เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,521
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ด้านตะวันตกของภาคเหนือ และภาคกลางมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร สำหรับอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณ ที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 25?26 พ.ค. 67

อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณอ่าวเบงกอลตอนกลางมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไซโคลนในระยะต่อไป คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศบังคลาเทศ ในช่วงวันที่ 26?27 พ.ค. 67


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 25 - 26 พ.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศเมียนมา ด้านตะวันตกของภาคเหนือ และภาคกลางมีกำลังค่อนข้างแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนสูง 2 ? 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 27 - 30 พ.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่างได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันแล้วและมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไซโคลนในระยะต่อไป คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศบังคลาเทศ ในช่วงวันที่ 26?27 พ.ค. 67


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดการเดินเรือจนถึงวันที่ 26 พ.ค. 67



******************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามัน ฉบับที่ 12 (104/2567)


มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ด้านตะวันตกของภาคเหนือ และภาคกลาง มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน
และพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร สำหรับอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 24?26 พ.ค. 67

อนึ่ง เมื่อเวลา 01.00 น. พายุดีเปรสชันบริเวณอ่าวเบงกอลตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 16.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 89.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศเหนือ
ค่อนตะวันออกด้วยความเร็วประมาณ 11 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไซโคลนในระยะต่อไป และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียและประเทศบังคลาเทศ ในช่วงวันที่ 26?27 พ.ค. 67












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,521
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


อุทยานทางทะเลประกาศสถานการณ์ปะการังฟอกขาวพบ 21 แห่ง รุนแรงมาก 9 แห่ง 54 บริเวณ



วันที่ 24 พฤษภาคม กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สรุปสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล ดังต่อไปนี้

สถานการณ์ปะการังฟอกขาว ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล (ข้อมูล ณ วันที่ 2 เมษายน ? 22 พฤษภาคม 2567) พบเจอปะการังฟอกขาว 21 แห่ง รายละเอียดดังนี้

1. อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอ่าวไทย จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ? หมู่เกาะเสม็ด อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด อุทยานแห่งชาติหาดวนกร อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง อุทยานแห่งชาติธารเสด็จ-เกาะพะงัน และอุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ (เตรียมการ)

2. อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อุทยานแห่งชาติแหลมสน อุทยานแห่งชาติสิรินาถ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา ? หมู่เกาะพีพี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อุทยานแห่งชาติกมู่เกาะเภตรา และอุทยานแห่งชาติตะรุเตา

โดยพบเจอปะการังฟอกขาว ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล 152 บริเวณ

- ปะการังฟอกขาวรุนแรงมาก (การฟอกขาว >50%) จำนวน 9 แห่ง 54 บริเวณ

- ปะการังฟอกขาวรุนแรง (การฟอกขาว 11-50%) จำนวน 12 แห่ง 56 บริเวณ

- ปะการังฟอกขาวรุนแรง (การฟอกขาว 1-10%) จำนวน 12 แห่ง 39 บริเวณ

- ปะการังสีซีดจาง จำนวน 1 แห่ง 3 บริเวณ

-ปะการังตายจากการฟอกขาว 1-10% จำนวน 4 แห่ง 7 บริเวณ


การประกาศปิดอุทยานแห่งชาติอุทยานแห่งชาติแล้ว

ปิดการท่องเที่ยวประจำปี

1. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (16 พฤษภาคม ? 14 ตุลาคม)

2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (16 พฤษภาคม ? 14 ตุลาคม)

3. อุทยานแห่งชาติแหลมสน ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (16 พฤษภาคม ? 14 ตุลาคม)

4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (1 มิถุนายน ? 30 กันยายน)

5. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา

5.1 ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (1 มิถุนายน ? 31 กรกฎาคม) บริเวณเกาะเหล็ก เกาะบิสสี เกาะตาลัง ทิศเหนือและ ทิศตะวันออกของเกาะอาดัง

5.2 ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (1 สิงหาคม ? 30 กันยายน) บริเวณเกาะยาง ร่องน้ำจาบัง เกาะราวี เกาะดง เกาะหินซ้อน เกาะรอกลอย ทิศตะวันตกของเกาะอาดัง เกาะซาวัง เกาะไผ่

6. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม

6.1 ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (1 มิถุนายน ? 30 กันยายน) บริเวณเกาะมุก เกาะกระดาน เกาะเชือก เกาะแหวน

6.2 ปิดการท่องเที่ยวประจำปี (1 กันยายน ? 30 กันยายน) บริเวณถ้ำมรกต


ปิดเนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น

1. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ได้แก่ เกาะทองหลาง, เกาะยักษ์ใหญ่, เกาะกระ และเกาะเทียน (เฉพาะกิจกรรมดำน้ำลึก)

2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ได้แก่ แนวปะการังเกาะเหลาเหลียงเหนือ, เกาะเหลาเหลียงใต้, เกาะเบ็ง (เกาะตะเกียง), เกาะบุโหลนดอน, เกาะบุโหลนเล และเกาะบุโลนไม้ไผ่

3. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ได้แก่ เกาะกระดาน (กิจกรรมดำน้ำตื้นและทางน้ำ)

4. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้แก่ กิจกรรมดำน้ำตื้น เกาะไก่ ด้านทิศเหนือ, เกาะไก่ ด้านทิศตะวันออก, เกาะไก่ ด้านทิศตะวันตก (อ่าวค้างคาว), เกาะปอดะ ทิศเหนือ (หน้ามาตังหมิง), เกาะปอดะ (อ่าวปูหยา), เกาะแดง, อ่างไร่เล (เกาะรังนกหรือเกาะแฮปปี้) และเกาะยาวาซัม และกิจกรรมดำน้ำลึก บริเวณเกาะยาวาซัม

5. อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้แก่ เกาะปลิง


ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat?


https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_4593507

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,521
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


อ้วกวาฬ จาก "ก้อนอึ" สุดล้ำค่าของวาฬหัวทุย สู่ส่วนผสมในน้ำหอม "Chanel No.5"

"อ้วกวาฬ" อึทองคำของวาฬหัวทุย แรร์ไอเทมที่ใครจะซื้อต้องควักเงินเป็นล้าน ทำไมถึงมีราคาแพง และสร้างความฮือฮาทุกครั้งที่มีการค้นพบ



มองเหลี่ยมไหนก็ยังไม่เห็นทางว่า ทั้ง "อ้วก" หรือ "ขี้" จะกลายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าการซื้อขายเป็นร้อยล้านได้ยังไง นอกเสียจาก "อ้วกวาฬ" สมบัติแห่งท้องทะเล ที่ว่ากันว่าใครก็ตามที่เก็บอ้วกวาฬได้เหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง

กรณีล่าสุด น้องทิว วัย 16 ปี อาศัยอยู่ที่ บ้านเลขที่ 235 หมู่ 1 ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล ได้พบอ้วกวาฬที่ริมชายหาด โดยก้อนดังกล่าวมีลักษณะสีเทาดำ มีกลิ่นคาว น้ำหนัก 1.3 กก. โดยทางน้องทิวยืนยันว่าต้องการขายเพื่อนำมาซื้ออุปกรณ์ประมง สปริงชวนทำความรู้จักอ้วกวาฬ


ทำความรู้จัก "อ้วกวาฬ" คืออะไร?

ข้อมูลจาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ระบุไว้ว่า อำพันทะเล หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อ "อ้วกวาฬ" คำถามคือเจ้าก้อนที่เห็นนี้มีที่มาอย่างไร ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วาฬหัวทุยนิยมกิน "ปลาหมึก" เป็นอาหารจานโปรด

แต่เจ้าวาฬไม่สามารถย่อยไขมันของปลาหมึกได้ ทำให้ก้อนไขมันนั้นสะสมอยู่ในลำไส้ กระทั่งร่างกายขับก้อนของเสียนั้นออกมา หากออกทางปากก็เรียกอ้วก หากขับถ่ายออกมาก็เรียกขี้ เมื่อก้อนไขมันถูกกระแสน้ำ พวกสสารอื่น ๆ ก็ย่อยสลายไป เหลือแต่ก้อนไขมันเพียว ๆ เพราะไม่สามารถย่อยสลายได้

