![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
GCRMN เผย "โลกสูญเสียแนวปะการัง 14% ในช่วงทศวรรษเดียว" แม้ว่าปี 2021 จะเป็นปีที่ดีสำหรับสุขภาพของปะการัง แต่ปะการังในแนวปะการัง Great Barrier Reef ได้ลดลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Global Coral Reef Monitoring Network (GCRMN) เป็นเครือข่ายตรวจสอบแนวปะการังทั่วโลก ออกรายงาน ?Status of Coral Reefs of the World 2020? ฉบับที่ 6 (ฉบับแรกออกมาตั้งแต่ปี 2008) ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณของชุดข้อมูลทั่วโลกต่อเหตุการณ์การฟอกขาวของปะการังทั่วโลกที่เกิดบ่อยครั้งมากขึ้น เครือข่าย GCRMN ระบุผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นต่อแนวปะการังทั่วโลก ว่าเกิดจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงขึ้นเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ ล่าสุดพบการสูญเสียแนวปะการังทั่วโลกประมาณ 14% เมื่อนับตั้งแต่ปี 2009 (พ.ศ.2552) หรือประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่แนวปะการังที่มีชีวิตทั้งหมดในออสเตรเลีย และการฟอกขาวของปะการังที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างถือเป็นเป็นรบกวนแนวปะการังที่รุนแรงที่สุด เฉพาะในปี 1998 (พ.ศ.2541) มีปะการังทั่วโลกตายไปถึง 8% ![]() Great Barrier Reef ของออสเตรเลียได้สูญเสียปะการังไปมากกว่าครึ่งตั้งแต่ปี 1995 เนื่องจากทะเลที่ร้อนขึ้น แนวปะการังทั่วโลก อยู่ในพื้นที่มากกว่า 100 ประเทศ ถึงแม้จะครอบคลุมพื้นทะเลเพียง 0.2% แต่ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อระบบนิเวศของสัตว์ทะเลอย่างน้อย 25% รวมถึงสนับสนุนให้เกิดความปลอดภัยในการปกป้องชายฝั่ง แนวปะการังเป็นแหล่งอาหารที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่มนุษย์โลก อย่างไรก็ตาม แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางที่สุดในโลกต่อแรงกดดันจากมนุษย์ รวมถึงยังมีภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้มหาสมุทรเป็นกรดมากขึ้นเกิดจากมลภาวะบนบก เช่น การใช้สารเคมีทางการเกษตร ส่วนมลภาวะทางทะเล เช่น การทำประมงเกินขนาด หรือการทำประมงแบบทำลายล้าง ข้อมูลอ้างอิง https://www.unep.org/resources/statu...efs-world-2020 Credit Clip International Coral Reef Initiative วัตถุประสงค์ของ GCRMN คือรายงานสถานะของแนวปะการังของโลกที่อธิบายสถานะและแนวโน้มของแนวปะการังทั่วโลก รายงาน GCRMN Status of Coral Reefs of the World ฉบับที่ 6 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 และเป็นครั้งแรกที่อิงจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณของชุดข้อมูลทั่วโลกที่รวบรวมจากข้อมูลการตรวจสอบดิบซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 300 รายในเครือข่าย ชุดข้อมูลทั่วโลกครอบคลุมมากกว่า 40 ปีตั้งแต่ปี 1978 ถึง 2019 และประกอบด้วยการสังเกตการณ์เกือบ 2 ล้านครั้งจากไซต์มากกว่า 12,000 แห่งใน 73 ประเทศที่มีแนวปะการังทั่วโลก https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000103773
