![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ปัญหาน้ำทะเล 'กัดเซาะชายฝั่ง' แก้ตรงจุดหรือยังพลาดเป้า!? "เขาเรียกไส้กรอกทรายตา?! มาจากประเทศนอกเอาไว้กันคลื่นทะเล อยู่ได้นาน 30 ปี” คำพูดของช่างคนหนึ่งที่มาพร้อมกับเรือขนาดมหึมาเพื่อทำแนวกั้นคลื่นราวปี พ.ศ. 2547 บริเวณปากอ่าวคลองด่าน จ.สมุทรปราการ สร้างความหวังให้กับผู้เฒ่าอย่าง สืบ ใจยิ้ม ชาวบ้านหมู่ 9 ในซอยวัดสว่างอารมณ์ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ที่หวังว่า ชุมชนชาวประมงริมทะเลกว่า 100 หลังคาเรือนในอดีตจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากถูกคลื่นกัดเซาะพื้นดินที่อยู่อาศัยจนหลายครอบครัวอพยพย้ายถิ่นฐาน แต่ “ไส้กรอกจาก ประเทศนอก” ไม่เป็นอย่างไอ้หนุ่มผู้นั้นว่า!!! ไม่ถึงสองปีพังทลาย จมลงไปใต้โคลนทะเล ทรายในถุง ไหลลงทะเลส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่อยู่บริเวณปากอ่าว เพราะพื้นที่ของอ่าวไทยส่วนใหญ่เป็นหาดโคลนทำให้สัตว์น้ำพอได้รับทรายการดำรงชีวิตก็เปลี่ยนไป “ฉันใจหายที่เห็นคนในชุมชนค่อยๆย้ายกันไปทีละครอบครัว หมู่บ้านที่เคยทำประมงลูกหลานก็ไม่สืบทอดต่อ มีแต่คนอยากทำงานโรงงานเพราะมันสบายกว่าหาปลา ตอนนี้ออกเรือทีต้องไปไกลเปลืองค่าน้ำมัน ค่าแรงลูกน้อง ลำพังจะหากินริมชายฝั่งเหมือน แต่ก่อน ไม่ค่อยได้เพราะปู ปลามันลดลง ส่วนหอยที่พอจะเก็บได้มันก็มีแต่ทราย ระบบชีวิตพวกมันเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะหอยพวกนี้จะอ้าฝารับโคลน แต่เดี๋ยวนี้มันรับทรายจากไส้กรอกทรายที่แตก พอเก็บไปขายไอ้คนไม่รู้ก็กินเข้าไปสะสมในร่างกาย” สืบ “เฒ่าทะเล” ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน ขณะเดียวกันปัญหาของคลื่นทะเลในยามหน้าลมก็สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เฒ่าสืบ เพราะบ้านไม้ริมชายฝั่งเพิ่งยกพื้นสูงจากน้ำทะเลไม่ถึงปีก็ทรุดตัวลง จำต้องเตรียมยกพื้นให้สูงใหม่อีกครั้ง เนื่องจากยามหน้าลมคลื่นจะก่อตัวสูงจนท่วมพื้นบ้านชั้นล่าง ความโหดร้ายเหล่านี้สอนให้ชาวบ้านรู้ว่า เมื่อฤดูแห่งความโหดร้ายมาถึงต้องอพยพลูกหลานและคนชราที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปอยู่บนฝั่งเฉพาะในรายที่มีอันจะกิน ส่วนครอบครัวที่ยากจนอย่างตาสืบ ได้แต่จำทนรับชะตากรรมที่ยังไม่รู้ว่า อนาคตหลานๆที่กำลังเติบโตจะมีที่อยู่หรือไม่ ? ด้าน กรองทอง จันดี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ พา “ทีมวาไรตี้” ไปสำรวจปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบริเวณ ปากอ่าวคลองด่าน ที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนพบว่าสะพานที่ข้ามไปยังชุมชนกว่า 100 หลังคาเรือนที่สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 จมไปกับน้ำทะเล ซึ่งในปี พ.ศ. 2547-2549 ชาวบ้าน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำทะเลท่วมพื้นที่อาศัยทำให้ต้องอพยพขึ้นฝั่งและ ร่นถอยจนไม่เหลือภาพชุมชนอันรุ่งเรืองในอดีต ป่าชายเลนที่มีความหนาแน่นในอดีตลดลง เหลือเพียงไม้ใหญ่บางส่วนยืนต้นโงนเงนตามกระแสคลื่น ปัจจุบันบ้านริมชายฝั่งหลายหลังรื้อถอนอพยพเข้าไปอยู่บนพื้นที่ธรณีสงฆ์ วัดสว่างอารมณ์ ส่วนบ้านที่มีเรือหาปลาขนาดใหญ่จำต้องทนอยู่ต่อไปเพราะหากย้ายเข้าฝั่งไปลึกกว่านี้เรือประมงไม่สามารถเข้าไปได้ “การทำไส้กรอกทรายภาครัฐไม่เคยลงมาคุยกับชาวบ้านถึงความคิดเห็นผลดีและผลเสีย ชาวบ้านมารู้อีกทีก็ปีนี้เพราะมีการทำประชาพิจารณ์ โดยมีนักวิชาการมาให้ความรู้ว่า สัตว์น้ำที่เรากินขายกันอยู่ทุกวันมันได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ขณะเดียวกันชาวบ้าน ที่ออกหาปลาทุกวันก็ไม่รู้ว่า แนวไส้กรอกทรายอยู่ตรงไหนเวลาน้ำขึ้น เพราะไม่มีสัญลักษณ์บอกทำให้เรือประมงชาวบ้านวิ่งไปชนไส้กรอกทรายหรือการทำประมงชายฝั่งชาวบ้านไม่รู้ก็เอาไม้ไปปักหาปลาจนทิ่มถุงทรายแตก การกระทำของรัฐทำให้ชาวบ้านผิดหวังเพราะไม่เคยลงมาคุยกันก่อนเหมือนการนำเงินประชาชนไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” กรองทอง เล่าถึงปัญหา ชาวบ้านได้ลงประชามติกันโดยใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่ พบว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดต้องทำเขื่อนหินที่สูงกว่าคลื่น แล้วปลูกป่าชายเลนไว้ด้านหลัง เพราะถ้าทำแนวกันคลื่นโดยใช้ไม้ไผ่เหมือนหมู่บ้านอื่นไม่ได้ผลเพราะไม่นานคลื่นก็จะทำลายไม้ไผ่พังหมด แนวป่าชายเลนที่ปลูกไว้ด้านหลังก็ถูกคลื่นซัดหายไปในทะเล ไม่ต่างจากชาวบ้านใน ต.โคกขาม จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีพื้นที่ติดกับอ่าวไทยที่ได้รับผลกระทบจากไส้กรอกทรายเช่นกัน นรินทร์ บุญร่วม (ลุงทะเล) ปราชญ์ชาวบ้านเล่าว่า เมื่อไส้กรอกทรายแตกทำให้ผ้าใยสังเคราะห์ที่ห่อทรายฉีกขาดหลุดไปทำลายระบบนิเวศ ส่วนทรายก็ปนเปื้อนกับหาดโคลนทำให้การทำประมงชายฝั่งได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะพื้นที่ในการหากินของสัตว์ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อนทำให้ประชากรสัตว์น้ำลดลงและอาจสูญพันธุ์ไปในที่สุด หากมองถึงแนวทาง การกู้ไส้กรอกทรายขึ้นมาจากท้องทะเล ลุงทะเล มองว่า “ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ !?! เพราะเป็นเรื่องยากลำบากในการโกยทรายที่ปนเปื้อนกับโคลนขึ้นมา แต่ก็มีการพูดเล่นกันว่า เอาทรายมาถมให้เป็นหาดทรายเลยดีไหมจะได้ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว!! ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงความคิดชาวบ้านที่ไม่สามารถเป็นจริงได้” แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีต้องใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้ไผ่มาทำเป็นแนวกั้นคลื่น ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ร่วมใจกันทำมาแล้วกว่า 2 ปี จนประสบความสำเร็จฟื้นฟูป่าชายเลนขึ้นมาได้ใหม่ และทำให้ตะกอนจากทะเลพัดเข้ามาทับถมริมชายฝั่งด้านหลังแนวกั้นไม้ไผ่มากขึ้น ส่งผลให้ได้ผืนดินกลับมาอีกครั้ง พลอย ฉายสวัสดิ์ เลขา ธิการกลุ่มรักษ์อ่าวไทย ที่ทำงานร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ ต.โคกขาม จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า การทำแนวกั้นคลื่นจากไม้ไผ่ใช้งบประมาณไม่สูง และไม่มีผลต่อระบบนิเวศ เพราะสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม้ไผ่สามารถอยู่ได้ 3-5 ปี ซึ่งแนวคิดการทำงานได้มาจากการปักหอยแมลงภู่ของชาวบ้านที่ปักหอยแล้วต้องย้ายหอยหนีเพราะว่าดินเลนมันจะมาทับตัวหอย เช่นเดียวกับแนวกั้นไม้ไผ่พอหอยติดเป็นพวงใหญ่ตะกอนเลนมันก็สูงขึ้น โดยต้องปักห่างๆกันเพื่อให้ดินพอกพูนเป็นกำแพงธรรมชาติ สำหรับการแก้ปัญหาไส้กรอกทรายแตกปนเปื้อนหาดโคลนในอ่าวไทย สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ต้องเร่งดูแลแก้ไขโดยใช้ระบบธรรมชาติบำบัด ซึ่งจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อหาแนวทางแก้ไข การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะแต่ละปีเราสูญเสีย ผืนแผ่นดินไปไม่รู้กี่หมื่นไร่ กระบวนการการแก้ไขปัญหารัฐได้ดำเนินการศึกษา มีวิธีการหลายวิธีการเช่น ทำเขื่อนกันคลื่นหรือใช้เสาคอนกรีต มาเรียงกัน ในขณะเดียวกันบริเวณสมุทรสาครเป็นพื้นที่ป่าชายเลน การใช้ระบบธรรมชาติเข้ามาบำบัดโดยใช้เขื่อนไม้ไผ่ก็เป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งจากการที่ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งเห็นว่า ได้ผลดีพอสมควร แต่ระยะยาวต้องศึกษากันต่อไป กระบวนการการฟื้นฟูป่าชายเลนเป็นหัวใจสำคัญที่สุด เพราะแนวไม้ไผ่กันคลื่นเป็นการป้องกันเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะไม้ไผ่มีระยะเวลาของการเสื่อมสลายไป การปลูกป่าชายเลนเทียม ในระยะแรกจึงเลียนแบบป่าชายเลนตามธรรมชาติ เอาไม้ไผ่ไปลงเป็นแนวป่า แล้วเอาต้นแสมและโกงกางผูกติดกับไม้ไผ่เพื่อป้องกันการชะล้าง เพื่อให้ต้นไม้ได้หยั่งรากลึกอย่างน้อย 2-3 ปี การปักจะไม่เป็นแถวเป็นแนว แต่จะปักสลับเป็นลักษณะเหมือนธรรมชาติ ด้านปัญหาการดูแลการกัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนที่เป็นพื้นที่ซึ่งถูกน้ำทะเลกัดเซาะมากที่สุด สุวิทย์ กล่าวว่า ผมมีความเป็นห่วงอีกอย่างมากในการไปสร้างที่พักชั่วคราวในทะเลหรือพวกเครื่องมือประมงที่มีการขยายตัวค่อนข้างมากตรง จ.เพชรบุรี อันจะส่งผลต่อระบบนิเวศ ถ้าไม่มีการจัดระเบียบป้องกันแก้ไขปัญหา ซึ่งในส่วนนี้ ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลแล้ว ไม่เช่นนั้นปัญหาจะขยายตัวมากขึ้น เหมือนทะเลสาบสงขลาที่ทำให้เกิดปัญหาการไหลเวียนของน้ำ ปัญหาเรื่องตะกอน ปัญหาเรื่องน้ำเสีย เรื่องของระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบทำให้ปลาไม่สามารถวางไข่ได้ ปริมาณก็ลดลง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เป็นห่วงมากในระยะยาว จึงอยากวิงวอนให้ประชาชนลดการใช้น้ำบาดาล เพราะส่งผลกระทบต่อปัญหาการทรุดตัวของพื้นที่ ซึ่งอนาคตปัญหาน้ำท่วมคิดว่าน่าเป็นห่วงเนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาภัยพิบัติและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า 5 จังหวัดบริเวณอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกง ไปจนถึงปากแม่น้ำเพชรบุรี มีโอกาสสูงที่น้ำจะท่วม เพราะแนวโน้มอีก 20 ปีข้างหน้า พื้นที่จะหายไปอีกกว่า 67,000 ไร่ ขณะนี้มีหลายหน่วยงานพยายามป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหาดโคลน อย่างไม่ถูกวิธี ตั้งแต่การนำหินมาถมตลิ่งที่ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายเร็วขึ้นเมื่อโดนคลื่นที่มีความแรงซัด หรือการใช้ไส้กรอกทรายวางเป็นแนวกั้น ที่ไม่นานจะแตกทำให้ทรายและหินปนเปื้อนบนหาดโคลน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เนื่องจากสัตว์และพืชพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณหาดโคลนไม่ชอบหินและทรายทำให้ค่อยๆสูญพันธุ์ลง จนชาวบ้านบริเวณชายฝั่งที่ทำประมงได้รับผลกระทบอย่างหนัก ส่วนแนวกันคลื่นที่ทำจากไม้ไผ่มีอายุได้เพียง 3-5 ปี