อพวช. ระบุว่า ในช่วงแรกกลิ่นของอ้วกวาฬเหม็นชนิดต้องเบือนหน้าหนี แต่ผ่านเวลาไปสักพัก แสงแดดและน้ำทะเลจะทำปฏิกิริยากับอ้วกวาฬ จนกลายสภาพเป็นก้อนสีขาว น้ำตาล เทา หรือสีดำแบบที่เราเห็นกัน


ทำไมถึงหายาก แถมมีราคาแพงมาก?

ปัจจุบัน วาฬหัวทุยจัดอยู่ในสถานะเสี่ยงสูญพันธุ์ แม้จะสามารถพบได้ตามน่านน้ำทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แต่ก็วนเข้าเรื่องเดิมคือถูกล่า ถูกเรือชน จนประชากรร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ ข้อมูลจาก National Wildlife Federation ระบุว่า เหลือวาฬหัวทุยอยู่ประมาณ 3 แสนตัว

อีกหนึ่งเหตุผลคือเป็นวัตถุดิบที่มีดีมานด์สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมน้ำหอม ว่ากันว่าก้อนอำพันให้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างเลเยอร์ให้กับกลิ่นได้ดี

แม้แต่ Chanel No.5 น้ำหอมสุดคลาสสิคก็ยังเลือกใช้อ้วกวาฬเป็นหนึ่งในส่วนผสม ดังนั้น สาวกชาแนลทั้งหลายคุณกำลังฉีดอ้วกวาฬใส่ตัวอยู่นะ แต่ใครแคร์เพราะหอมมาก จริงไหม?

ที่มา: อพวช.

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,521
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


สิ่งแวดล้อม-มลภาวะ ยืนหนึ่ง! คนไทยวิตกมากที่สุด กระทบคุณภาพชีวิตถึง 74%


SHORT CUT

- การสำรวจของมาร์เก็ตบัซซ์ จับมือกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อม และมลภาวะ ครองแชมป์ปัญหาที่คนไทยวิตกกังวลมากที่สุดในปี 2567

- กว่า 74% คิดว่าสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และอีก 37% ยังมีความกังวลอีกว่า สภาพแวดล้อมจะเลวร้ายลงไปอีกในอีก 5 ปีข้างหน้า

- ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ภาวะโลกร้อน (ร้อยละ 30) มลภาวะทางอากาศ (ร้อยละ 27) การเปลี่ยนแปลงของอากาศ/อุณหภูมิ (ร้อยละ 22)




เปิดผลสำรวจ ปี 2567 มาร์เก็ตบัซซ จับมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงกังวลเรื่อง ปัญหาสิ่งแวดล้อม มลภาวะมากที่สุด กระทบคุณภาพชีวิตมากถึง 74% แต้แม้จะเห็นว่าเป็นปัญหา แต่ก็ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม


คนไทยกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด ในปี 2567?

การสำรวจในครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของมาร์เก็ตบัซซ์ กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อม และมลภาวะ ครองแชมป์ปัญหาที่คนไทยวิตกกังวลมากที่สุดในปี 2567

การสำรวจทำนองนี้ถูกทำมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 โดยสอบถามประชาชนไทยเกี่ยวกับ 5 อันดับแรกของความกังวลต่อสาธารณะ

โดยผลการสำรวจล่าสุดในปี 2567 มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 1,000 คน ในเดือนเมษายน 2567 พบว่า สิ่งแวดล้อมยังคงติดอันดับสิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้ตอบแบบสอบถาม

รองลงมาคือเรื่องของค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 28 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งทั้งสองหัวข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุดจากการสำรวจในปี 2566 เช่นกัน

โดยการสำรวจนี้อยู่ในบริบทที่เกี่ยวกับความกังวลหลัก ๆ ของประชาชนที่มีต่อประเทศ ซึ่งรวมถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นของหน่วยงานรัฐ, งานสาธารณสุข, การจราจร, อาชญากรรมและสภาพเศรษฐกิจโดยรวม


สิ่งแวดล้อมกระทบคุณภาพชีวิตคนไทย 74%

จากผลสำรวจปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าความกังวลของคนไทยด้านสิ่งแวดล้อมยังทวีความรุนแรงขึ้น สูงถึงร้อยละ 74 และรู้สึกว่า สิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนร้อยละ 37 ยังมีความกังวลอีกว่า สภาพแวดล้อมจะเลวร้ายลงไปอีกในอีก 5 ปีข้างหน้า


คนไทยเห็นปัญหา แต่ก็ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม!

