![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
โลกผลิตขยะพลาสติกปีละ 57 ล้านตัน แอฟริกา-อาเซียนมากที่สุด ![]() รายงานล่าสุดเปิดเผยว่า โลกสร้างมลพิษจากพลาสติกมากถึง 57 ล้านตัน ในแต่ละปี โดยมากกว่า 2 ใน 3 มาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา การศึกษาชิ้นใหม่ระบุว่า โลกสร้างมลพิษจากพลาสติก 57 ล้านตัน (52 ล้านเมตริกตัน) ทุกปี และแพร่กระจายจากมหาสมุทรที่ลึกที่สุดไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดและเข้าสู่ภายในร่างกายของผู้คน โดยมากกว่า 2 ใน 3 มาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร พบว่ามลพิษในแต่ละปี เพียงพอที่จะทำให้สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คในนครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ เต็มไปด้วยขยะพลาสติกสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตท โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบขยะที่ผลิตในระดับท้องถิ่นในเมืองและเทศบาลมากกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก และเผยแพร่ในวารสาร "เนเจอร์" เมื่อวันพุธ (4 ก.ย.) การศึกษาวิจัยนี้ตรวจสอบพลาสติกที่ทิ้งลงในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่ง ไม่ใช่พลาสติกที่ทิ้งลงในหลุมฝังกลบหรือถูกเผาอย่างถูกต้อง ผู้เขียนการศึกษาวิจัยกล่าวว่า รัฐบาลไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะได้สำหรับประชากรโลก 15% ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้สะฮาราผลิตขยะพลาสติกมากที่สุด ซึ่งรวมถึงประชากร 255 ล้านคนในอินเดียด้วย เมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย ปล่อยมลพิษจากพลาสติกมากที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหมด จากการเปิดเผยของคอสตาส เวลิส ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมจากลีดส์ ผู้เขียนผลการศึกษา เมืองที่ปล่อยมลพิษจากพลาสติกมากที่สุดอีกสองเมืองคือ นิวเดลี ลูอันดา ประเทศแองโกลา การาจี ประเทศปากีสถาน และอัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์ อินเดียเป็นผู้นำโลกในการก่อให้เกิดมลพิษจากพลาสติก โดยผลิต 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไนจีเรียและอินโดนีเซียที่ปล่อยมลพิษเป็นอันดับสองถึงสองเท่า เวลิสกล่าวว่าจีน ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นผู้ก่อมลพิษอยู่อันดับสี่ แต่กลับมีความก้าวหน้าอย่างมากในการลดขยะ เวลิสกล่าว ประเทศที่ปล่อยมลพิษจากพลาสติกมากที่สุดอีกสองประเทศ ได้แก่ ปากีสถาน บังกลาเทศ รัสเซีย และบราซิล จากข้อมูลของการศึกษาพบว่าแปดประเทศเหล่านี้มีส่วนรับผิดชอบต่อมลพิษจากพลาสติกมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ขณะที่สหรัฐฯ อยู่อันดับที่ 90 ในด้านมลพิษจากพลาสติก โดยมีปริมาณมากกว่า 52,500 ตัน และสหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 135 โดยมีปริมาณเกือบ 5,100 ตัน ในปี 2565 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่ตกลงที่จะทำข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายฉบับแรกเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติก ซึ่งรวมถึงในมหาสมุทร การเจรจาเรื่องข้อตกลงฉบับสุดท้ายจะเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เวลิส กล่าวว่า การศึกษานี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อมุ่งเน้นไปที่พลาสติกที่ถูกเผาอย่างไม่ถูกต้องหรือที่ถูกทิ้ง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 57% ของมลพิษทั้งหมด โดยในทั้งสองกรณี ไมโครพลาสติกขนาดเล็กมาก หรือที่เรียกว่า นาโนพลาสติก คือผลที่เปลี่ยนจากปัญหาความรำคาญทางสายตาที่เกิดขึ้นตามชายหาดและปัญหาต่อสัตว์ทะเล ให้กลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ งานวิจัยหลายชิ้นในปีนี้ได้ศึกษาว่า ไมโครพลาสติกมีการปนเปื้อนมากเพียงใดในน้ำดื่มและในเนื้อเยื่อของมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอัณฑะ โดยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้มีความหมายอย่างไรในแง่ของภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ เวลิส กล่าวว่า "ระเบิดเวลาครั้งใหญ่ของไมโครพลาสติก คือไมโครพลาสติกที่ถูกปล่อยออกมาในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่" เขากล่าวว่า ไมโครพลาสติกเหล่านี้สามารถพบในพื้นที่ห่างไกลที่สุด เช่น ยอดเขาเอเวอเรสต์ ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศที่หายใจ สิ่งที่มนุษย์กินและดื่ม องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า การผลิตพลาสติกน่าจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 440 ล้านตัน ต่อปี เป็นมากกว่า 1,200 ล้านตันโดยระบุว่า "โลกของเรากำลังจมอยู่กับพลาสติก". ที่มา AP https://www.thairath.co.th/news/foreign/2812662
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ตะลึง! แม่น้ำในเมืองหลวงของเซอร์เบียกลายเป็นสีเขียว เพราะมลพิษ - อากาศร้อน ![]() ประชาชนในเมืองหลวงของเซอร์เบียแสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง เพราะมันเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเขียว ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง แม่น้ำซาวาในกรุงเบลเกรด เมืองหลวงของเซอร์เบีย เปลี่ยนสีกลายเป็นสีเขียว สร้างความตกใจให้แก่ประชาชนที่ได้พบเห็นไม่น้อย โดยนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า สาเหตุที่ทำให้แม่น้ำกลายเป็นสีเขียวเกิดจากฝนตกลงมาน้อยและเกิดอากาศร้อนกินเวลายาวนานกว่าปกติ ศาสตราจารย์กอร์ดานา ไซมิก ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำและนักพฤกษศาสตร์เปิดเผยว่า น้ำเปลี่ยนสีเกิดจาก algal bloom หรือการที่สาหร่ายเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ส่งผลทำให้มีฝนตกลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประการต่อมา คืออุณหภูมิของน้ำร้อนขึ้น ส่งผลทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง จนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ศาตราจารย์ยังมองว่า นี่เป็นหนึ่งในการเตือน เพราะยังพบเห็นปัญหาพืชผักแห้งเหี่ยว ปลูกไม่ขึ้นอีกด้วย แม้กระทั่งในสวนพฤกษศาสตร์ Botanical Garden ยังเจอปัญหาต้นไม้แห้งตาย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้เกิดอันตรายมากขึ้นต่อต้นไม้ด้วย ในฤดูร้อนปีนี้ กรุงเบลเกรดยังเจอกับวันที่ร้อนทำลายสถิติอยู่หลายวันด้วยกัน โดยบรรณาธิการนิตยสาร Ribolov ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับการตกปลาเปิดเผยว่า ในปีนี้ algal bloom หรือการขยายตัวของสาหร่ายค่อนข้างรุนแรง เพราะนี่คือฤดูร้อนที่ร้อนมาก โดยคาดว่า นับจนถึงเดือนกันยายน กรุงเบลเกรดกลับเผชิญกับวันที่ร้อนจัดเช่นนั้นมากกว่า 40 วันแล้ว โดยวันเหล่านั้นจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส นอกเหนือไปจากปัจจัยเรื่องความร้อน การจัดการขยะอย่างไม่ถูกวิธีก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะสิ่งปฏิกูลที่ถูกทิ้งลงแม่น้ำกลายเป็นสารอาหารคอยหล่อเลี้ยงสาหร่ายและยิ่งทำให้พวกมันเติบโต ที่มา: Reuters https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852557
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|