![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'โลมาอิรวดี' สัตว์ป่าคุ้มครองแห่งทะเลสาบสงขลา เร่งอนุรักษ์ก่อนสูญพันธุ์ KEY POINTS - โลมาอิรวดีที่อาศัยในน้ำจืด เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ (CR) และในไทย ถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 - ในปี พ.ศ. 2565 เหลือเพียง 14 - 20 ตัว ซึ่งโลมาอิรวดีแห่งทะเลสาบสงขลา เป็นเอกลักษณ์ที่ทั่วโลกมีเพียง 5 ประชากรย่อยเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด - หากประเทศไทยไม่สามารถอนุรักษ์โลมาอิรวดีกลุ่มนี้ไว้ได้ นับเป็นความสูญเสียในระดับสากลซึ่งเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ไม่สามารถทดแทนได้ ![]() โลมาอิรวดี นับเป็นสัตว์น้ำหายาก ประเทศไทยถือเป็นพื้นที่ 1 ใน 5 แห่งของโลก ที่พบโลมาอิรวดี ได้แก่ ในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่าโลมาอิรวดี ตายไปทั้งหมดกว่า 140 ตัว ข้อมูลจาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เผยว่า การประเมินสถานภาพประชากรโลมาอิรวดีทั่วโลก จากบัญชีแดงของ IUCN ( IUCN Red List of Threatened Species ) ในปี ค.ศ. 2017 ระบุให้โลมาอิรวดีที่อาศัยในน้ำจืด เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ (CR) อีกทั้ง ในประเทศไทยโลมาอิรวดีถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ประกอบกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีการศึกษาวิจัย สำรวจและติดตามประชากรโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตอนบน โดยคาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาก่อนปี พ.ศ. 2534 มีมากกว่า 100 ตัว แต่จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในปี พ.ศ. 2565 เหลือเพียง 14 - 20 ตัว ซึ่งโลมาอิรวดีแห่งทะเลสาบสงขลาเป็นเอกลักษณ์ที่ทั่วโลกมีเพียง 5 ประชากรย่อยเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด หากประเทศไทยไม่สามารถอนุรักษ์โลมาอิรวดีกลุ่มนี้ไว้ได้ นับเป็นความสูญเสียในระดับสากลซึ่งเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ไม่สามารถทดแทนได้ เป็นภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความอ่อนแอของการบริหารจัดการเพื่อการอนุรักษ์ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ ดังนั้น การอนุรักษ์โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาตอนบน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยจะต้องทำควบคู่กับการดูแลวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนประมงพื้นบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบทะเลสาบสงขลา จำนวน 60 ชุมชน เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน ทั่วโลก มีการค้นพบโลมาอิรวดีในน้ำจืดเพียง 5 แห่ง 1. แม่น้ำอิรวดี ประเทศเมียนมา 2. แม่น้ำโขง ในส่วนที่เป็นประเทศลาวและกัมพูชา 3. แม่น้ำมะหะขาม ประเทศอินโดนีเซีย 4. ทะเลสาบซิลิก้า ประเทศอินเดีย 5. ทะเลสาบสงขลาของประเทศไทย แผนอนุรักษ์ "โลมาอิรวดี" ทช. ได้มีการจัดทำ "แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา" (พ.ศ. 2567 - 2576) วัตถุประสงค์เพื่อลดภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อโลมาอิรวดีและแหล่งที่อยู่อาศัย ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลาและเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ รวมถึงการศึกษาวิจัยนิเวศวิทยาและชีววิทยาของโลมาอิรวดี วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการเพิ่มประชากรโลมาอิรวดี และเป็นแนวทางการอนุรักษ์โลมาอิรวดีและการเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน รวมถึง การบริหารจัดการแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ประกอบด้วยตัวชี้วัด 3 ข้อ ได้แก่ 1. อัตราการตายของโลมาอิรวดีจากเครื่องมือประมงเป็นศูนย์ 2. จำนวนประชากรโลมาอิรวดีเพิ่มขึ้นเป็น 30 ตัว ในระยะเวลา 10 ปี 3. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวงมีการลาดตระเวนเชิงคุณภาพครอบคลุมพื้นที่อย่างสม่ำเสมอและระบบฐานข้อมูลการปฏิบัติงานที่ตรวจสอบได้ แผนอนุรักษ์ฯ 5 ปี สำหรับ แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาระยะ 5 ปี เป้าหมายเพื่ออนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน (20 ตัวในเวลา 5 ปี) ดังนี้ แผนงานที่ 1 การลดภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อโลมาอิรวดี และแหล่งที่อยู่อาศัย (3 โครงการ 8 กิจกรรม) - เป้าหมาย 1. ไม่มีเครื่องมือประมงที่เป็นอันตรายต่อโลมาอิรวดี ทำการประมงในทะเลสาบ 2. กำหนดเขตพื้นที่คุ้มครอง และพื้นที่หวงห้ามสำหรับอนุรักษ์โลมาอิรวดี 3. ประชาชนในพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลาตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามต่อโลมาอิรวดีและมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ แผนงานที่ 2 การฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลา และการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ (1 โครงการ 1 กิจกรรม) - เป้าหมาย เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของโลมาอิรวดีในแหล่งที่อยู่อาศัย แผนงานที่ 3 การศึกษาวิจัยนิเวศวิทยาและชีววิทยาของโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา (2 โครงการ 5 กิจกรรม) - เป้าหมาย 1. ข้อมูลการแพร่กระจายและจำนวนประชากรของโลมาอิรวดีที่เป็นปัจจุบัน 2. เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการตื้นเขินและการลดมลพิษของทะเลสาบสงขลาตอนบน แผนงานที่ 4 การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประชากรโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา (1 โครงการ 1 กิจกรรม) - เป้าหมาย ข้อมูลรูปแบบและความหลากหลายทางพันธุกรรมของโลมาอิรวดี แผนงานที่ 5 การดำเนินงานอนุรักษ์โลมาอิรวดีและการเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน (7 โครงการ 17 กิจกรรม) - เป้าหมาย 1. เจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร ปฏิบัติงานลาดตระเวน คุ้มครอง เฝ้าระวังเชิงคุณภาพ และช่วยชีวิตโลมาอิรวดีอย่างมีประสิทธิภาพ 2. นายสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการช่วยชีวิตโลมาอิรวดีและสัตว์ทะเลหายาก 3. พัฒนาศูนย์เรียนรู้และช่วยชีวิตโลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาและสัตว์ทะเลหายาก 4. การอนุรักษ์โลมาอิรวดีและการเสริมสร้างรายได้ของชาวประมงในแต่ละชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา 5.การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์โลมาอิรวดีบนพื้นฐานของมิติความเท่าเทียมกันทุกเพศสภาพ (Genderequality) แผนงานที่ 6 การบริหารจัดการแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (1 โครงการ 4 กิจกรรม) - เป้าหมาย การบริหารจัดการ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาในทุกมิติ สร้างความยั่งยืน ทั้งนี้ แผนดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ใน 4 เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ 5 : บรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน เป้าหมายที่ 10 : ลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ เป้าหมายที่ 12 : สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และ เป้าหมายที่ 14 : อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน อ้างอิง : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง https://www.bangkokbiznews.com/environment/1132574
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
อุทยานฯ โกยเงิน 1.7 พันล้าน ต่างชาติเที่ยวไทย ฮิตสุด "เกาะพีพี" นักท่องเที่ยวต่างชาติ เที่ยวอุทยานฯเพิ่มขึ้น ทำยอดเงินพุ่ง 8 เดือน กว่า 1.7 พันล้านบาท อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มากสุด "พัชรวาท" สั่งเร่งเพิ่มศักยภาพเร่งพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ ย้ำจัดเก็บและใช้จ่ายงบฯ โปร่งใส ![]() วันนี้ (22 มิ.ย.2567) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบนโยบายให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ เร่งเพิ่มศักยภาพและพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยการนำเงินอุทยานแห่งชาติที่จัดเก็บได้ ไปใช้ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตลอดจนระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวให้ได้รับความพึงพอใจต่อการเข้ามาใช้บริการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเน้นย้ำการจัดเก็บเงินอุทยานฯและใช้จ่ายงบอย่างโปร่งใส นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ ได้เปิดเผยข้อมูลยอดการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ต.2566 ถึงปัจจุบัน (20 มิ.ย.2567) ปรากฏว่ามียอดการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,785,493,410 บาท ซึ่งเป็นยอดสถิติการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติ ที่สามารถจัดเก็บเงินจนแซงหน้ายอดการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติ ทั้งปีของปี พ.ศ 2566 ไปแล้ว โดยในปี พ.ศ 2566 จัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติทั้งปีได้จำนวน 1,467,641,971 บาท จากยอดการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว มีปัจจัยมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล ทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม จนทำให้เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญ ในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับการจัดอันดับแหล่งท่องเที่ยวชายหาดที่สวยงามของโลก โดยมีเกาะกระดานในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นชายหาดที่มีความสวยงามในระดับโลก จึงส่งผลให้แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอื่นๆ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยเช่นกัน โดยอุทยานแห่งชาติที่สามารถจัดเก็บเงินได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี 500,866,577 บาท 2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 243,655,470 บาท 3. อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด 127,820,710 บาท 4. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา 114,226,610 บาท 5. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 100,545,505 บาท โดยการจัดเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่สามารถจัดเก็บเงินรายได้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงปัจจุบัน (วันที่ 20 มิ.ย.2567) สามารถจัดเก็บเงินได้จำนวนทั้งสิ้น 500,279,247 บาท ซึ่งเป็นสถิติการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติ ที่สามารถจะเก็บเงินจนแซงหน้ายอดการจัดเก็บเงิน ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท โดยยอดการจัดเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงเดือน มิ.ย.2566 เป็นจำนวนเงิน 208,572,803 บาท โดยสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน ระหว่าง พ.ศ. 2566 จำนวน 2,660,308 คน และ พ.ศ. 2567 จำนวน 4,548,762 คน เพิ่มขึ้นถึง 1,888,454 คน หรือคิดเป็น 41.5 % สำหรับเงินอุทยานแห่งชาติซึ่งจัดเก็บได้ จะถูกนำมาใช้จ่ายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในพื้นที่โซนบริการของอุทยานแห่งชาติ ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน การพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรในหน่วยงาน ตลอดจนการจัดสรรเงินส่วนหนึ่งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับอุทยานแห่งชาติ สำหรับการพิจารณาใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติฯได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติ โดยมีผู้แทนจากองค์กรภายนอกอันเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากสถาบันการศึกษา ตลอดจนองค์กรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพิจารณาการใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติในประเทศไทย ตลอดจนภาคีเครือข่ายต่างๆที่อยู่โดยรอบ อีกทั้งที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ดำเนินการพัฒนาการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติให้เกิดความโปร่งใส ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จนส่งผลให้ยอดการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตลอดจนการนำเงินอุทยานฯไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน https://www.thaipbs.or.th/news/content/341297
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|