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
นักวิจัยจับ "ปลาพระอาทิตย์" กว้างกว่า 3 ม. ใช้เครนยกมาศึกษาก่อนปล่อย ![]() นักวิจัยจากสถานีชีววิทยาทางทะเลเอสเตรโช มหาวิทยาลัยเซบีญา ประเทศสเปน มีโอกาสที่หาได้ยากในการเก็บตัวอย่างเพื่อศึกษา ปลาพระอาทิตย์ หรือ ปลาโมลา ( Mola ) ขนาดมหึมา ที่ว่ายมาติดอวนประมงนอกฝั่งเมืองกวยตา ดินแดนสเปนนอกชายฝั่งทางเหนือของแอฟริกา เมื่อวันที่ 4 ต.ค. เป็นที่มาของคลิปแสดงให้เห็นการใช้เครนถึง 2 ตัวจากเรือสองลำ เพื่อยกปลาขนาดมหึมาขึ้นมาให้นักวิจัยได้วัดขนาด ประเมินน้ำหนัก และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอก่อนปล่อยลงทะเล ซึ่งเป็นภารกิจที่เครียดไม่น้อยกับความใหญ่โตของขนาด และความพยายามป้องกันอุบัติเหตุ ปลาพระอาทิตย์ มีรูปร่างแบนเหมือนจาน หัวขนาดใหญ่มากจนดูเหมือนเป็นทั้งตัวของมัน ส่วนหางเล็ก สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นปลากระดูกแข็งหนักที่สุดในโลก จุดที่พบอยู่ห่างราว 500 เมตรจากชายฝั่งเมืองกวยตา แหล่งธรรมชาติที่สามารถพบเห็นสัตว์ทะเลนานาพันธุ์ ทั้งเต่าหัวค้อน เต่าทะเล วาฬหรือโลมา ตามกระแสน้ำที่ไหลมาจากช่องแคบ ตาข่ายดักปลาแห่งนี้ จับปลาพระอาทิตย์ได้เป็นประจำ ปีที่แล้ว เคยพบถึง 572 ตัวในวันเดียว แต่ไม่เคยเจอตัวใหญ่แบบนี้มาก่อน ปลาตัวนี้วัดความยาวได้ 2.9 เมตร ความกว้างหรือระยะจากครีบทั้งสองข้าง 3.2 เมตร ส่วนน้ำหนัก มากเกินกว่าจะใช้เครื่องชั่งที่รับน้ำหนักได้เต็มที่ 1 พันกก. แต่ประเมินจากความอ้วนท้วนและเทียบกับปลาตัวอื่น คาดว่าปลาตัวนี้น้ำหนักน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 ตัน เอนริเก ออสตาเล ผู้ประสานงานสถานีชีววิทยาทางทะเล มหาวิทยาลัยเซบีญา กล่าวว่า ปลาพระอาทิตย์ที่เคยจับได้ในญี่ปุ่น วัดขนาดได้ 2.7 เมตร หนัก 2.3 ตัน ปัจจุบัน นักวิจัยจากห้องแลบชีววิทยาทางทะเลของสหรัฐ ( US Marine Biology Laboratory ) นำโดย ศาสตราจารย์ โฆเซ่ คาร์ลอส การ์เซีย โกเมซ กับทีมงานจากสวิตเซอร์แลนด์ กำลังร่วมกันศึกษาประชากรปลาพระอาทิตย์ในน่านน้ำกวยตา เพื่อแยกความแตกต่างทางโครงสร้างและพันธุกรรมระหว่างปลาโมลาสองชนิดพันธุ์ ได้แก่ โมลา โมลา กับ โมลา อเล็กซานดรินี ( Mola alexandrine หรือ southern sunfish ) แต่ตัวใหญ่ที่พบล่าสุดนี้เชื่อว่า เป็น โมลา อเล็กซานดรินี ที่พบได้ยากกว่า ทั้งสองชนิดพันธุ์เป็นปลาไม่ดุร้าย กินพวกแมงกะพรุนเป็นอาหารส่วนใหญ่ กวยตา เป็นหนึ่งในดินแดนสเปน 9 แห่งในทวีปแอฟริกา ติดชายแดนโมร็อกโก เลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับแอตแลนติก https://www.komchadluek.net/news/488807
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
