#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคตะวันออก โดยมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 16 ต.ค. 2564 อนึ่ง พายุดีเปรสชัน "คมปาซุ" บริเวณตอนเหนือของเมืองวิญ ประเทศเวียดนามตอนบน ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้ว กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 15-16 ต.ค. 64 ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 17-20 ต.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนน้อย ในขณะที่ร่องมรสุมจะเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนลดลง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง อนึ่ง พายุโซนร้อน "คมปาซุ" มีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนในวันที่ 14 ต.ค. 64 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 15-16 ต.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดจากฝั่ง ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุ "คมปาซุ"" ฉบับที่ 13 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 เมื่อเวลา 23.00 น. วานนี้ (14 ต.ค. 2564) พายุดีเปรสชัน "คมปาซุ" บริเวณตอนเหนือของเมืองวิญ ประเทศเวียดนามตอนบน ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้วในบริเวณดังกล่าว ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนลดลง อนึ่ง ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 16 ต.ค. 2564
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ซากฟอสซิลแอมโมไนต์ เคยอุดมบนชายฝั่งทางตอนใต้ของอังกฤษ (ภาพประกอบ Credit : Christina lfrim) แอมโมไนต์ (Ammonite) เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเซฟาโลพอด (Cephalopods) ซึ่งฟอสซิลแอมโมไนต์ที่รู้จักกันดีที่สุดคือสมบัติในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติมึนส์เทอร์ในเยอรมนี พวกมันมีความเกี่ยวข้องกับปลาหมึกและปลาหมึกยักษ์ แอมโมไนต์ดังกล่าวมีเส้นผ่าศูนย์กลางเปลือกสูงสุด 1.8 เมตร พวกมันถูกกำจัดไปในช่วงปลายยุค ครีเตเชียส ที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ทำให้ยุคของไดโนเสาร์สิ้นสุดลง แต่มีนักวิทยาศาสตร์เผยว่าแอมโมไนต์เคยเจริญเติบโตใน 2 ด้านของมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งในดินแดนที่เป็นปัจจุบันคือแคว้นซัสเซ็กซ์ของอังกฤษและในเม็กซิโก ก่อนที่พวกมัน จะเข้าสู่หายนะจากอุกกาบาต ซึ่งยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธ ที่ระบุว่าซากฟอสซิลแอมโมไนต์อายุมากกว่า 80 ล้านปีมีอย่างอุดมสมบูรณ์และพบเห็นได้ง่ายบนชายฝั่งทางตอนใต้ของอังกฤษ ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ นำโดยนักบรรพชีวินวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ยูราในเยอรมนี ที่ศึกษาแอมโมไนต์ขนาดยักษ์จำนวน 154 ตัวที่ได้จากหินยุคครีเตเชียส พบในเยอรมนี เม็กซิโกและสหราชอาณาจักร เผยว่าซากฟอสซิลแอมโมไนต์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ขนาดใหญ่มักพบตามแนวชายฝั่งเมืองพีชฮาเวน ในอีสต์ ซัสเซ็กซ์ สายพันธุ์นี้หายากมากทำให้ข้อมูลน้อยไปโดยปริยาย ทว่าการค้นพบฟอสซิลแอมโมไนต์มากมายกว่าร้อยชิ้นในซัสเซ็กซ์หรือเม็กซิโก ก็ช่วยให้นักวิจัยเริ่มประกอบลำดับวิวัฒนาการของพวกมันได้ จนสามารถระบุว่าพวกมันแพร่กระจายเติบโตอย่างมหาศาลเมื่อ 83 ล้านปีก่อน. https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2218427
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
"เกาะสิมิลัน" พร้อมเปิดให้เที่ยว 15 ต.ค.นี้ แบบ New Normal ไม่เกิน 3,850 คน/วัน อช. สิมิลัน เผยพร้อมเปิดรับการท่องเที่ยว 15 ตุลาคมนี้ ในรูปแบบ New Normal จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เกิน 3,850 คน/วัน แบ่งเป็น การท่องเที่ยวแบบไปเช้า - เย็นกลับ (One Day Trip) ไม่เกิน 3,325 คน/วัน และดำน้ำลึกไม่เกิน 525 คน/วัน นายทัศเนศวร์ เพชรคง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งได้เปิดให้บริการจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. เพื่อรองรับการเปิดเกาะให้เที่ยวชมในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้หลังจากที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีคำสั่งให้ปิดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันตั้งแต่เดือนตั้งแต่ช่วงที่มีโควิด-19 ระบาดในรอบเดือนเมษายน มาจนเข้าสู่การปิดตามฤดูกาลในฤดูมรสุม ทำให้นักท่องเที่ยวต่างเฝ้ารอคอยเพื่อจะได้กลับไปเยี่ยมชมความสวยงามของหมู่เกาะสิมิลัน แหล่งดำน้ำลึกที่มีความสวยงาม ติด 1 ใน 10 ของโลกอีกครั้ง หัวหน้าอุทยานหมู่เกาะสิมิลัน กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันมีความพร้อมเต็มร้อย ที่จะเริ่มเปิดการท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 ถึง 15 พฤษภาคม 2565 เป็นเวลา 7 เดือน โดยแบ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบไปเช้า - เย็นกลับ (One Day Trip) วันละ 3,325 คน และกิจกรรมดำน้ำลึก 525 คนต่อวัน รวมทั้งหมดไม่เกิน 3,850 คนต่อวัน ซึ่งทางอุทยานฯได้ดำเนินการในแบบ New Normal โดยจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าก่อน 1 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งสามารถซื้อตั๋วได้ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2564 จนถึง 14 พฤษภาคม 2565 สำหรับในส่วนของผู้ประกอบการเองได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน เนื่องจากจังหวัดพังงาเป็นพื้นที่ขยาย Sandbox มาจากภูเก็ต ก็เลยต้องมีการทำระบบ SHA PLUS ที่รองรับมาตรฐาน ผู้ประกอบการไหนที่ผ่าน SHA PLUS ถือว่าผ่านมาตรฐานการรับรองการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยแล้ว ก็สามารถดำเนินการเข้ามาซื้อตั๋วได้ แต่ในส่วนของผู้ประกอบการที่ยังไม่ผ่าน SHA PLUS จะต้องนำใบตรวจโควิด-19 และ ใบฉีดวัคซีน นำมาประกอบในการซื้อตั๋วทุกคน ส่วนนักท่องเที่ยวเองต้องผ่านการรับรองของผู้ประกอบการที่มีบัญชีรายชื่อตามแบบที่ต้องลงรายชื่อก่อนล่วงหน้า จะต้องผ่านตามมาตรการจังหวัดพังงา ในส่วนของกิจกรรมดำน้ำลึก จะมีเรือชุดปฏิบัติการออกตรวจ ทั่วทั้งอุทยาน ซึ่งที่มีจุดดำน้ำ 21 จุด จะทำการตรวจเรือทุกลำ ในส่วนเจ้าหน้าที่ของอุทยานเกาะสิมิลัน 85 คน ได้ฉีดวัคซีน 3 เข็มแล้วกันทุกคน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันของเรามีมาตรฐาน 100% จึงขอให้นักท่องเที่ยวมั่นใจได้ ซึ่งจะเริ่มขายตั๋วในวันที่ 14 ต.ค. เป็นวันแรก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จ.พังงา เดิมอช.หมู่เกาะสิมิลัน ประกอบด้วยเกาะ 9 เกาะ คือ เกาะหนึ่ง(หูหยง) เกาะสอง(ปายัง) เกาะสาม(ปาหยัน) เกาะสี่(เมียง) เกาะห้า เกาะหก(ปายู) เกาะเจ็ด(หินปูซาร์) เกาะแปด(สิมิลัน) และเกาะเก้า(บางู) ต่อมาทางกรมอุทยานฯได้ผนวกรวมเกาะตาชัยและเกาะบอนที่อยู่ในน่านน้ำละแวกเดียวกันเพิ่มเข้าไปอีก 2 เกาะ ทำให้หมู่เกาะสิมิลันปัจจุบันมี 11 เกาะด้วยกัน สำหรับจุดไฮไลท์หลักของหมู่เกาะสิมิลัน มี 2 เกาะ หลัก ๆ ได้แก่ เกาะสี่ และ เกาะแปด เกาะสี่ เป็นเกาะใหญ่อันดับสองของหมู่เกาะสิมิลัน เป็นเกาะที่ตั้งของที่ทำการ อช.หมู่เกาะสิมิลัน นอกจากนี้ยังมีบ้านพัก สถานที่กางเต็นท์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ บนเกาะสี่ มีจุดท่องเที่ยวหลัก คือ "หาดหน้า" อันสวยงาม ทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสวยใสแจ๋ว และ "หาดเล็ก" ที่มีความเป็นธรรมชาติและเป็นส่วนตัว ส่วนเกาะแปด เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุดของหมู่เกาะสิมิลัน เพราะมี "หินเรือใบ" ที่ถือเป็นไฮไลท์ประจำเกาะและเป็นดังสัญลักษณ์ของหมู่เกาะแห่งนี้ นอกจากนี้หมู่เกาะสิมิลันยังมีโลกใต้น้ำที่สวยงามน่าทึ่ง มีปะการังหลากลหาย และปลาสวยงาม หลากหลายชนิด สามารถดำน้ำ ได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก ซึ่งหมู่เกาะสิมิลันได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน แหล่งดำน้ำลึกที่สวยงามและดีที่สุดของโลก ผู้สนใจสามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 93 หมู่ที่ 5 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา หรือ โทร.076-453272 https://mgronline.com/travel/detail/9640000101917
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
15 ตุลาคม 2406 เรือดำน้ำลำแรกที่จมเรือข้าศึก "จม" พร้อมกับคนสร้าง เรือฮันลีย์ เป็นเรือดำน้ำยุคบุกเบิก มันถูกสร้างออกมาในยุคสงครามกลางเมืองสหรัฐ ชื่อเสียงของมันคือเป็นเรือดำน้ำที่จมเรือข้าศึกได้เป็นลำแรก แต่ตัวมันเองก็จมบ่อยเหลือเกิน คือจมมากถึง 3 ครั้ง หนึ่งในนั้นก็คือจมไปพร้อมกับคนที่สร้างมันขึ้นมา เรือ เอช.แอล. ฮันลีย์ เป็นเรือดำน้ำของฝ่ายสมาพันรัฐอเมริกา ที่มีบทบาทเล็ก ๆ ในสงครามกลางเมืองอเมริกา แต่มันก็ได้แสดงให้เห็นถึงข้อดีของเรือดำน้ำ และอันตรายของการทำสงครามใต้ทะเล มันเป็นเรือดำน้ำรบลำแรกที่จมเรือรบได้ ( เรือยูเอสเอส ฮูซาโทนิค ) แม้ว่าขณะนั้น มันจะไม่ได้ดำลงไปใต้น้ำทั้งลำก็ตาม และหลังจากการโจมตีที่ประสบความสำเร็จ มันก็ได้สูญหายไปพร้อมกับลูกเรือ มันได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของโฮเรซ ลอว์วัน ฮันลี่ย์ คนที่สร้างมันขึ้นมา ไม่นานหลังจากที่มันถูกนำเข้าประจำการณ์ ภายใต้การควบคุมของกองทัพสมาพันธรัฐ ที่เมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา เรือฮันลี่ย์ ยาวเกือบ 12 ม. ต่อขึ้นที่เมืองโมไบล์ รัฐอะลาบามา และปล่อยเรือลงน้ำในเดือนกรกฎาคม 2406 จากนั้นมันถูกส่งโดยทางรถไฟในวันที่ 12 สิงหาคม 2406 ไปยังเมืองชาร์ลสตัน แต่ปรากฏว่า ฝ่ายสมาพันธรัฐสูญเสียลูกเรือไปทั้งสิ้น 21 นาย จากการจมถึง 3 ครั้งของเรือฮันลี่ย์ในช่วงชีวิตสั้น ๆ ของมัน ฮันลีย์ ( ซึ่งตอนนั้นเรียกว่า "เรือปลา", "เรือปลาตอร์ปิโด" หรือ "ปลาโลมา") จมครั้งแรกวันที่ 29 สิงหาคม 2406 ในระหว่างการทดสอบ ส่งผลให้ลูกเรือเสียชีวิต 5 นาย มันจมอีกครั้งในวันที่ 15 ตุลาคม 2406 สังหารลูกเรือไปอีก 8 คน รวมถึงฮอเรซ ลอว์สัน ฮันลีย์ ซึ่งอยู่บนเรือในขณะนั้นด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ทหารของกองทัพสมาพันธรัฐก็ตาม แต่ในทั้ง 2 ครั้ง ฮันลี่ย์ยังถูกกู้ขึ้นมาได้ และกลับเข้าประจำการได้ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2407 ฮันลีย์ออกโจมตีและจมเรือรบกองทัพเรือสหรัฐขนาด 1,240 ตัน ซึ่งทำหน้าที่ปิดล้อมอยู่ที่นอกท่าเรือเมืองชาร์ลสตัน แต่ฮันลีย์ก็ไม่รอดจากการโจมตี และมันเองก็จมลงอีกครั้ง พร้อมกับลูกเรือทั้ง 8 นาย และคราวนี้ เรือได้สูญหายไป ไม่ได้กลับฐาน มันถูกระบุตำแหน่งได้ในปี 2538 และได้รับการกู้ขึ้นมาในปี 2543 และปัจจุบัน ก็ถูกตั้งแสดงอยู่ที่ศูนย์อนุรักษ์วอร์เรน ลาสช์ ที่นอร์ธ ชาร์ลส์ตัน รัฐเซาท์แคโรไลน่า บนแม่น้ำคูเปอร์ การตรวจสอบเรือในปี 2555 ชี้ให้เห็นว่าเรืออยู่ใกล้กับเป้าหมายแค่ 6.1 ม. เมื่อตอร์ปิโดของมันระเบิด จึงทำให้เรือดำน้ำจมลงไปด้วย https://www.nationtv.tv/news/378846327
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|