานไม้ป่าชายเลนทั่วประเทศเมื่อปี2538ไปแล้ว) ราษฏรเอาไม้ในป่าชายเลนมาทำไม้ก่อสร้าง ทำเสาเข็ม ทำไม้ค้ำยัน ทำแพปลา ทำอุปกรณ์ประมงสารพัด เพราะทนต่อการกัดกร่อนได้ดี หมดท่าเข้าก็เอามาทำฟืนเสียก็เยอะ หลังๆมานี้มีเอาไม้ป่าชายเลนทำเฟอร์นิเจอร์ด้วย คำถามคือ ถ้าเราสามารถเอาเฟอร์นิเจอร์อื่นๆเช่นเก้าอี้นวด เก้าอี้หลุยส์ หรือเตียงผ้าใบมาทำกำแพงกันคลื่นลมและเป็นที่อนุบาลสัตว์ทะเลให้วางไข่เลี้ยงลูกแทนป่าชายเลนได้ การเอาป่าชายเลนไปหั่นเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือไปเผาถ่านก็คงน่าเสียดายไม่มาก เหน็บซะหน่อย ![]() แต่เมื่อมองเข้าไปในสังคมวิทยาของมนุษย์แล้ว คนที่เกิดและโตมาในพื้นที่ป่าชายเลนมักจะเป็นคนยากไร้ แม้ไม่ถึงอดอยาก แต่มักจะยากที่จะขนส่งคมนาคมไปมา ยากที่จะเข้าถึงการศึกษา และยากที่จะมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ทำกิน เพราะที่ดินที่ตัวจะใช้นั้น ทั้งถูกทะเลและน้ำขึ้นน้ำลงซัดเคลื่อนไหวไปมา และเขตพื้นที่ป่าชายเลนก็ถูกกำหนดเป็นป่าของรัฐเพื่อรักษาประโยชน์ของส่วนรวมและระบบนิเวศชายฝั่งเอาไว้ให้ได้ ซึ่งก็จำเป็น.... ผมเคยเดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคนทำประมงชายฝั่งที่ประสบภัยพายุมรสุมหลายโอกาส สิ่งที่พบทำให้รู้สึกได้เลย ว่าความเป็นอยู่แม้ช่วงไม่ถูกพายุถล่มที่อยู่หลับนอนของพวกเค้าก็ยอบแยบมาก คนทำประมงขนาดเล็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กลางแดดในเรือลำเล็กๆที่สู้คลื่นสูงไม่ค่อยได้ อุปกรณ์ทำครัวแทบไม่มีอะไรคงทนการกัดกร่อนของไอเกลือทะเลได้ เตาแก้สก็มักจะผุเพราะไอเกลือกัด สู้เตาถ่านไม่ได้ ที่ล้างและตากจานที่เป็นโลหะ สู้กาละมังพลาสติกไม่ได้ ดังนั้นแม้ถูกหวยรวยเบอร์มา เครื่องซักผ้าและจักรยาน ก็จะเขรอะด้วยสนิมในเวลาไม่นาน จะทิ้งก็แพงจะใช้ต่อก็ผุ ฝาเรือนและพื้นบ้านมักจะทำจากไม้แผ่นจากป่าบกซึ่งย่อมไม่ทนต่อนิเวศของทะเล คือชื้นเหนียวเหนอะและโยกเยกไปตามการขึ้นลงของน้ำที่ขยับดินเลนไปมาทุกวัน ดังนั้นโครงบ้านของผู้อาศัยในป่าชายเลนจึงมักจะดูบูดๆเบี้ยวๆ เพราะเส้นโครงจะต้องแข็งแรงหนาๆ แต่จะให้ลงทุนหนาหมดก็ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ จึงต้องใช้ไม้อัด ไม้กระดานที่พอหาได้มาเชื่อม จึงทำให้บวมนั่นแต่บางนี่ ส่วนที่บางจะผุพังก่อน ทำให้ต้องปะผุกันไปตามโอกาส จะเดินท่อน้ำจืดมาใช้ก็เห็นท่อกันโล่งๆ เกิดแนวสีฟ้าสดของ พลาสติกเอสล่อนพุ่งตัดความเข้มของป่าชายเลนไปมาอย่างหลบสายตาไม่ได้ แถมน้ำขึ้นน้ำลงย่อมทำให้พื้นเลนเปียกแฉะ จะเดินเข้าออกก็ต้องอาศัยไม้กระดานตอกพาดไปมาเป็นช่วงๆ รองเท้าและของใช้ดีๆจึงแทบไม่มีที่จะเก็บจะวาง ![]() ต่างกับบ้านสวน บ้านดอย ที่แม้เงินน้อย แต่พื้นก็ไม่โยกเยก และไม่มีคลื่นของน้ำขึ้นน้ำลงมาสอยไปล่ะ สาธยายมานี้แทบไม่ต่างจากคนอาศัยใต้สะพานลอยในเมืองเท่าไร แต่พวกเค้าไม่อดอาหารนะครับ เพราะจับสัตว์ทะเลได้อยู่ แถมอัธยาศัยเป็นมิตร ต้อนรับขับสู้เสียอีก ทีนี้พอรัฐจำเป็นต้อง ''ยึดคืน ''และ ''ฟื้นฟู'' ป่าชายเลน ความไม่มั่นคงไม่มั่นใจย่อมเกิดขึ้นระหว่างกันและกันแน่ โจทย์ของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา ที่มีพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์เป็นประธานจึงมีอยู่ว่า ทำอย่างไรที่จะให้ทุกภาคส่วน ร่วมมือดูแลรักษาพื้นที่อันซับซ้อนทางนิเวศนี้ ให้เกิดความยั่งยืน และเราเชื่อว่า ต้นแบบการสร้างความยั่งยืน ต้องเป็นการอนุรักษ์ ควบคู่ กับการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด ที่สามารถดึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และมีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ขณะนี้ป่าชายเลนไทยหายไปถึง54.45% ในช่วงการพัฒนาหกสิบปีที่ผ่านมา แล้วเราจะคุ้มครอง ฟื้นฟู และดูแล ป่าชายเลนที่เหลืออยู่อย่างไร เราจะปลูกเพิ่ม เติมป่าให้ชายฝั่งของเราได้เพิ่มแค่ไหน จะทันไหม เพราะเรามีพื้นที่ป่าชายเลนเหลือใน 24 จังหวัดติดทะเลรวมๆแล้วเพียง 2.8ล้านไร่ แต่ที่ยังมีสภาพเป็นป่าชายเลนจริงนั้น เพียง 1.5ล้านไร่ ที่เหลือกลายเป็นเมือง เป็นนาเกลือ เป็นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เป็นบ่อปลานากุ้ง และกลายเป็นบ่อร้างเสียแล้ว ถ้าโรงคลอดและโรงเรียนอนุบาลของสัตว์ทะเลหายไป เราจะเหลืออะไรในทะเลล่ะ นอกจากขยะพลาสติก กับปลาที่หลงๆมาจากทะเลอื่น ชักท้าทายแล้วมั้ยล่ะครับ? ป่าชายเลน ป่าพรุ และป่าชายหาด จึงเป็นโจทย์ที่ผมจะสรุปจากงานของคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมาเล่าต่อในตอนหน้าครับ https://www.isranews.org/article/isr...2-isra-16.html
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|