แล้วไม้ไผ่ก็จะหักส่งผลกระทบต่อการทำประมงชายฝั่ง “ตอนนี้เราได้ทำการวิจัยการป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเลด้วยเขื่อนขุนสมุทรจีน ที่นำเสาไฟฟ้ามาปักเป็นแนวยาว 2-3 ชั้น เพื่อป้องกันคลื่นที่จะทำลายหาดโคลน ตอนนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถฟื้นฟูหาดโคลนด้วยการปลูกป่าชายเลนทำให้สัตว์ต่างๆในระบบนิเวศเริ่มกลับคืนมา” การแก้ปัญหาอย่างได้ผลรัฐต้องวางนโยบายการฟื้นฟูในระยะ 20 ปีขึ้นไปเพื่อสร้างแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องให้ชาวบ้านและนักวิชาการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ทุกนาทีที่มนุษย์หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา น้ำทะเลยังคงกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งพร้อมกับความ ฝันที่ “เฒ่าทะเล” จะเห็นชุมชนชาวประมงชายฝั่งกลับคืนมาค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับดวงตาที่ฝ้าฟาง ขณะที่หลายคนยังหวั่นเกรงกับปัญหาน้ำทะเลกลืนกิน กรุงเทพฯ อันเป็นปลายเหตุของปัญหา ส่วนต้นขั้วของปัญหาการกัดเซาะพื้นดินริมทะเลยังดูแลไม่ทั่วถึง ไม่แน่อนาคตคนกรุงอาจไม่ต่างจาก “เฒ่าทะเล”. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 12 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
แฉแก้ปัญหาคลื่นเซาะชายฝั่งล่มสูญงบฟรี เวลา 10.00 น. วันที่ 11 มกราคม คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวุฒิสภาลงพื้นที่ จ.สงขลา ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและรับฟังข้อมูลจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยตัวแทนชาวบ้านปากบาง หมู่ 4 ต.สะกอม ยืนยันว่า หลังจากมีการสร้างเขื่อนทรายแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ กรมขนส่งทางน้ำยังต้องดูดทรายบริเวณร่องน้ำปากคลองทุกปี สูญเสียงบประมาณซ้ำซ้อน ส่วนตัวแทนชาวบ้านบ้านโคกสัด หมู่ 6 ต.สะกอม กล่าวว่า ชายหาดสะกอมในอดีตเป็นลักษณะหาด 2 ชั้น แต่หลังจากสร้างเขื่อนทรายกันคลื่นบริเวณปากน้ำสะกอม ทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะ จากเดิมบ้านโคกสักห่างจากทะเล 100 เมตร ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 50 เมตร และมีลักษณะเป็นโคลนตม ปัจจุบันการแก้ปัญหาการกัดเซาะไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงไปครั้งละ 200-300 ล้านบาท เป็นการลงทุนแก้ปัญหาแล้วไม่เกิดผล มูลค่าชายหาดที่ถูกกัดเซาะไปในแต่ละปีไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท วิธีที่ดีที่สุดคือหยุดการก่อสร้างอย่าทำเพิ่ม ขณะที่ตัวแทนชาวบ้านบ่อโซน หมู่ 7 ต.สะกอม กล่าวว่า หลังสร้างเขื่อนแล้วทำให้วิถีชีวิตของชาวประมงเปลี่ยนแปลงไป เพราะน้ำลึกขึ้น ทำให้ปลาหลายชนิดวางไข่บริเวณชายหาดไม่ได้ โดยเฉพาะเต่าทะเล จึงควรยกเลิก เพราะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นปกติช่วงมรสุม พอช่วงฤดูแล้งคลื่นจะแต่งชายหาดให้เหมือนเดิม แต่หลังสร้างเขื่อนอีกด้านงอก แต่อีกด้านหายไป มินำซ้ำงบประมาณยังสูญเปล่า จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 12 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ทช.ชูสมุทรสาคร พท.ตัวอย่าง นำร่องแก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยว่า จากการสำรวจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พบว่าชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทั้งด้านตะวันออกและตะวันตกประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นอย่างมาก โดยชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงหวัดฉะเชิงเทราจนถึงปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่มีการกัดเซาะขั้นรุนแรง บางพื้นที่มีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งมากถึง 25 เมตรต่อปี โดยเฉพาะในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ที่ ต.โคกขาม และ ต.พันท้ายนรสิงห์ จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่โดนกัดเซาะมากที่สุด มีอัตราการกัดเซาะปีละ 2.48 เมตรและ 1.88 เมตรตามลำดับ ทช.จึงร่วมกับชุมชนในพื้นที่ดำเนินการโครงการแก้ไข อาทิ ปักไม้ไผ่ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น การเพาะชำกล้าไม้ป่าชายเลน การปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นต้น ด้านนายนิทัศน์ ภู่วัฒนกุล รองอธิบดี ทช. กล่าวว่า ทช.ได้รับความร่วมมือจากชุมชนอย่างดี โดย 2 ปีที่ผ่านมา มีตะกอนดินหลังแนวไม้ไผ่เพิ่มสูงขึ้น 1.5 เมตร ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการปักแนวไม้ไผ่ไปแล้วทั้งสิ้นเป็นระยะทาง 3,000 เมตร และได้ทดลองปลูกป่าโกงกางขึ้นเพื่อเป็นแรงซับน้ำและลมอีกทอดหนึ่ง ซึ่งในระยะแรกที่ทำประสบปัญหาต้นไม้ล้ม เนื่องจากปลูกไปในแนวเดียวกัน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นการปลูกแบบไม่มีระเบียบ สลับไปมา เลียนแบบธรรมชาติ เรียกว่าป่าชายเลนเทียมขึ้น โดยได้เริ่มดำเนินการที่ ต.โคกขาม และ ต.พันท้ายนรสิงห์ พบว่าได้ผลดีขึ้น ซึ่งจะดำเนินการเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าชายเลนต่อไป จาก : แนวหน้า วันที่ 29 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ชาวบ้านห่วงไม้ไผ่แนวกันคลื่นเซาะบางขุนเทียนเกรดต่ำ ผู้รับเหมาเริ่มลงพื้นที่สร้างแนวไม้ ไผ่กันคลื่นกัดเซาะชายทะเลบางขุนเทียน ขณะที่ชาวบ้านเป็นห่วงใช้ไม้ไผ่คนละเกรดทำอยู่ไม่ทน หวั่นไม่ทันช่วงมรสุมเข้ามีนาคมนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง บางขุนเทียน ของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ระยะทาง 4.7 กม. หลังจากที่ผู้บริหารกทม.ชุดปัจจุบันได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนแก่สำนักการระบายน้ำ(สนน.) เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการสร้างเขื่อนไม้ไผ่สลายกำลังคลื่นและช่วยดักตะกอนดินเลน มูลค่า 5.8 ล้านบาท ซึ่งได้ผู้รับเหมาโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปีพ.ศ.2552 ซึ่งล่าสุดทางผู้รับเหมาได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแนวเขื่อนไม้ไผ่ แล้วตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยจะดำเนินการต่ออีก 3.7 กิโลเมตรต่อจากแนวไม้ไผ่เดิมที่ชาวบ้านทำไว้ก่อนหน้านี้ 1 กิโลเมตร ภายใน 6 เดือนนี้ อย่างไรก็ตาม มีข้อเป็นกังวลจากชาวบ้านในพื้นที่เนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูมรสุมซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป ทำให้ชาวบ้านต่างวิตกว่าโครงการดังกล่าวอาจสร้างเสร็จไม่ทันกำหนด เนื่องจากมีคลื่นลมแรงจึงอาจเป็นอุปสรรคในการดำเนินการ ขณะที่หากรอให้น้ำลดก็จะไม่สามารถลำเลียงวัสดุได้ ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียที่ดินทำกินและระบบนิเวศชายฝั่งแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ทะเลอันเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในพื้นที่ รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ชาวบ้านบางส่วนยังคงมีข้อกังขาถึงโครงการเขื่อนไม้ไผ่ของกทม.ว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ผลหรือไม่หลังพบว่าไม้ไผ่ที่กทม.กำหนดสเป็กให้ผู้รับเหมาจัด หามาใช้นั้นค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานเดิมที่ชาวบ้านได้ทำมาก่อนหน้านี้ที่ใช้ไม้ไผ่ตงซึ่งมีเนื้อไม้หนาและทนทาน ความยาว 6 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้วที่กลางลำ ปักลึกจากพื้นเลนซ้อนกันตารางเมตรละ 26 ต้น สามารถอยู่ได้อย่างต่ำ 5 ปี ขณะที่ไม้ไผ่ที่ผู้รับเหมานำมาใช้นั้นไม่ใช่ไม้ไผ่ตง และมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 3 นิ้วเท่านั้น อีกทั้งเนื้อไม้มีความบางกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจไม่มีความทนทานและหลุดลอยง่ายโดยเฉพาะเมื่อปักซ้อนตารางเมตรละ 26 ต้นเท่ากันแต่กลับมีระยะห่างช่องไฟมากกว่า ขณะที่งบประมาณที่ใช้ของชาวบ้านก็ใช้งบมากกว่าเพราะจากที่ทำไป 1 กิโลเมตรใช้งบถึง 3.66 ล้านบาทโดยไม่มีค่าแรงเพราะชาวบ้านช่วยกันทำหลังได้รับงบฯอุดหนุนจากองค์กรการกุศล แต่ของกทม.ทำเกือบ 4 กม.กลับใช้เงินแค่ 5.8 ล้านบาทเท่านั้น ชาวบ้านจึงเป็นห่วงว่าเขื่อนไม้ไผ่ที่กทม.ทำให้จะอยู่ได้นานแค่ไหน จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลไทยเข้าขั้นวิกฤติ ![]() กระทรวงทรัพย์ฯ 4 ก.พ.-สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของไทยเข้าขั้นวิกฤติ และไทยอาจได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 50 ซม.ในอีก 40 ปีข้างหน้า จากภาวะโลกร้อน นายประวิม วุฒิสินธุ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยถึงสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของไทยในขณะนี้ ว่ามีอัตราการกัดเซาะรุนแรงใน 23 จังหวัด อัตราการกัดเซาะเฉลี่ย 5-20 เมตร/ปี โดยพื้นที่วิกฤติฝั่งอ่าวไทยมี 13 จังหวัด เช่น ระยอง สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร และนราธิวาส ส่วนปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ถูกกัดเซาะรุนแรงที่สุดในรอบ 55 ปีที่ผ่านมา โดยมีพื้นที่ถูกกัดเซาะไปแล้ว 16,700 ไร่ นอกจากนี้ ชายฝั่งทะเลของไทยยังจะเผชิญวิกฤติจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ตามที่นักวิชาการทั่วโลกทำการศึกษา ซึ่งได้ผลตรงกันว่าในอีก 40 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2050 ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 50 เซนติเมตร โดยไทยมีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับ 6 ของโลก ขณะที่กรุงเทพมากเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ติดชายทะเลทั้งหมด ขณะนี้ทางการได้เตรียมพร้อมรับมือแล้ว โดยในวันที่ 11 ก.พ.ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมประชุมวิชาการระดับชาติ เพื่อร่วมรับทราบสถานการณ์และหาแนวทางแก้ปัญหา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จาก : ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สู้วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน” กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สู้วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน” นายประวิม วุฒิสิทธุ์ รักษาการอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการจัดประชุมวิชาการระดับชาติ เกี่ยวกับการกัดเซาะชายฝั่งและการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล เพื่อเป็นเวทีระดมสมองและนำข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศมาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี มาตรการ และวิธีการที่เหมาะสมใหม่ๆในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะจัดการประชุมเชิงปฎิบัติการ เรื่อง “สู้วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน” ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 ณ ตึก สันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รักษาการอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพื้นที่วิกฤติหรือพื้นทีเร่งด่วนของชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยมีทั้งสิ้น 13 จังหวัด อาทิ จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวมระยะทางประมาณ 207.3 กิโลเมตร นอกจากนี้ วิกฤติระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น 1 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 2.5 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 3 ล้านล้านบาท จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
ประชุมวิกฤตกัดเซาะชายฝั่งเตรียมรับมือภัยโลกร้อน กรุงเทพฯ 11 ก.พ. - จากข้อมูลปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลพบว่า ในจุดที่รุนแรงชายฝั่งถูกกัดเซาะเฉลี่ยถึง 5 เมตรต่อปี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง สู้วิกฤติกัดเซาะชายฝั่งทะเลและเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน โดยยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับชาติ และเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติในปัจจุบันรุนแรงกว่าในอดีตมาก เนื่องจากการพัฒนาชายฝั่งทะเลมีมากขึ้น แต่ขาดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การใช้ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง 20 ปี ของรัฐบาล ดำเนินการสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือการบูรณาการให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของชุมชนเป็นหลัก ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนในอดีต พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมทั้งองค์กร ข้อมูล บุคลากรผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆเพื่อรับมือกับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่เกิดจากภาวะโลกร้อนไว้แล้ว ด้าน นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานว่า ขณะนี้ พื้นที่ชายฝั่งที่มีปัญหาถูกกัดเซาะ มีพื้นที่กว่า 113,000 ไร่ สำหรับพื้นที่รุนแรงถูกกัดเซาะเฉลี่ยถึง 5 เมตรต่อปี ซึ่งวิกฤติใน 13 จังหวัดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย. จาก : ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|