เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 16-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ถอดบทเรียน 3 ประเทศเอเชีย เตรียมการรับมือภัยพิบัติอย่างจริงจัง


SHORT CUT

- ญี่ปุ่น เคยประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ พวกเขาสร้างอาคารบ้านเรือนให้มั่นคงกว่าเดิม มีระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวที่ทันสมัยที่สุดในโลก

- อินโดนีเซีย เผชิญภัยคุกคามจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง เมืองหลวงกำลังค่อยๆจมลงทะเล ต้องเร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

- ฟิลิปปินส์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติมากที่สุดในโลก ทุ่มเงินทุนกว่า 800 ล้านดอลลาร์เพื่อตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินโดยเฉพาะ




ภัยพิบัติสามารถเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ และนั่นหมายถึงความสูญเสียที่คุกคามชีวิตคนจำนวนมาก การเตรียมรับมือภัยพิบัติจึงเป็นเรื่องจำเป็นของทุกประเทศ และนี่คือ 3 ประเทศในเอเชียที่มีการเตรียมความพร้อมอย่างเข้มงวดที่สุด

ไม่มีใครอยากเผชิญกับเหตุภัยพิบัติ เพราะนั่นหมายถึงโศกนาฏกรรมที่สามารถทำลายที่อยู่อาศัย อาคารบ้านเรือน และคุกคามชีวิตของผู้คนจำนวนมาก แต่กลับมีน้อยคนที่จะเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตจริงเมื่อไหร่ก็ได้ และอาจมีไม่กี่ประเทศที่เตรียมมาตรการสำหรับรับมือภัยพิบัติทุกรูปแบบอย่างจริงจัง

ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คือสามประเทศในเอเชียที่มักจะเผชิญกับความเสี่ยงต่อภัยพิบัติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพายุไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วม จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลของพวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมรับมือสำหรับเหตุฉุกเฉินใดๆ ก็ตามที่อาจเกิดขึ้น และนี่คือสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากการเผชิญภัยพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า


ญี่ปุ่น

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2466 ที่ราบคันโตของญี่ปุ่นประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาก วัดความรุนแรงได้ระดับ 7.9 ส่งผลอาคารและบ้านเรือนในหลายเมืองเหลือแต่ซากปรักหักพัง ซ้ำเติมด้วยพายุไต้ฝุ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน จนเกิดแนวคิดเรื่องการย้ายเมืองหลวงขึ้นมา

แต่สุดท้าย ญี่ปุ่นตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะย้ายเมืองหลวง แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ให้มั่นคงกว่าเดิม อาคารไม้และอิฐถูกแทนที่ด้วยคอนกรีตและเหล็ก ตามด้วยการสร้างถนนมอเตอร์เวย์ ระบบรถไฟใต้ดิน และสนามบิน โดยไม่หวั่นว่าจะเกิดภัยพิบัติอีกครั้ง

ญี่ปุ่นตั้งอยู่ใกล้กับลุ่มน้ำแปซิฟิก จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้ง่ายกว่าประเทศส่วนใหญ่ แต่นั่นยิ่งผลักดันให้ญี่ปุ่นก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ พวกเขาตั้งให้วันที่ 1 กันยายนซึ่งตรงกับวันแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ให้เป็นวันป้องกันภัยพิบัติแห่งชาติ ทั้งภาครัฐ-เอกชนและโรงเรียนหลายแห่ง จะจัดให้มีการฝึกซ้อมอพยพ ซึ่งแม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ต้องเข้าร่วมการซ้อมด้วย

ญี่ปุ่นยังมีระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าที่ทันสมัยที่สุดในโลก รวมถึงระบบเตือนภัยสึนามิซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 300 ตัว และเซ็นเซอร์ทางน้ำ 80 ตัว ที่จะคอยตรวจจับการสั่นไหวของแผ่นดิน มีสถานพักพิงที่ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวและสึนามิจำนวนหลายร้อยแห่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออก สร้างประตูระบายน้ำและกำแพงป้องกันสึนามิในหลายเมือง ทั้งยังมีการปรับปรุงและอัปเกรดความปลอดภัยและแนวปฏิบัติด้านอาคารอย่างต่อเนื่อง


อินโดนีเซีย

อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เผชิญภัยคุกคามจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้ถึงสามเปอร์เซ็นต์ของ GDP สึนามิ น้ำท่วม และภัยแล้ง ที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงดินถล่มและภูเขาไฟระเบิด ขณะที่ประชากรของประเทศเกือบ 25 ล้านคน ยังต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย ยังประสบปัญหาการค่อยๆจมลงทะเลที่ 3.5 เซนติเมตรต่อปี โดยที่เมืองนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณร้อยละ 40 ทำให้เสี่ยงต่อน้ำท่วมได้ง่าย และอาจกลายเป็นเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำในอนาคต

เพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินเหล่านั้น อินโดนีเซียมีการวางโครงสร้างและกระบวนการต่างๆ มากมาย เช่น จัดตั้งสำนักงานจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้นโดยให้กระจายอยู่ในจังหวัดและอำเภอต่างๆ ทั่วประเทศ ในฐานะหน่วยงานจัดการภัยพิบัติในพื้นที่

อินโดนีเซียยังได้รับงบประมาณสำหรับความช่วยเหลือ มูลค่ากว่า 550 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น โดยรัฐบาลได้นำไปจัดสรรลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ระหว่างปี 2549-2553 รวมถึงนโยบายต่างๆ ที่เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับภัยคุกคามอย่างจริงจัง


ฟิลิปปินส์

เมื่อประเทศประกอบด้วยเกาะมากกว่า 7,000 เกาะและแนวชายฝั่งยาว 36,000 กิโลเมตร ฟิลิปปินส์จึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในโลก 74% ของประชากรมีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะกรุงมะนิลาซึ่งถือเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ทั้งพายุไต้ฝุ่น น้ำท่วม และดินถล่ม

ในช่วงปี พ.ศ.2526-2555 มีผู้เสียชีวิตจากพายุ 24,281 ราย และมีประชาชนอีกเกือบ 100 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าว สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.9 พันล้านดอลลาร์

เพื่อเฝ้าระวังภัยพิบัติต่างๆ ฟิลิปปินส์ก็ได้รับเงินสนับสนุนการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติจำนวน 834 ล้านดอลลาร์จากประชาคมระหว่างประเทศ แน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น โดยคาดว่าเงินทุนมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์จะนำไปใช้ในการตอบสนองเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ผ่านกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับอาคารและการจัดการการใช้ที่ดินแล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ภาครัฐต้องดำเนินการเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆ กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

ที่มา: skysaver


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852137

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:30


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger