เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 14-06-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


การนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน : อีกครั้งของความล้มเหลวในการจัดการประมงทะเลไทย (2) ......................... โดย ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ นักวิจัยอิสระด้านการจัดการประมง



ลักษณะการทำงานของอวนลากบริเวณพื้นท้องทะเล

การทำประมงอวนลากเกิดขึ้นในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2503 ซึ่งเป็นระยะแรกเริ่มของการพัฒนาประมงทะเลของไทย อวนลากมีศักยภาพสูงในการจับสัตว์น้ำ โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่บริเวณหน้าดินท้องทะเล (demersal fish) ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ในปริมาณมากเกินศักยภาพการผลิต (carrying capacity) ของทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เป็นต้นมา ด้วยลักษณะของเครื่องมืออวนลากที่เป็นถุงอวนแข็งแรงขนาดใหญ่ มีโซ่ร้อยที่ปากอวนเพื่อถ่วงน้ำหนักให้ปากอวนเปิดกว้าง และกินน้ำได้ลึกในขณะทำการประมง และวิธีการทำประมงของอวนลากที่ลากครูดไปกับพื้นท้องทะเลได้ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เช่น แหล่งปะการัง หน้าดินพื้นท้องทะเล เป็นต้น ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศชายฝั่งเสื่อมโทรมลง

นอกจากนี้แล้ว การลากอวนขนาดใหญ่ไปตามพื้นท้องทะเลเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถเลือกจับทั้งชนิด และขนาดของสัตว์น้ำได้ จากผลงานวิจัยพบว่า สัดส่วนของสัตว์น้ำที่ได้แต่ละครั้งจะมีสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ต้องการ (target species) อยู่เพียงหนึ่งในสามของสัตว์น้ำที่จับได้ทั้งหมด ที่เหลืออีกสองในสามเป็นปลาเป็ด (trash fish) เพื่อขายให้แก่โรงงานปลาป่นผลิตอาหารสัตว์ และประมาณร้อยละสามสิบของปลาเป็ดเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนที่สามารถเจริญเติบโตมีมูลค่าสูงต่อไปได้

ข้อมูลวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์แล้วว่า อวนลากเป็นเครื่องมือประมงที่มีศักยภาพในการทำลายล้างสูง ถึงแม้ พ.ร.บ.ประมงจะห้ามทำการประมงอวนลากในเขต 3,000 เมตรจากชายฝั่ง และให้ควบคุมจำนวนเรืออวนลากไม่ให้มีเพิ่มขึ้นอีก แต่การบังคับควบคุมให้การทำประมงอวนลากเป็นไปตามกฏหมายของกรมประมงก็ดูเหมือนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำประมงอวนลากมากที่สุดคือ ชาวประมงขนาดเล็กที่ทำมาหากินอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทุกจังหวัดของประเทศไทย

นอกเหนือจากการเผชิญกับปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรสัตว์น้ำอันเนื่องมาจากการทำประมงอวนลากแล้ว พวกเขายังต้องสูญเสียเครื่องมือประมงที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักจับสัตว์น้ำไปกับการทำประมงอวนลากอีกด้วย โดยเฉพาะชาวประมงอวนจมปู และชาวประมงลอบหมึก อวนจมปูหนึ่งชุดมีมูลค่าประมาณ 7,000-10,000 บาท หรือลอบหมึกหนึ่งชุดประมาณ 30-40 ลูก มีราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท การสูญเสียเครื่องมือประมงไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียเครื่องมือทำมาหากิน แต่พวกเขาได้สูญเสียรายได้ที่จะเลี้ยงครอบครัว และการมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ชาวประมงอวนจมปูรายหนึ่งที่อ่าวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กล่าวว่า “ผมเพิ่งซื้ออวนปูชุดใหม่ เอาไปวางไว้ในทะเลเมื่อวานนี้ พอวันนี้อวนทั้งหมดหายไปกับอวนลาก ผมจะไปกู้ยืมเงินก้อนใหม่จากกลุ่มเงินทุนหมุนเวียนประมงไม่ได้อีก เพราะว่ายังไม่ได้คืนเงินเก่า ทางเดียวที่ทำได้คือ กลับไปหาพ่อค้าคนกลางเพราะเค้ามีเงินให้ยืมเสมอสำหรับชาวประมงที่เป็นลูกหนี้ที่ดี” ในการลากอวนของเรืออวนลากแต่ละเที่ยวไม่ได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงขนาดเล็กเพียงแค่คนเดียว แต่ได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงหลายคนที่วางไว้ในรัศมีการลากอวนของเรืออวนลากลำนั้นๆ

จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการเก็บข้อมูลงานวิจัยเกือบทุกจังหวัดชายฝั่งทั่วประเทศตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี พบว่า ชุมชนประมงชายฝั่งทุกชุมชนที่ได้ให้สัมภาษณ์มีประสบการณ์ในทางลบกับเรือประมงอวนลากด้วยกันทั้งสิ้น ผลกระทบที่ได้รับหนักหนาสาหัสต่อการประกอบอาชีพประมงเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า การพึ่งพาหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้เขาได้ เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษแล้วที่มีชุมชนชายฝั่งมากมายหลายชุมชนลุกขึ้นมาปกป้องพื้นที่ชายฝั่งหน้าหมู่บ้านของตนเองให้รอดพ้นจากการรุกล้ำของเรือประมงอวนลาก มีการตั้งกลุ่มอาสาสมัครอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งเพื่อสอดส่องดูแลการทำประมงที่ผิดกฏหมาย และเมื่อมีกรณีเกิดขึ้นก็จะขับไล่ให้พ้นไปจากพื้นที่ทะเลหน้าชุมชน หรือประสานงานกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการจับกุมผู้กระทำความผิด

นอกจากนี้ ชุมชนยังได้พยายามฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดัง เดิมด้วยการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ที่หลากหลาย เช่น การสร้างบ้านให้ปลาด้วยการทำซั้งกอ เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย วางไข่ และขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ พร้อมด้วยมาตรการห้ามทำการประมงรอบซั้งที่สร้างไว้เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในบริเวณรอบซั้งเหล่านั้น มีการจัดตั้งธนาคารปู ธนาคารกุ้ง เพื่อให้แม่พันธุ์ที่มีไข่เต็มท้องที่ถูกจับได้มีโอกาสวางไข่ก่อนที่จะถูกนำไปขาย มีการปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนที่สำคัญ เป็นต้น


พื้นที่โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน

โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอีกความพยายามหนึ่งของชุมชนชายฝั่ง 9 ชุมชนในอ่าวบางสะพานร่วมกับเจ้าหน้าที่ประมงในท้องถิ่นดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบของการทำประมงอวนลาก ก่อนที่โครงการนำร่องการจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2542 ชาวประมงชาวขนาดเล็กในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการทำประมงอวนลากอย่างแสนสาหัส เรือประมงอวนลากจากจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี และบางพื้นที่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้บุกรุกเข้ามาลากอวนในเขต 3,000 เมตร ของชายฝั่งอ่าวบางสะพาน

การรุกล้ำพื้นที่ชายฝั่งของอวนลาก ทำให้ชาวประมงในท้องถิ่นทำมาหากินได้อย่างยากลำบาก เพราะระบบนิเวศชายฝั่งถูกทำลาย ทรัพยากรสัตว์น้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงขนาดเล็กที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักสัตว์น้ำให้เสียหายอีกด้วย ผลกระทบจากการทำประมงอวนลากดังกล่าว ทำให้ชาวประมงท้องถิ่นส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง มีต้นทุนการทำประมงสูงขึ้น และมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในการประกอบอาชีพ ซึ่งได้ขยายไปสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย มีการต่อสู้ทั้งทางวาจา และการใช้กำลังทำให้ชาวประมงขนาดเล็กซึ่งมีสถานภาพทางสังคมที่ด้อยกว่า มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตอีกด้วย

ด้วยการต่อสู้เรียกร้องของชาวประมงในพื้นที่ต่อปัญหาเรือประมงอวนลากอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้น ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชนชาวประมงในอ่าวบางสะพาน และเจ้าหน้าที่ประมงในท้องถิ่นในการดำเนิน “โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน” ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ประกาศเขตพื้นที่โครงการนำร่อง: เส้นสีเหลือง (ดูภาพประกอบที่ 2) และห้ามอวนลากเข้ามาทำการประมงในพื้นที่โครงการ ทำให้เขตห้ามทำการประมงงอวนลากในอ่าวบางสะพาน ขยายจาก 3 กิโลเมตร หรือเขตเส้นสีแดงออกไปถึงประมาณ 10 กิโลเมตรจากชายฝั่ง หรือเขตเส้นสีเหลือง พร้อมทั้งมีการตั้งกลุ่มชาวประมงอาสาอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งดำเนินการตรวจจับการทำประมงผิดกฏหมายร่วมกับเจ้าหน้าที่โครงการนำร่องอีกด้วย



ความสำเร็จที่สำคัญประการหนึ่งของ “โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน” ที่ดำเนินเนินการมาเป็นเวลาเกือบ 13 ปี คือ ชาวประมงในพื้นที่กว่า 400 ครัวเรือนยอมรับว่า โครงการนำร่องนี้เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาเรืออวนลากให้พวกเขาได้อย่างแท้จริง เพราะเรือประมงอวนลากได้หายไปจากพื้นที่โครงการเกือบทั้งหมดตั้งแต่ปีแรกๆ ของการดำเนินโครงการ

นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน และผู้สนใจทั่วไปที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะโครงการนำร่องอ่าวบางสะพานนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ชุมชนท้องถิ่นมีศักยภาพเพียงพอในการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนทั้งต่อคนในท้องถิ่น และต่อประเทศโดยรวม ถ้าพวกเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากภาครัฐที่มีอำนาจ และทรัพยากรอยู่ในมือ เพราะโดยการจัดการเพียงลำพังของภาครัฐก็ยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้

กรมประมงกำลังดำเนินการพิจารณานิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนที่มีอยู่มากมายในท้องทะเลไทย ให้มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายอีกกว่า 2,000 ลำ ด้วยเหตุผลว่า เรือประมงอวนลากเถื่อนเหล่านี้ไม่สามารถส่งสินค้าไปขายให้แก่สหภาพยุโรปได้ภายใต้มาตรการ IUU Fishing (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) ซึ่งเป็นมาตรการที่สหภาพยุโรปห้ามนำเข้าสินค้าประมงที่มาจากการทำประมงผิดกฏหมาย (Illegal) ไม่มีการรายงานแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำ (Unreported) และไม่มีการควบคุมการได้มาซึ่งสินค้านั้นๆ (Unregulated)

การที่กรมประมงจะทำให้เรืออวนลากเถื่อนที่ผิดกฏหมายกลายเป็นถูกกฏหมาย จึงเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสหภาพยุโรปในการใช้มาตรการ IUU Fishing เพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการทำประมงอย่างรับผิดชอบ และความยั่งยืนของการใช้ทรัพยากรทางทะเลของประเทศผู้ส่งออกสัตว์น้ำ ที่สำคัญ ยังเป็นการทำร้ายจิตใจชาวประมงขนาดเล็กชายฝั่งทั่วประเทศที่เฝ้าปก ป้องรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้รอดพ้นจากการทำร้ายของการประมงอวนลาก และรณรงค์ต่อสู้เพื่อให้เรือประมงอวนลากหมดไปจากท้องทะเลไทย

ดังนั้น ก่อนที่กรมประมงจะเดินหน้าตัดสินใจนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน กรมประมงน่าจะปรึกษาหารือกับพี่น้องชาวประมงชายฝั่งว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ในฐานะที่พวกเขาได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในการตรวจจับเรือประมงอวนลากผิดกฏหมาย และร่วมฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งกับกรมประมงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทั้งปวงที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ผู้เขียนมีความเชื่อว่า จะไม่มีชุมชนชาวประมงขนาดเล็กแม้เพียงชุมชนเดียวที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกรมประมงในครั้งนี้




จาก ...................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 13 มิถุนายน 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 11-01-2013
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ในยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยถอยจมเลยต้องเอา “ปลากะพงมาเลี้ยงกุ้งฝอย” ..................... โดย สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ


สัตว์น้ำที่จับได้โดยเรือประมงอวนลากมีหลากหลายชนิดแ ละขนาด จากสถิติปริมาณไม่ถึงร้อยละ 40 มีคุณภาพดีพอสำหรับการบริโภค ที่เหลือส่งขายโรงงานปลาป่น

การที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตร เพียงเล็กน้อย ทำให้ระบบนิเวศทางทะเล และชายฝั่งของประเทศมีความหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่ งของโลก ประกอบกับการมีชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวกว่าสองพันกิโลเม ตร ทำให้เราได้เปรียบประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ ทั้งในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมง ที่มีหลากหลายชนิดและมีปริมาณมากมายมหาศาล ตลอดจนความกว้างใหญ่ของอาณาเขตพื้นที่ทะเลให้ชาวประม งไทยได้ทำมาหากินกัน

ด้วยลักษณะทางธรรมชาติของทะเลในเขตร้อน ทำให้องค์ประกอบชนิดของปลาในทะเลมีความหลากหลาย (Multi Species Composition) มากกว่าทะเลในเขตอบอุ่น ซึ่งมีองค์ประกอบชนิดของปลาที่มีความหลากหลายน้อยกว่ า (Single Specie Composition) ดังนั้น การทำประมงของไทยที่เป็นการทำประมงขนาดใหญ่ ซึ่งใช้เครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพสูงในการจับส ัตว์น้ำ เช่น เครื่องมือประมงอวนลาก หรือการทำประมงที่ใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เลือกจับช นิดสัตว์น้ำ เช่น อวนรุน โพงพาง เป็นต้น จะจับปลาได้หลากหลายชนิด และหลากหลายขนาดในการทำประมงแต่ละครั้ง

ดังตัวอย่างงานวิจัยของกรมประมงที่ได้เสนอไว้ว่า องค์ประกอบของผลผลิตสัตว์น้ำอวนลากมีสัดส่วนของสัตว์ น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องการ (targeted species) มีเพียงร้อยละ 33.3 ที่เหลือเป็นปลาเป็ด (ไม่สามารถใช้บริโภค ใช้สำหรับผลิตอาหารสัตว์) ถึงร้อยละ 66.7 และร้อยละ 30.1 ของปลาเป็ดทั้งหมด เป็นสัดส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อ น (Chantawong, 1993) ซึ่งถ้าคำนวนร้อยละ 30 ของสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนที่สูญเสียไปของผลผลิตสัต ว์น้ำของอวนลากทั้งหมดทั่วประเทศ จะเห็นว่าเป็นตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปอย่างมหาศาลในแต่ละปี

ในอดีต การผลิตปลาป่นเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมการประมง โดยจะใช้ของเหลือจากการทำประมง หรือที่เรียกว่า “ปลาเป็ด” ซึ่งประกอบด้วยปลาที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะไม่เป็นที่นิยมรับประทานกัน และ/หรือปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง แต่มีขนาดเล็กเกินไป เช่น ลูกปลาอินทรี ปลาทู ปลาเก๋า ปลากระพง เป็นต้น ที่ติดมากับเครื่องมือประมงมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต “ปลาป่น” เพื่อนำไปใช้เลี้ยงกุ้งในฟาร์มเป็นหลัก และใช้ในการเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆรองลงไป

แต่หลังจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ปีกในประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมา ก และรวดเร็วในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้การผลิตปลาป่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมกา รผลิตอาหารสัตว์ของประเทศ ที่มีการกำหนดเป้าหมายการผลิต และปริมาณความต้องการผลผลิตปลาป่นที่ชัดเจนขึ้น การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีข ีดจำกัด เพื่อเป็นอาหารของคนในประเทศ และเพื่อการส่งออก ส่งผลให้ความต้องการปลาป่นมีปริมาณสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อความต้องการผลผลิตปลาป่นมีปริมาณที่สูงขึ้น ส่งผลให้ชาวประมงขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งปรับเปลี่ยนพฤติก รรมการทำประมงให้ตอบสนองกับความต้องการนี้ ตัวอย่างเช่น ในประมาณปี พ.ศ.2545 ผู้เขียนได้รับข้อมูลมาว่า ในฤดูปิดอ่าวไทยในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้ปลาทูวางไข่ และเจริญเติบโต มีเรือประมงอวนล้อมปั่นไฟขนาดใหญ่เข้ามาแอบลักลอบจับ ลูกปลาทูในเขตห้ามทำการประมง เพื่อนำไปขายให้แก่โรงงานปลาป่นด้วยราคาเพียง 5 บาทต่อกิโลกรัม (ขณะนั้นราคาปลาขนาดปกติซื้อขายที่แพปลาราคา 17 บาทต่อกิโลกรัม) อวนล้อมแต่ละลำสามารถจับลูกปลาทูได้ประมาณ 10-20 ตันต่อคืน ทำให้ลูกปลาทูถูกจับอย่างมากมายมหาศาลในช่วงฤดูวางไข่ของแต่ละปี

หรือตัวอย่างของการทำประมงอวนลาก ที่ทำประมงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการหยุดพัก เพราะถึงแม้ว่าการทำประมงในบางช่วงเวลาจะไม่สามารถจั บปลาเศรษฐกิจเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งใจ แต่เรืออวนลากเหล่านี้ก็ยังสามารถจับปลาเป็ดขายให้แก่โรงงานปลาป่นได้


ลูกเรือประมงกำลังคัดเลือกสัตว์น้ำที่จับโดยเครื่องมือประมงอวนลาก ซึ่งใช้วิธีกวาดต้อนใต้ท้องทะเลมาก่อน แล้วค่อยคัดแยกที่หลัง ทำให้เกิดการทำลายระบบนิเวศท้องทะเล และตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญๆ

อาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมปลาป่นได้สร้างแรงจูงใจให้เกิดการทำประมงอ ย่างเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติ ทะเลไม่มีโอกาสฟื้นตัว และลูกปลาวัยอ่อนมีโอกาสถูกจับมากกว่าได้เจริญเติบโต เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป ปลาเป็ดที่ขายให้แก่โรงงานปลาป่นมาจากการทำประมงขนาดใหญ่ ที่เน้นจับปลาในปริมาณมาก ไม่เลือกชนิดสัตว์น้ำ จับมาก่อน และค่อยคัดแยกทีหลัง

ในขณะที่ผลผลิตที่มาจากเรือประมงขนาดเล็กส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ชนิด และขนาดที่เหมาะสมของสัตว์น้ำเป้าหมายดังที่ตั้งใจไว้ เช่น ถ้าจะจับปูม้าก็ใช้อวนลอยปู จับกุ้งก็จะใช้อวนลอยกุ้งสามชั้น จับหมึกหอมก็จะใช้ลอบหมึก หรือจับปลากระบอกก็จะใช้อวนลอยปลากระบอก เป็นต้น อาจจะมีสัตว์น้ำชนิดอื่นๆติดมาบ้าง ก็จะถูกนำมาเป็นอาหารสำหรับสมาชิกในครัวเรือน

เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า ปลาทะเลเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีคุณต่อสุขภาพสูงกว่าเนื้อสัตว์ประเภทไก่ หมู และเนื้อวัว แต่ปลาทะเลที่มีคุณค่า และมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกลับถูกตัดวงจรชีวิต ถูกจับมาแปรรูปเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์เหล่านี้

การกระทำเช่นนี้ขัดแย้งกับสำนวนไทยที่ว่า “เอากุ้งฝอยมาตกปลากะพง” ซึ่งหมายถึงการเอาสิ่งใดใดที่มีมูลค่าต่ำมาแลกเปลี่ย น หรือมาทำให้เกิดสิ่งอื่นๆที่มีมูลค่าสูงกว่า เพราะเรากำลังเอา “ปลากะพงไปเลี้ยงกุ้งฝอย” ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพราะ “ปลากะพง” นั้นไม่มีเจ้าของ เป็นสมบัติสาธารณะ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของรัฐไม่สามารถบริหารจัดการได ้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ “กุ้งฝอย” กลับเป็นของบริษัทผลิตปลาป่น และอาหารรายใหญ่ของประเทศ



จาก ...................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 8 มกราคม 2556
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 11-01-2013
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


จาก ......... ไทยรัฐ วันที่ 10 มกราคม 2556
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	560110_Thairath_01.jpg
Views:	0
Size:	110.0 KB
ID:	14058   คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	560110_Thairath_02.jpg
Views:	0
Size:	103.2 KB
ID:	14059  
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 12-02-2014
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default


ปิดอ่าวไทยช่วงปลาวางไข่ 3 เดือน ................... หลากเรื่องราว



เป็นประจำทุกปีที่ กรมประมง ประกาศปิดอ่าวไทยเป็นระยะเวลา 3 เดือนในช่วงระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์–15 พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูปลาที่มีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อนในฝั่งทะเลอ่าวไทย เพื่อเปิดโอกาสให้สัตว์น้ำได้แพร่ขยายพันธุ์ตามฤดูกาล พร้อมขอความร่วมมือชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมาย โดยปีนี้จะมีการทำพิธีปล่อยขบวนเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติการ ภายใต้ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 57 นี้ ณ บริเวณท่าเทียบเรือเทศบาลปากน้ำชุมพร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวกรมประมงจะประกาศห้ามให้ชาวประมงใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดทำประมงในช่วงเวลาดังกล่าว ในพื้นที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานีอย่างเด็ดขาด หากพบการกระทำผิดจะดำเนินการจับกุมทันทีไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น

นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำนั้น ครอบคลุมพื้นที่ทำการประมงประมาณ 26,400 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี โดยกำหนดห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการขยายพันธุ์ของพ่อแม่พันธุ์และสัตว์น้ำวัยอ่อนในท้องทะเลอ่าวไทย โดยเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามจำนวน 6 ประเภท คือ

1. เครื่องมืออวนลากทุกชนิดที่ใช้ประกอบกับเรือกล ยกเว้นเครื่องมืออวนลากที่ใช้ประกอบกับเรือกลลำเดียวที่ความยาวเรือไม่เกิน 16 เมตร ให้ทำการประมงได้เฉพาะในเวลากลางคืน

2. เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือกลทำการประมงด้วยวิธีล้อมติดปลาทู หรือด้วยวิธีอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน

3. เครื่องมืออวนติดตาทุกชนิดที่ใช้ประกอบกับเรือกลทำการประมง ยกเว้น ก. เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือกลที่วางเครื่องกลางลำไม่มีเก๋ง (หลังคา) ขนาดความยาวเรือไม่เกิน 14 เมตร หรือการใช้เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือยนต์เพลาใบจักรยาว ข. เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือกลและเครื่องมือกว้าน ช่วยในการทำการประมงโดยใช้อวนที่มีขนาดความลึกอวนไม่เกิน 70 ช่องตาอวน ความยาวอวนตั้งแต่ 4,000 เมตร ลงมาในขณะทำการประมงแต่ละครั้ง ทำการประมงในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 15 เมษายน ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ของทุกปี กรณีใช้อวนตามข้อ ข. วรรคแรกซึ่งมีความยาวอวนเกินกว่า 4,000 เมตร ขึ้นไป ในขณะทำการประมงในแต่ละครั้ง ห้ามใช้เครื่องมือกว้านช่วยในการทำการประมง การนับความยาวอวนให้นับความยาวอวนทั้งหมดรวมกันขณะทำการประมง



4. เครื่องมืออวนล้อมจับทุกชนิดที่ใช้ประกอบกับเรือกลทำการประมง

5. เครื่องมืออวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยก ที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ทำการประมงปลากะตัก และ

6. เครื่องมืออวนรุนที่ใช้ประกอบกับเรือกลที่มีขนาดความยาวเรือเกินกว่า 14 เมตรขึ้นไป ในการวัดขนาดความยาวของเรือกลที่ใช้ประกอบกับเครื่องมือทำการประมง ตามความในประกาศนี้ให้ใช้วิธีการวัดขนาดความยาวเรือตลอดลำ (Length Over All : L.O.A.) คือ วัดความยาวเรือทั้งหมด

หากพบมีชาวประมงรายใดฝ่าฝืนใช้เครื่องมือต้องห้ามทำการประมงในพื้นที่ที่ได้ประกาศปิดอ่าวฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการประกาศปิดอ่าวฯ ของกรมประมงแสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวนี้เป็นอีกแนวทางที่จะสามารถสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเลให้คืนกลับมาอย่างยั่งยืน ชาวประมงมีรายได้จากการประกอบอาชีพประมง และพี่น้องประชาชนมีสัตว์น้ำบริโภคตลอดไป.


จาก....เดลินิวส์ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:20


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger