![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
"ลูกพะยูน" หลงแม่เกาะปอดะตายแล้ว พบลิ่มเลือดอุดตันหลอดลม ลูกพะยูนเกาะปอดะ จ.กระบี่? ตายแล้ว หลังรักษาและอนุบาล 18 วัน ด้านกรมทะเล เผยป่วยตายตามธรรมชาติ พบภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว ![]() วันนี้ (28 ส.ค.2567) ความคืบหน้าพบลูกพะยูน???บริเวณเกาะปอดะ ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่? เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือเบื้องต้น ขนย้ายมารักษาและอนุบาลที่สถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ล่าสุดลูกพะยูนได้ตายแล้ว เมื่อเวลา 06.18 น. หลังรักษาและอนุบาล 18 วัน โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวถึงกรณีลูกพะยูนเกยตื้นที่บริเวณเกาะปอดะ ต.อ่าวนาง จ.กระบี่ ที่ตายหลังจากนำมาอนุบาลว่าตนได้ติดตามข่าวสารและอัพเดทอาการของลูกพะยูนที่เกยตื้นมาโดยตลอด แต่พอได้ทราบรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าลูกพะยูนได้จากไปแล้ว ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ทีมงานสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครทุกคน ที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาลูกพะยูนตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับ "พะยูน" เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 การจากไปของลูกพะยูนในวันนี้ เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในประเทศที่ต้องตระหนักและร่วมมือร่วมใจกันปกป้อง คุ้มครอง ดูแลพะยูนและแหล่งอาหารรวมถึงที่อยู่อาศัยของพะยูน อยากให้ทุกคนเห็นตรงกันว่า "การอนุรักษ์พะยูนไม่เพียงแค่เป็นการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องรักษาบ้านของพะยูนซึ่งหมายถึงแหล่งหญ้าทะเลด้วย และเมื่อใดมีแหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์ ย่อมหมายถึงการมีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน มีทะเลที่สมบูรณ์" ดังนั้นมิติของการอนุรักษ์พะยูนจึงเป็นการรักษาความสมบูรณ์ของท้องทะเลไทยอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ทำงานเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูเพิ่มจำนวนพะยูนในท้องทะเลไทยมาโดยตลอด รวมถึงสานต่อแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติระยะที่ 2 ด้วยการเพิ่มโครงการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเล อีกทั้งใช้กลไกคณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผน การติดตามสถานภาพเฝ้าระวัง ศึกษาพฤติกรรมและถิ่นอาศัยของสัตว์ทะเลหายากอีกด้วย ถึงแม้วันนี้ พะยูนน้อยจะจากพวกเราไปแล้ว แต่เราไม่ได้สูญเสียพวกเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาได้ทิ้งองค์ความรู้ในการดูแลสัตว์ทะเลหายาก พร้อมปลุกจิตสำนึกให้ทุกคนหันมาใส่ใจในการดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งยังมีพะยูนอีกหลายร้อยชีวิตในท้องทะเลไทยที่ต้องการให้พวกเราช่วยกันปกป้องและคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยต่อไป ด้าน ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ลูกพะยูนตัวดังกล่าวมีปัญหาการทรงตัวและพลัดหลงจากแม่ จึงจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทางเจ้าหน้าที่ ศวอล. จึงได้ประสานงานกับทางอุทยานฯ ในการเข้าพื้นที่ช่วยเหลือเบื้องต้นและขนย้ายมายังที่ทำการอุทยานฯ การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นเป็นพะยูนเพศผู้ วัยเด็ก คาดว่าอายุประมาณ 2-4 เดือน มีความยาว 102 ซม. น้ำหนัก 113 กก. จากการตรวจร่างกายพบว่าพะยูนอ่อนแรงแต่ยังสามารถขึ้นหายใจได้ พบรอยขีดข่วนบริเวณส่วนจมูกและหัวเล็กน้อย ความสมบูรณ์ของร่างกายค่อนข้างผอม บริเวณตาซ้ายขุ่นและตาจมลึกซึ่งแสดงว่าพะยูนมี ภาวะขาดน้ำ เสียงปอดชื้นเล็กน้อย ลำไส้มีการบีบตัว และพะยูนยังมีความอยากอาหารอยู่ เจ้าหน้าที่ ศวอล. จึงขนย้ายพะยูนตัวดังกล่าวมาอนุบาลสระน้ำขนาดความจุน้ำ 50 ตัน ที่สถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง พร้อมเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปวิเคราะห์ทางโลหิตวิทยา จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีค่ากลูโคสในกระแสเลือดต่ำต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ในเบื้องต้นสัตวแพทย์ได้มีการป้อนนมทดแทนและน้ำเพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำและทางสัตวแพทย์ได้ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด และปรับสัดส่วนของอาหารทดแทนนม เพื่อให้เหมาะสมต่อความต้องการโภชนาการของลูกพะยูน โดยให้นมทดแทนสำหรับลูกสัตว์และอิเล็กโทรไลด์ทางการสอดท่อทุก 3-4 ชั่วโมง ต่อมาวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา ลูกพะยูนแสดงอาการซึม ลอยตัวนิ่ง เวลา 21.30 น. ลูกพะยูนแสดงอาการหายใจถี่ขึ้น มีอาการหายใจลำบาก และจมตัวลงพื้นบ่อไม่สามารถทรงตัวได้ ทีมสัตวแพทย์จึงรีบพยุงตัวสัตว์ขึ้นเหนือน้ำ และติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด อัตราการหายใจเฉลี่ย 15-20 ครั้งต่อ 5 นาที การหายใจถี่และสั้น จึงให้ออกซิเจนและยากระตุ้นการหายใจ วัดหัวใจเต้นเบาลง ตรวจการเคลื่อนไหวของลำไส้พบว่ามีการเคลื่อนไหวช้าลง ตรวจวัดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดพบว่า 21 mg/dl บ่งบอกว่าลูกพะยูนพบน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำกว่าปกติอย่างรุนแรง จึงได้ให้สารน้ำเข้าทางหลอดเลือดและทางการป้อนยาลดปวดเพื่อพยุงอาการ จนกระทั่งเวลา 06.18 น. ของวันนี้ (28 ส.ค.) สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตนได้รับแจ้งจากทีมสัตวแพทย์ว่าลูกพะยูนได้จากพวกเราไปแล้ว โดยทีมสัตวแพทย์ได้รายงานผลชันสูตรการตายของลูกพะยูนว่า น้องมีอาการชักเกร็ง สีเยื่อเมือกซีด หายใจช้าลงผิดปกติ การเต้นของหัวใจเบาลงและการตอบสนองช้าลง จนหยุดนิ่งและเสียชีวิตในที่สุด จากการชันสูตรซากลูกพะยูนพบว่าเนื้อเยื่อปอดมีเลือดคั่ง และพบลิ่มเลือดอุดตันภายในหลอดลมและแขนงหลอดลมปริมาณมาก บริเวณผนังช่องท้องพบลิ่มเลือดกระจายเป็นหย่อมๆ ส่วนของทางเดินอาหารพบปื้นเลือดออกบริเวณกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเล็กน้อย สรุปสาเหตุการตายคาดว่าป่วยตายตามธรรมชาติเนื่องจากภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว https://www.thaipbs.or.th/news/content/343612
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
พายุจะเข้าไทย 2 ลูกเดือนกันยายน-ตุลาคม โลกร้อน-ต้นไม้ลด ทำให้โลกแปรปรวน SHORT CUT - กรมอุตุฯเผย ไทยจะมีพายุเข้า 2 ลูกช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม - อิทธิพลร่องมรสุมกำลังแรงบ้างเบาบ้าง ทำให้ฝนตกชุกหนาแน่นบางพื้นที่ - โลกร้อนมีส่วนทำให้สภาพอากาศแปรปรวนหนัก ฝนตกที่เดิมซ้ำ ๆ ต้นไม้ลดลง ตึกมากขึ้นก็มีส่วน - โลกร้อนทำให้การพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยายากขึ้น ![]() กรมอุตุนิยมวิทยาเผย พายุจะเข้าไทยจริง 2 ลูก เดอืนกันยายน-ตุลาคม ส่งผลให้ฝนตกหนักมากขึ้น โลกร้อน-ต้นไม้ลดลง มีส่วนทำให้อากาศโลกแปรปรวนขึ้น ส่งผลให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น 28 ส.ค. 2567 ว่าที่ร้อนตรี ธนะสิทธิ์ เอี่ยมอนันชัย รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวสปริงนิวส์ในคอลัมน์ Keep The World ถึงกรณีพายุที่จะเข้าไทยในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ว่า พายุจะเข้าไทยเดือนกันยายน-ตุลาคมจริงไหม? จากการคาดการณ์ของกรมอุตุฯ จะมีพายุเข้ามาประเทศไทยโดยตรงประมาณ 1-2 ลูก นอกจากนี้ยังมีพายุที่อ้อมเข้ามาด้วย อาจจะสลายตัวที่เวียดนามตอนบน หรือลาวตอนบน หรืออาจเลี้ยวโค้งไปทางอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งอาจมีผลกระทบกับประเทศไทยด้วย เพราะพายุจะทำให้ร่องมรสุมแรงขึ้น แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีพายุเข้า เป็นผลมาจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่มีกำลังแรงบ้างเบาบ้างตามช่วงระยะเวลาต่าง ๆ มันเลยทำให้ฝนตกซ้ำ ๆ กัน อย่างเช่นตอนนี้ ร่องมรสุมพาดผ่านอยู่ที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ฝนในบริเวณนั้นจะตกซ้ำ ๆ ในบริเวณเก่า ๆ ฝนตกสะสมหลายวัน เลยทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากอย่างที่เราเห็นที่เกิดขึ้นในภาคเหนือขณะนี้ ส่วนฝนที่ตกเฉพาะจุดและมีดินโคลนถล่ม มีน้ำท่วม อย่างที่เราเห็นที่ภูเก็ต วันนี้ก็ยังมีฝนตกชุกขึ้น โดยเป็นผลมาจากอิทธิพลร่องมรสุมลมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้นบางช่วง และอ่อนลงไป และก็แรงขึ้นอีก ตามลักษณะของอากาศที่ทำให้ฝนตกชุกหนาแน่นทั่วประเทศไทย แต่ว่า แต่ละพื้นที่จะมีปริมาณฝนที่ตกไม่เท่ากัน แต่การกระจายดี ปริมาณฝน ณ ขณะนี้ จะหนักแค่ไหน เทียบกับปี 2554 น้อยหรือมากกว่ากัน? บางจุด บางช่วง บางจังหวะ ฝนอาจจะมีปริมาณมากกว่าปกติ แต่โดยรวมยังไม่ถึงขนาดนั้น บางพื้นที่อาจจะมีมากกว่า 35 มิลลิเมตร บางพื้นที่อาจมีมากกว่า ร้อยมิลลิเมตร เช่นภูเก็นเมื่อคืนมีปริมาณฝนค่อนข้างเยอะ ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณรับลมมรสุม ความจริงภาคเหนือไม่ได้ห่างจากทะเลมากนัก เพราะว่าประเทศเมียนมามีอ่าวเบงกอลซึ่งห่างกับไทยไม่กี่กิโลเมตร ลมมรสุมก็สามารถพัดผ่านทะเลนำเอาความชื้นไปสะสมเข้าระลอกมรสุม ทำให้อากาศมีความปั่นป่วน มีฝนเยอะ ฝนตกที่เดิมซ้ำ ๆ นาน ๆ เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือไม่? การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศมันเป็นไปทั้งโลกทั้งใบ ไม่ใช่เกิดเฉพาะแค่ประเทศไทยที่เดียว เพราะฉะนั้นความสมดุลความร้อนของโลกใบนี้มันเปลี่ยนไป เกิดจากการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เช่น มีตึกรามบ้านช่องมากขึ้น ถนนหนทางเยอะขึ้น ป่าไม้ที่เคยมีกลับลดลง เพราะฉะนั้นสมดุลความร้อนเปลี่ยนแปลง ลักษณะอากาศแปรปรวนก็ต่างกันไป ตรงไหนที่มีความร้อนมาก ๆ และมีความชื้นเข้ามาผสมอย่างรุนแรง ก็จะทำให้เกิดลักษณะอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรง คือ มีฝนตกชุกหนาแน่น ตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งแต่ละพื้นที่มีโอกาสที่จะแบบนี้ได้ เพราะปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate change มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศของโลกใบนี้ในทุกพื้นที่ โลกร้อนทำให้การพยากรณ์อากาศยากขึ้นไหม? การคาดหมายลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเราพัฒนามานาน เมื่อก่อนถ้าย้อนกลับไปประมาณ 20-5- ปี เราจะพยากรณ์อยู่สักประมาณ 50-60% ที่ตีความถูกต้องภายใน 24 ชั่วโมง ปัจจุบันเรามีเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยให้การพยากรณ์อากาศแม่นยำมากขึ้น เราติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดลักษณะอากาศทั่วประเทศไทยมากขึ้น มีเรดาร์ตรวจอากาศเข้ามาใช้ มีภาพดาวเทียมเข้ามาใช้ มีแบบจำลองลักษณะภูมิอากาศกว่า 50 แบบในการพัฒนาเพื่อให้ใช้ได้ดีสำหรับประเทศไทย ซึ่งเราก็พัฒนามาจนถึงประมาณ 80-90% ใน 24 ชั่วโมงแล้ว ถามว่ายากไหม ก็มีความยากในลักษณะที่ว่า เราอยู่ในประเทศเขตร้อน ลักษณะอากาศแปรปรวนไม่เหมือนกัน สภาพอากาศเหมาะสมตรงไหนมักจะเกิดฝนตรงนั้นเลย ไม่เหมือนประเทศเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวที่ลักษณะอากาศของเค้าไหลเป็นระบบแล้วก็หมุนไปรอบโลก เค้าถึงบอกได้ว่า อีก 5 นาทีจะมีฝนตกที่เขา แล้วก็จะตกอยู่ประมาณสองนาทีแล้วจะเลยผ่านไปนี่บอกได้เพราะมีอัตราเร็วที่มันเคลื่อนตัวอยู่ แต่ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ฝนตกที่สมุทรสงครามอย่าคิดว่าจะไปตกที่ภาคอีสาน มันสลายไปแล้ว อย่าคิดว่ามันจะมาถึงกรุงเทพฯทุกลูกเสมอไป มันสลายไปแล้ว ส่วนที่มาปกคลุมกรุงเทพฯและปริมณฑลเนี่ยอาจจะเป็นลูกใหม่หรือลูกเดิมที่จางไปแล้ว นี่คือคือความยาก https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852387
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
'แม่น้ำโขง' สายน้ำหล่อเลี้ยง 6 ชาติ แต่ใครทำให้วิกฤต? SHORT CUT - "แม่น้ำโขง" สายน้ำหล่อเลี้ยง 6 ประเทศ แบ่งกันใช้-ปกครอง แต่เหมือนบางประเทศได้สิทธิ์มากกว่า เพราะอยู่ต้นน้ำ ? - จีน ที่เป็นพี่ใหญ่ในความร่วมมือนี้ เหมือนจะจะโดนข้อครหาเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะสร้างเขื่อนจำนวนมากไว้เป็นพลังงานไฟฟ้า - ไม่รู้ว่าคุยกัน 10 ปี จะแก้ปัญหาแม่น้ำโขงได้หรือเปล่า เพราะแต่ละประเทศต่างก็ยึดประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ![]() 'แม่น้ำโขง' ธรรมชาติสร้างมาให้ 6 ประเทศใช้ร่วมกัน แต่บางประเทศได้ใช้ประโยชน์มากกว่า ใครเป็นต้นเหตุทำให้เกิดวิกฤตน้ำโขงท่วมในไทย ? "แม่น้ำโขง" มีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบต จนเป็นมหานทีที่ไหลผ่าน 6 ประเทศ ได้แก่ จีน เมียนมาร์ ลาว ไทย กัมพูชา และ เวียดนาม ตามลำดับ ทำให้มีความยาวเกือบ 5,000 กิโลเมตร ข้อมูลแม่น้ำโขง แม่น้ำโขงเป็นแหล่งของพันธุ์ปลามากกว่า 1,000 ชีวิต จึงทำให้การประมงในพื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตพลเมืองแต่ละประเทศอย่างยิ่ง ราวกับว่า แม่น้ำโขงคือสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ 6 ประเทศได้ใช้ร่วมกัน โดย 'แม่น้ำโขง' แบ่งเป็น 6 ช่วงดังนี้ ช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่แม่น้ำแม่น้ำหลานชางเจียง หรือลุ่มน้ำโขงตอนบนในประเทศจีน แล้วไหลผ่านมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำจำนวนมากที่ส่งผลไปยังแม่น้ำโขงตอนล่าง ช่วงที่ 2 จากเชียงแสนถึงเวียงจันทน์และหนองคาย ช่วงที่ 3 จากเวียงจันทน์และหนองคายไปยังปากเซ ช่วงที่ 4 จากปากเซไปถึงกระแจะ (Kratie) ประเทศกัมพูชา ช่วงที่ 5 จากกระแจะไปยังพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ช่วงที่ 6 จากกรุงพนมเปญไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ ในช่วงนี้จะมีความซับซ้อนของการไหลของน้ำในแม่น้ำโขง ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง มีอิทธิพลต่อการรุกล้ำของน้ำเค็มจากทะเลจีนใต้ เพราะแม่น้ำโขงต้องผ่าน 6 ประเทศ จึงต้องแบ่งการปกครองการใช้แม่น้ำสายนี้ ซึ่งแต่ละประเทศก็สร้างเขื่อนไว้ใช้ประโยชน์ กล่าวคือต่างคนต่างดูแลในพื้นที่ของตัวเอง ทำให้การบริหารจัดการน้ำส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศตอนล่างของแม่น้ำโขงที่มักได้รับผลกระทบจากเขื่อนของประเทศที่อยู่ต้นน้ำเสมอ ซึ่งผู้ที่อยู่ด้านบนสุดของแม่น้ำโขงก็คือประเทศจีน จีนสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทุกชาติได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง อย่างเท่าเทียม จึงมีการตัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน เพื่อสร้างเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง โดยเน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ แต่ดูเหมือนว่าจีน ที่เป็นพี่ใหญ่ในความร่วมมือนี้ จะโดนข้อครหาเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะจีนอยู่ทางต้นน้ำ และมีการสร้างเขื่อนกับอ่างเก็บน้ำมากมาย จีนเปิดเขื่อนแห่งแรกบนแม่น้ำโขง เมื่อปี 2536 และปัจจุบันจีนมีเขื่อนหลักที่เปิดทำการ 11 แห่ง และเขื่อนย่อยอีก 95 แห่งภายในอาณาเขตของตนเอง เพราะจีนมีความต้องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำสูง แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบตามมา เพราะเขื่อนได้ทำลายสมดุลทางระบบนิเวศ โครงสร้างทางวิศวกรรมทำให้มีการตกตะกอนลงไปในอ่างเก็บน้ำและขัดขวางไม่ให้สารอาหารที่มีค่าไหลลงสู่ปลายน้ำ เช่นในปี 2562 แม่น้ำโขงซึ่งปกติจะมีสีเหมือนกาแฟขาวกลายเป็นสีฟ้า ซึ่งหลายฝ่ายโดยเฉพาะสื่อตะวันตก มองว่าจีนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2563 ศูนย์วิจัยสหรัฐ Stimson Center ออกรายงานการศึกษาชิ้นใหม่ที่อ้างว่า สภาวะภัยแล้งรุนแรงในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่เกิดขึ้นในปี 2562 เป็นผลจากการกักเก็บน้ำของเขื่อนทางการจีน จนทำให้เกิดวิกฤตระดับน้ำแม่น้ำโขงลดต่ำผิดปกติครั้งประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายประเทศ แม้ทางการจีนจะอ้างว่า เพราะฝนแล้ง แต่สหรัฐฯ ตรวจพบว่า ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนในเขตประเทศจีนเวลานั้นกลับได้รับปริมาณน้ำฝนสูงกว่าปกติ และผลการศึกษาข้อมูลดาวเทียมยังบ่งชี้ว่า เขตลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนในประเทศจีนยังมีความชื้นในดินสูงกว่าที่ผ่านมา จึงสรุปได้ว่าที่ราบทิเบตที่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำในแม่น้ำโขง ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่จีนอ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแค่แม่น้ำโขงเท่านั้นที่เป็นประเด็น เพราะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในบังกลาเทศเดือน ส.ค. 67 ที่กระทบชีวิตประชาชนกว่า 6 ล้านคน ก็ถูกและกล่าวหาว่าถูกปล่อยมาจากอินเดีย โดยชาวบังกลาเทศโทษว่า "อินเดีย" จงใจปล่อยน้ำออกจากเขื่อน ให้ไหลลงมาท่วมเมืองของพวกเขาที่อยู่ห่างจากอินเดียเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพราะจงใจแก้แค้นเหตุบาดหมางทางการเมืองในอดีต ซึ่งนับเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม แต่กระทรวงต่างประเทศของอินเดียออกมาปฏิเสธ อ้างว่าเกิดจากการที่ฝนตกลงมาอย่างหนักจนระดับน้ำสูงเกินไป