แม้จะมีความกังวลในเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องค่าครองชีพ แต่กลับพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ซึ่งยังมีช่องว่างให้รณรงค์และส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป

แต่อย่างไรก็ดี การสำรวจในครั้งนี้ได้ลิสต์พฤติกรรมที่คนไทยร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ มี 3 ข้อ ดังนี้

- ไม่สนับสนุนการซื้อขาย/บริโภคสินค้าของป่า ของลักลอบหรือผิดกฎหมาย (ร้อยละ 37)

- การลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (ร้อยละ 34)

- การใช้ถุงและบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (ร้อยละ 33)


มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมาร์เก็ตบัซซ กล่าวว่า "ในบรรดาความกังวลของประชาชนนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม และค่าครองชีพที่สูงขึ้นยังคงเป็นความกังวลหลักของประเทศไทย แม้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมจะครองอันดับหนึ่ง แต่การเลือกใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเพื่อให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้น"


ภาคธุรกิจกระโดดร่วมวงช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ผลการสำรวจยังเผยว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ โดยจะเห็นว่ามีบริษัทหรือองค์กรที่ให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากขึ้น

โดยในปีนี้ มีถึง 4 บริษัทที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระดับเกินกว่า 40% ได้แก่ ทรู, ปตท, ซัมซุง และเอไอเอส

มร.แกรนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ประชาชนคาดหวังให้รัฐบาลมีบทบาทสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนเองก็มีความรับผิดชอบร่วมด้วยเช่นกัน โดยคาดหวังให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ชัดเจนคือ คนไทยต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น"


ผลการสำรวจยังระบุว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลมากที่สุด 3 อันดับแรก

- ภาวะโลกร้อน (ร้อยละ 30)
- มลภาวะทางอากาศ (ร้อยละ 27)
- การเปลี่ยนแปลงของอากาศ/อุณหภูมิ (ร้อยละ 22)


สำหรับสาเหตุของปัญหามลภาวะทางอากาศ คนไทยมีความเห็นที่หลากหลาย โดยสาเหตุ 5 อันดับแรก ได้แก่ ควันจากท่อไอเสียในการใช้รถยนต์ (ร้อยละ 30) การเผาขยะหรือผลิตผลทางการเกษตร (ร้อยละ 26) การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมหรือพลาสติก (ร้อยละ 23) สารเคมีที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมถึงฝุ่น ควันต่างๆ (ร้อยละ 22) และการเผาไหม้เชื้อเพลิง จากถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ (ร้อยละ 21)

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนไทยตระหนักถึงภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมลภาวะต่อชีวิตที่พวกเรากำลังเผชิญมากขึ้น แม้ว่าต้องเผชิญกับความท้าทายอื่นๆ อีกมากมายก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ของวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจ ความท้าทายต่างๆ ผ่านสาขาวิชาที่หลากหลายและมุ่งเน้นให้ความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนให้กับนักศึกษา ซึ่งจะเป็นผู้นำในอนาคตของประเทศไทย ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการรณรงค์และผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน?

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีความตระหนักสูง แต่ยังคงมีช่องว่างระหว่างความตระหนักกับการลงมือปฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องแก้ไข

"เราควรพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมให้บุคคลและองค์กรต่างๆ เลือกทางเลือกที่ยั่งยืนได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับนโยบายของภาครัฐ"

"ดังนั้น ไม่สายเกินไปที่เราจะมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้ เราทุกคนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ต่างฝ่ายควรทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม"


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/850550

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:14


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger