![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
จับแพร้านอาหารอ่าวสะปำ ขายเมนูเปิบพิสดาร ปลาไหลมอเรย์ ![]() ภูเก็ต 12 มี.ค.- เจ้าหน้าที่บุกจับแพร้านอาหาร 2 แห่ง ที่อ่าวสะปำ จ.ภูเก็ต ขายเมนูเปิบพิสดาร ปลาไหลมอเรย์ เจอของกลางปลาสวยงามห้ามครอบครองเพียบ หลังจากมีผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งโพสต์คลิปเมนู "เปิบพิสดาร ปลาไหลมอเรย์" แพร้านอาหารทะเลภายในอ่าวสะปำ ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นลักษณะแพกลางทะเล โดยจะรับซื้ออาหารทะเลสด ๆ จากชาวประมงมาประกอบอาหาร และพบว่ามีปลาไหลมอเรย์ รวมอยู่ด้วย โดยในคลิปทางร้านระบุว่า ปลาไหลมอเรย์ สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนู โดยเฉพาะนึ่งซีอิ๊วกับทอดกระเทียม จากนั้นนักรีวิวอาหารได้ตกลงซื้อปลาดังกล่าวในราคา 700 บาท เพื่อนำไปทอดกระเทียมและนึ่งซีอิ๊ว โดยในช่วงท้ายคลิป ได้ลองชิมปลาไหลมอเรย์นึ่งซีอิ๊วให้ดู และบอกว่าเนื้อปลาไหลชนิดนี้มีรสชาตินุ่มอร่อยเหมือนปลาเก๋า และปลาหิมะ หลังจากภาพรีวิวเผยแพร่ออกไป ก็เกิดการวิจารณ์เป็นวงกว้าง สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 (สทช.10) โดยศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่ตรวจกรณีมีการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พบว่าแพร้านอาหารทะเลบริเวณอ่าวสะปำ มีการจำหน่ายปลาไหลมอเรย์ ซึ่งเป็นปลาสวยงามตามบัญชี 3 ท้ายประกาศกระทรวงฯ พร้อมจับกุมผู้กระทำความผิดจำนวน 2 ราย ร้านแรก พบของกลาง ปลาผีเสื้อนกกระจิบ 2 ตัว ปลาโนรี 2 ตัว ปลาสิงโต 2 ตัว ปลาวัวส้ม 1 ตัว ปลาไหลมอเรย์ 5 ตัว ส่วนร้านที่ 2 พบของกลางเป็น ปลาสิงโต 1 ตัว ปลาโนรี 2 ตัว ปลาปักเป้าหน้าหมา 1 ตัว โดยแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานฝ่าฝืน ข้อ 11 (8) ห้ามจับหรือครอบครองปลาสวยงามในบัญชี ก่อนที่จะนำผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ดำเนินคดีต่อไป ปลาไหลมอเรย์ ส่วนใหญ่มีสีสันลวดลายสวยงาม บางชนิดที่มีขนาดเล็ก ยาวไม่เกิน 2 ฟุต อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามาม ไม่ใช่เพื่อการบริโภค นายสุชาติ รัตนเรืองสี ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 (สทช.10) กล่าวว่า นอกจากพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนว่ายังมีร้านจำหน่ายอาหารทะเลหรือซีฟู้ดอีกหลายแห่งที่มีกระชังเลี้ยงปลาเป็นของตัวเอง แอบลักลอบนำปลาสวยงามมาทำเมนูจำหน่ายให้กับลูกค้า แต่จะไม่มีการระบุชื่อเมนูของปลาสวยงามไว้ในเมนูหลัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถนำมาทำเมนูอาหารได้ จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบต่อไป. https://tna.mcot.net/region-1132230 ****************************************************************************************************** กรม ทช. เผยปลาตายเกยหาดบางแสนหลุดจากเครื่องมือประมง ![]() ชลบุรี 12 มี.ค. ? กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตรวจสอบการตายของปลาที่ถูกน้ำทะเลซัดขึ้นเกยหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี พบเกิดจากอวนแตก โดยปลาที่ตายเป็นเป็นปลาตะเพียนน้ำเค็มซึ่งขณะนี้เป็นฤดูชุกชุม นอกจากนี้ยังตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล ไม่พบความผิดปกติใดๆ โดยอยู่ในเกณฑ์คุณภาพน้ำทะเลเพื่อการนันทนาการ ขณะนี้เทศบาลเมืองแสนสุขเก็บซากปลาและทำความสะอาดหาดเรียบร้อยแล้ว นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าวว่า ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก (ศวบอ.) สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 รายงานผลการตรวจสอบสาเหตุการตายของปลาที่ถูกน้ำทะเลซัดขึ้นมาเกยหาดบางแสน จังหวัดชลบุรีตามที่ได้รับแจ้งจากเทศบาลเมืองแสนสุขเมื่อเวลาประมาณ 17:20 น. พบการขึ้นเกยหาดของปลาทะเลจำนวนมากบริเวณชายหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยพบว่า ปลาที่ตายเป็นปลาชนิดเดียวกันคือ ?ปลาตะเพียนน้ำเค็ม? ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Anodontostoma chacunda มีชื่อเรียกอีกว่า ปลาโคกหรือปลามักคา เป็นปลาน้ำเค็มและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหลังเขียว ทั้งนี้ซากปลาที่เกยหาดมีขนาดใกล้เคียงกันทั้งหมด ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร จึงตรวจสอบข้อมูลจากเครือข่ายอนุรักษ์ ผู้ประกอบการแพปลา และเรือประมงในพื้นที่พบว่า เรือประมงอวนล้อมได้ออกจับปลาปลาตะเพียนน้ำเค็มที่ชุกชุมมากในระยะนี้ ปริมาณที่จับได้มากถึงวันละหลายหมื่นกิโลกรัม โดยขณะทำการประมง อวนที่จับปลาเกิดขาด ทำให้ปลาที่จับได้หลุดลอยและถูกคลื่นลมซัดไปเกยบริเวณชายหาดบางแสน ต่อมาเทศบาลเมืองแสนสุขได้จัดเก็บซากปลาทั้งหมดออกจากชายหาดบางแสน มีน้ำหนักรวมโดยประมาณ 8,000 กิโลกรัม และทำความสะอาดชายหาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อหาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยข้อมูลคุณภาพน้ำเบื้องต้นจากสถานีตรวจวัดน้ำอัตโนมัติที่ศรีราชาซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้เคียงมากที่สุด (วันที่ 11 มีนาคม 2566 เวลา 17:00 น.) อุณหภูมิ 29.32 องศาเซลเซียส ความเค็ม 31.70 PSU ความอิ่มตัวออกซิเจนละลายในน้ำ 270.30% ความเป็นกรด-ด่าง 8.33 อยู่ในเกณฑ์คุณภาพน้ำทะเลเพื่อการนันทนาการ สำหรับ "ปลาตะเพียนน้ำเค็ม" เป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ สามารถจำหน่ายได้ในราคา 30-40 บาท/กิโลกรัม ในช่วงนี้มีความชุกชุมมากในพื้นที่ตำบลแสนสุขและใกล้เคียง สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนชายฝั่งจำนวนมาก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของจังหวัดชลบุรี ทางศวบอ. ได้กำชับเรือประมงให้ทำการประมงด้วยความระมัดระวังเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. https://tna.mcot.net/environment-1131990
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ฝุ่น PM 2.5 : ผลวิจัยชี้โลกแทบไม่มีสถานที่ปลอดมลพิษทางอากาศอีกแล้ว ![]() หมอกควันและฝุ่นพิษปกคลุมเหนือนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ 11 มีนาคม 2023 ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาตินำโดยมหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลีย เผยผลการศึกษาด้านมลพิษทางอากาศที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก โดยพบว่าตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีประชากรโลกเพียง 0.001% ได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่มีมลพิษในระดับต่ำ ทำให้ปัจจุบันแทบจะไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกปลอดจากหมอกควันและฝุ่นพิษอีกแล้ว ผลวิจัยดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ The Lancet Planetary Health ระบุว่าข้อมูลระหว่างปี 2000 - 2019 ชี้ว่าคุณภาพอากาศทั่วโลกมีแนวโน้มย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 2019 เมืองต่าง ๆ ทั่วโลกมีจำนวนวันที่ค่ามลพิษรวมทั้งฝุ่นละเอียด PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานบ่อยถึง 70% หรือเกือบตลอดทั้งปี ทั่วทุกภูมิภาคของโลกยังมีค่าเฉลี่ยความหนาแน่นของฝุ่นพิษดังกล่าวถึง 32.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึงสองเท่า มีการติดตามเก็บข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 5,446 แห่ง ใน 65 ประเทศ ตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปี ทำให้พบว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีสภาพการณ์ด้านมลพิษทางอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก โดยมีค่าเฉลี่ยความหนาแน่นของฝุ่นพิษ PM 2.5 สูงถึง 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในแต่ละปี รองลงมาคือภูมิภาคเอเชียใต้ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของ PM 2.5 อยู่ที่ 37.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนอันดับสามคือภูมิภาคแอฟริกาเหนือที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนของโลกที่ปริมาณของฝุ่นพิษยังคงไม่สูงมากนัก โดยออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีค่าเฉลี่ยของ PM 2.5 ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพียง 8.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามมาด้วยภูมิภาคโอเชียเนียและอเมริกาใต้ที่ 12.6 และ 15.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามลำดับ ส่วนแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงด้านมลพิษทางอากาศของทั่วโลก ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าฝุ่น PM 2.5 ในภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือมีแนวโน้มลดต่ำลง ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อเมริกาใต้, และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนกลับมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น มลพิษจากฝุ่น PM 2.5 มักมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามฤดูกาล โดยในทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและภาคเหนือของอินเดีย การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อให้ความอบอุ่นในครัวเรือน ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศในปริมาณสูงสุดในช่วงฤดูหนาว แต่แถบชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือและทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ไฟป่าคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศในช่วงฤดูร้อน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศถึง 8 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละเอียด PM 2.5 นั้น สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนลึกและเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดโรคร้ายแรงอย่างเช่นมะเร็งปอด, โรคหัวใจ, และโรคหลอดเลือดสมองได้ https://www.bbc.com/thai/articles/cy9d4ql1xjpo
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|