ทำให้เขื่อนต้องปล่อยน้ำโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีปัญหาไฟฟ้าและการสื่อสารขัดข้อง พวกเขาจึงไม่สามารถส่งคำเตือนต่อชาวบ้านในบังกลาเทศได้ทัน อย่างไรก็ตาม ถึงประเทศเล่านี้จะปฏิเสธเสียงแข็ง และอ้างว่าเป็นเพราะภัยธรรมชาติทุกครั้ง แต่การเป็นประเทศต้นน้ำและเป็นเจ้าของเขื่อน ก็ทำให้ถูกเพ่งเล็งอย่างหนักเสมอ จีนระบายน้ำ แม่น้ำโขงท่วมไทย ? ในปี 2567 ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดทั่วประเทศ สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงก็เข้าขั้นวิกฤต เพราะผลจากการระบายน้ำจากเขื่อนทางตอนใต้ของประเทศจีนบวกกับปริมาณฝนที่ยังตกอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้น้ำล้นตลิ่งและเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรในจังหวัดเชียงราย โดยจากการวัดระดับน้ำวันที่ 25 ส.ค. 67 อยู่ที่ 10.56 เมตร ส่วนที่จังหวัดหนองคายวัดระดับน้ำวันที่ 28.ส.ค. 67 อยู่ที่ 12.25 เมตร ทำให้เสี่ยงต่อน้ำท่วมเช่นกัน ปัญหาดังกล่าว ทำให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ส่งหนังสือด่วนถึงจีน ขอให้เขื่อนทางใต้ชะลอการปล่อยน้ำเพื่อลดผลกระทบต่อไทยแล้ว พร้อมกับให้ สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ประสานไปยัง สปป.ลาว เพื่อให้จัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำลดลงจากการล้นตลิ่ง แต่วันที่ 27 ส.ค. 67 โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกมาปฏิเสธไม่มีการระบายน้ำเร็วๆ นี้ "ทางจีนมีความกังวลอย่างมากในเรื่องนี้ โดยการสอบถามเบื้องต้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีน สภาพน้ำของตอนแม่น้ำในประเทศจีนได้อยู่ภาวะปกติในเมื่อเร็วๆ นี้ และอ่างเก็บน้ำที่เกี่ยวข้องของแม่น้ำล้านช้างได้อยู่ในสถานะกักเก็บน้ำ ตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 25 สิงหาคม ปริมาณการไหลออกเฉลี่ยต่อวันของสถานีไฟฟ้าพลังน้ำจิ่งหงได้ลดลง 60% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมในปีก่อนหน้า และไม่ได้มีการดำเนินการระบายน้ำ หกประเทศในลุ่มแม่น้ำล้านช้างเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ ฝ่ายจีนเคารพและเอาใจใส่ผลประโยชน์และข้อกังวลของประเทศในลุ่มแม่น้ำอย่างเต็มที่ จีนยินดีที่จะส่งเสริมการแบ่งปันและความร่วมมือในด้านข้อมูลทรัพยากรน้ำ เสริมสร้างศักยภาพในการจัดการแบบบูรณาการในลุ่มแม่น้ำ และร่วมกันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภัยพิบัติน้ำท่วม และความท้าทายอื่นๆ เป็นต้น" ทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าว เมื่อจีนปฏิเสธมาแบบนี้ ทางการไทยคงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากภาวนาให้ฝนไม่ตกหนักติดต่อกัน เพราะถ้าฝนยังตกอยู่แบบนี้ แม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านประเทศไทย ต้องล้นตลิ่งแน่นอน. อย่างไรก็ตามการจะแก้ปัญหาแม่น้ำโขงคงไม่ใช่แค่คุยกับจีน แต่นานาชาติที่ใช่แม่น้ำสายนี้ต้องหาทางออกร่วมกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคุยกัน 10 ปี จะแก้ปัญหาได้หรือเปล่า เพราะแต่ละประเทศต่างก็ยึดประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ที่มา : The China-Global South Project, GREEN NEWS, สํานักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ https://www.springnews.co.th/keep-th...ainable/852390
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|