อิสราเอลพบดาบ 900 ปีจากสงครามครูเสดใต้ก้นทะเล นักประดาน้ำค้นพบดาบเก่าแก่ 900 ปีที่เชื่อว่าเป็นของนักรบสงครามครูเสด ใต้ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ![]() รอยเตอร์สและเดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. หน่วยงานโบราณวัตถุของอิสราเอลเผยว่านักประดาน้ำค้นพบดาบที่เชื่อว่าเป็นของนักรบสงครามครูเสดที่แล่นเรือไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อเกือบ 1,000 ปีก่อน ใต้ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักประดาน้ำคนดังกล่าวคือ ชโลมี แคทซิน ซึ่งกระโดดลงไปในน่านน้ำนอกชายฝั่งคาร์เมลของอิสราเอลเพื่อสำรวจใต้ท้องทะเลพร้อมกับกล้องโกโปรที่ติดอยู่ที่หน้าผาก แม้ว่าจะถูกปกคลุมด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในทะเล แต่ใบมีดและด้ามดาบที่ยาวเป็นเมตรก็มีความโดดเด่นมากพอที่จะสังเกตเห็นได้หลังกระแสน้ำใต้ทะเลเคลื่อนทรายที่ปิดบังไว้ นักโบราณคดีเผยภายหลังว่าดาบดังกล่าวมีน้ำหนัก 4 ปอนด์ ยาวประมาณ 4 ฟุต และเชื่อว่ามีอายุประมาณ 900 ปี โดยมีต้นกำเนิดมาจากสงครามครูเสดครั้งที่ 3 ซึ่งจะถูกนำมาจัดแสดงหลังจากที่ทำความสะอาดและฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ แคทซินค้นพบโบราณวัตถุมาแล้วหลายชิ้นด้วยกัน รวมถึงสมอหินและเศษเครื่องปั้นดินเผาที่มีอายุหลายร้อยปี แต่เขาเผยว่าไม่มีของชิ้นไหนน่าประทับใจไปกว่าดาบเล่มนี้อีกแล้วเพราะมันหายากมาก โคบี ชาร์วิต ผู้อำนวยการฝ่ายโบราณคดีทางทะเลของหน่วยงานโบราณวัตถุอิสราเอล กล่าวว่า โดยปกติแล้วเรามักจะค้นพบดาบโบราณในสภาพที่ไม่ดี แต่ดาบเล่มนี้พบอยู่ใต้น้ำ และถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพดีมาก "นี่เป็นครั้งแรกที่เราพบดาบที่สวยงามเช่นนี้" พร้อมชี้ว่า ตำแหน่งดังกล่าวเป็นอ่าวธรรมชาติใกล้กับเมืองท่าไฮฟา ซึ่งเคยเป็นที่หลบภัยของนักเดินเรือ พื้นที่ตรงนี้ดูดเรือสินค้ามาหลายยุคหลายสมัย ทำให้มีการค้นพบทางโบราณคดีมากมาย ![]() โจนาธาน ฟิลลิปส์ ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของสงครามครูเสดจาก Royal Holloway แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน เผยว่า สมเหตุสมผลแล้วที่จะพบดาบเล่มนั้นในทะเลเพราะการสู้รบหลายครั้งเกิดขึ้นใกล้ชายหาด ซึ่งทหารคริสเตียนลงจอดและบางครั้งก็ถูกกองกำลังมุสลิมโจมตี ดาบเล่มนั้นอาจเป็นของนักรบที่ตกลงไปในทะเลหรือพ่ายแพ้ในการต่อสู้ในทะเล เอลี เอสโคซิโด ผู้อำนวยการทั่วไปของหน่วยงานโบราณวัตถุของอิสราเอลกล่าวยกย่องแคทซิน โดยระบุว่าโบราณวัตถุทุกชิ้นที่พบช่วยให้ไขปริศนาทางประวัติศาสตร์ของดินแดนอิสราเอลได้ ทั้งนี้ สงครามครูเสดเป็นชุดสงครามทางศาสนาในช่วงยุคกลาง ซึ่งคริสตจักรละตินเป็นผู้ริเริ่ม โดยประสงค์จะปลดปล่อยเยรูซาเล็มกับพื้นที่รายรอบให้พ้นจากการปกครองของมุสลิม โดยมีสงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งสำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งมีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้นถึง 9 ครั้งในมหาสงครามครั้งนี้ และยังมีสงครามย่อยๆ เกิดอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น และสงครามบางครั้งก็เกิดขึ้นภายในยุโรปเอง เช่น ที่สเปน นอกจากนี้ยังมีสงครามย่อยๆ เกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ 16 จนถึงยุคเรอเนสซองซ์ และการปฏิรูปศาสนา https://www.posttoday.com/world/665902
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|