![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ สัญญาณเตือนต้องแก้โลกร้อนอย่างจริงจัง คุณตา-คุณยายได้รับความช่วยระหว่างเกดอุทกภัยในฟิลิปปินส์ ผู้เชี่ยวชาญชี้น้ำท่วมครั้งใหญ่ใน ฟิลิปปินส์เป็นสัญญาณบ่งชี้ต้องแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง เตือนหลายล้านชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ด้านองค์กรการกุศลอังกฤษระบุอีก 6 ปีข้างหน้าประชากรโลก 54% จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ชาวฟิลิปปินส์จะคุ้นเคยกับพายุไต้ฝุ่น ซึ่งกระหน่ำลงมาทุกปีราวๆ ลูกอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ “มหาอุทกภัย” จากพายุ “กิสนา” (Ketsana) ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการราว 240 คนนั้น กลับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงผิดปกติสำหรับผู้คนในท้องที่นั้น ซึ่งเอเอฟพีระบุว่า ปริมาณฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง 9 ชั่วโมงในกรุงมนิลานั้น มากกว่าปริมาณฝนจากเฮอร์ริเคนแคทรินา (Hurricane Katrina) ที่ถล่มนิวออร์ลีนส์ของสหรัฐฯ เสียอีก แอนโธนี กอเลซ (Anthony Golez) หัวหน้าหน่วยป้องกันภัยพลเรือนของฟิลิปปินส์ และพริสโก นิโล (Prisco Nilo) หัวหน้าหน่วยพยากรณ์สภาพอากาศของฟิลิปปินส์ ต่างพิศวงต่อการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดของไต้ฝุ่นซึ่งถล่มประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กอเลซระบุว่า ในเดือน เม.ย.ซึ่งควรจะเป็นฤดูร้อนสำหรับฟิลิปปินส์ แต่กลับมีพายุไต้ฝุ่นถึง 3 ลูกพัดถล่มประเทศ โดยหนึ่งในนั้นกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินถล่มซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 250 คนทางตอนใต้ของเมืองหลวง และพายุไต้ฝุ่นในช่วงเดือน มิ.ย.ยังมีเส้นทางที่เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติ โดยเคลื่อนตัวผ่านทางตอนเหนือและส่วนกลางของเกาะลูซอน (Luzon) เป็นครั้งแรก และสำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิต ผู้คนกว่า 12 ล้านคน ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมาก่อน ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากต่อแถวรับความช่วยเหลือ “เมื่อ คุณลองสังเกตข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คุณจะเห็นว่าปีนี้และปีที่ผ่านมาเป็นปีที่แปลกประหลาดมาก และเราก็ทำได้เพียงสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศเท่านั้น” กอเลซกล่าว “เรา ไม่อาจกล่าวโทษเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นเพราะฝน เราทราบว่านี่เป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องโต้เถียงกันเรื่องนี้อีก นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจำเป็นต้องเตรียมตัว นี่เป็นเพียงประสบการณ์แรกของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมตัวมากกว่านี้ และเราต้องแก้ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” มาร์ก เดีย (Mark Dia) นักรณรงค์ของกรีนพีซให้ความเห็นผ่านสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่น ทางด้าน อีโว เดอ โบร์ (Yvo De Boer) ประธาน สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาว่าด้วยโลกร้อน ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ กล่าวว่า น้ำท่วมในฟิลิปปินส์นั้นเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นที่โลกต้องตกลงสัญญาในการ จัดการปัญหาโลกร้อนก่อนเส้นตายในเดือน ธ.ค.นี้ ภายในการเจรจาที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก โบร์กล่าวว่าข้อตกลงร่วมกันระดับโลกนี้จะรับประกันว่า ความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้วอย่างที่เกิดขึ้นนี้จะลดลง ตามผลของนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการปฏิบัติอย่าง จริงจัง ทั้งนี้ผู้ร่วมเจรจาในเวทีของสหประชาชาติพยายามนำร่างหนังสือในสองประเด็น หลักๆ ที่ยังตกลงกันไม่ได้คือ เรื่องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเรื่องความร่วมมือทางด้านการเงินขึ้น มาพิจารณา เพื่อหาข้อสรุปสำหรับการประชุมที่โคเปนเฮเกน ขณะที่ จอส เบอร์เซลส์ (Jose Bersales,) นักมนุษยธรรมและผู้อำนวยการกิจการฉุกเฉินขององค์กรการกุศล “เวิร์ลวิชัน” (World Vision) เตือนว่าพายุที่ฟิลิปปินส์เหมือนกับหายนะของผู้ที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งมักไม่ได้เตรียมการเพื่อรับมือกับพายุ และยังเป็นเสียงปลุกให้โลกเตรียมตัวในการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศที่โคเปนเฮเกนในปลายปีนี้ ผู้ประสบอุทกภัยในฟิลิปปินส์กำลังเก็บกวาดบ้านเรือน หลังน้ำลด (ภาพทั้งหมดจากเอเอฟพี) ทางเวิร์ลวิชันยังกล่าวถึงคำพยากรณ์ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศหรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนจะมีความรุนแรงขึ้น มีกระแสลมรุนแรงขึ้นและมีพายุฝนหนักขึ้นด้วย ซึ่งภัยพิบัติในฟิลิปปินส์ครั้งนี้เป็นเหมือนหายนะทำลายล้างสำหรับประชากร ของประเทศ 43% หรือ 36 ล้านคน ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 ดอลลาร์ และมีหมอ 1 คนที่ต้องดูแลผู้ป่วย 1,700 คน ซึ่งคนจำนวนนี้ต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อรับมือกับพายุอันเลวร้าย นอกจากนี้งานวิจัยขององค์กรการกุศลออกซ์แฟม (Oxfam) ของอังกฤษยังระบุด้วยว่า ในอีก 6 ปีข้างหน้าจะมีประชากรโลก 54% หรือ 375 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 กันยายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ภาวะโลกร้อน...หนุนพายุเขตร้อนแรงและถี่ ![]() ส่งผลคนจนเอเชียขาดแคลนอาหาร อิทธิพลของไต้ฝุ่น “กิสนา” ที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ฟิลิป ปินส์กลายเป็นเมืองบาดาลโดยฉับพลันมีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คน ก่อนที่จะเคลื่อนตัวมาที่เวียดนามซึ่งคร่าชีวิตผู้คนนับ 100 และลาวนับเป็นเรื่องโชคดีว่าก่อนจะเข้าประเทศไทย กิสนาแปรสภาพเป็นพายุดีเปรสชันไปแล้ว คนไทยได้รับผลกระทบน้อยลงไป ยังไม่ถึงขั้นต้องเสียชีวิต เพียงแต่ทำให้บ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคเสียหาย แต่ยังไม่ทันที่จะแก้ไขความเสียหายและเยียวยาจิตใจของผู้คน ล่าสุดทางการฟิลิปปินส์ออกประกาศเตือนในวันศุกร์ที่ผ่านมาให้เตรียมรับมือ กับพายุไต้ฝุ่นลูกใหม่ “ป้าหม่า” คาดว่าก่อให้เกิดปริมาณฝนตกน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับพายุไต้ฝุ่น “กิสนา” นอกจากนี้ในบ้านเรามีคำเตือนให้ระวังพายุฝนจากมหาสมุทรอิน เดียอ่าวเบงกอล จะเป็นพายุไซ โคลน ซึ่งจะพัดเข้าทางภาคใต้ของไทย บริเวณสตูล ภูเก็ต พังงา ระนอง ในระยะ 2-3 วันนี้ จะว่าไปปรากฏการณ์ของพายุต่าง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติของฤดูฝนในประเทศที่อยู่แนวเส้นศูนย์สูตร เรียกว่าพายุหมุนเขตร้อน เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่แถวฟิลิป ปินส์ ที่มีระดับอ่อนสุดคือดีเปรสชันไปจนถึงไต้ฝุ่น กล่าวคือ ความแรงลมความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางจะก่อให้เกิดดีเปรสชันมีค่าไม่เกิน 33 นอตต่อชั่วโมง พายุโซนร้อนความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าระหว่าง 34-63 นอตต่อชั่วโมง และกลายมาเป็นพายุไต้ฝุ่นอยู่ที่ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางมีค่าตั้งแต่ 64 นอตขึ้นไป อย่างไรก็ตาม มีการกำหนดว่าพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก และมีความแรงของลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุมากกว่า 33 นอต จะเริ่มเรียกชื่อพายุ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาโลก ได้จัดรายชื่อเรียกพายุหมุนเขตร้อน ซึ่งเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกไว้เป็นสากล ตามลำดับเพื่อง่ายในการเก็บบันทึก ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเกิดขึ้นของพายุในมหาสมุทรแปซิฟิก ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติปกติ เป็นพายุตามฤดูกาลของช่วงปลายฤดูฝน แต่นับจากนี้ไปพายุดังกล่าวจะมีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้น อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ถึงเวลาที่ประเทศในแถบภูมิภาคนี้ต้องเตรียมรับมือและป้องกัน ต้องติดตั้งสัญญาณเตือนให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง แต่ที่ผ่านมาแนวทางการเตรียมรับมือในบ้านเราทำกันเป็นฤดูกาลเหมือนกับปัญหา หมอกควันที่จะออกมาแก้ปัญหาในช่วงเกิดเหตุ 1-2 เดือนแล้วหายไป “ภาวะโลกร้อนทำให้อากาศแปรปรวนเกิดพายุดีเปรสชันไต้ฝุ่นในหลายประเทศเตรียม รับมือแล้ว ในบังกลาเทศมีการฝึกเด็กเป็นแสนคนให้ว่ายน้ำ หากเกิดน้ำท่วมประชากรในประเทศจะได้รอดตาย” อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยา กรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวอีกว่าในกลุ่มประเทศที่เป็นหมู่เกาะอย่างมัลดีฟส์ และฟิจิมีแผนที่จะรับมือกับการเกิดน้ำท่วมแผ่นดินหายด้วยการระดมนักวิชาการ จากทั่วโลกไปร่วมวางแผน รวมทั้งได้เชิญตนในฐานะคนไทยไปร่วมวางแผนป้องกันน้ำท่วมแผ่นดินหายอันเกิด จากภาวะโลกร้อนแล้ว ระหว่างเกิดพายุกิสนาในฟิลิปินส์ ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ซึ่งมีสำนักงานในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ได้เปิดเผยผลการศึกษา เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นรากฐานของภัยคุกคามต่อความมั่นคงทาง ด้านอาหารและพลังงานของเอเชีย” จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในเอเซีย จะมีผลกระทบต่อประเทศที่ยากจนในภูมิภาค โดยเฉพาะสตรีที่อยู่ในชนบทของประเทศกำลังพัฒนา จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากต้องพึ่งพาพืชผลเพื่อการยังชีพ การเข้าถึงทรัพยากรมีอย่างจำกัด และการขาดซึ่งอำนาจในการตัดสินใจ และมีแนวโน้มว่ากลุ่มประชากรเหล่านี้จะอพยพโยกย้าย เพื่อหาความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน นางเออซูลา พรูส รองประธานเอดีบี กล่าวว่า ความั่นคงทางอาหารและพลังงานของทุกประเทศในเอเชียถูกคุกคามโดยการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศ มากกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมดในเอเชียมีชีวิตความเป็นอยู่ต่ำกว่าเส้นความ ยากจนที่ 2 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และประชากรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่อาศัยฝนในการทำเกษตร และอาศัยในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภูมิอากาศที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ประชากรในเอเชีย 2.2 พันล้านคน พึ่งพาเกษตรกรรมในการหาเลี้ยงชีพ ปัจจุบันมีผลผลิตตกต่ำลง อันมีสาเหตุมาจากน้ำท่วม ความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล นอกจากนี้จากการวิจัยด้านพลังงาน พบว่าการเข้าถึงพลังงานที่สามารถซื้อได้อยู่ในภาวะเสี่ยงมากขึ้น การผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างกว้างขวางในภูมิภาคจะช่วยลด ความเสี่ยงลงได้ หากมีนโยบายทางการเงินต่าง ๆ ที่จะมาเร่งให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น พลังงานและแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก สำหรับคนยากจน ความรุนแรงของพายุตามฤดูกาลที่ถี่และแรงขึ้น นำมาซึ่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในเอเชียในระยะยาว จนยากจะแก้ไขแน่นอนในอนาคต. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 4 ตุลาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ชี้โลกร้อนคุกคามคนลุ่มน้ำโขง กองทุนสัตว์ป่าโลก (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) เผยแพร่รายงานขนานการประชุมองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศโลก 2009 ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ ระบุการเปลี่ยนรูปแบบของสภาพอากาศและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงแล้ว ขณะปัญหาโลกร้อนยังคุกคามชีวิตคนอีกหลายล้านในภูมิภาคนี้ รายงานขององค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งนี้ชี้ว่า อุทกภัยรุนแรงและภัยแล้ง, การกัดเซาะชายฝั่ง, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคลื่นความร้อน ที่จะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้านี้ ส่งผลกระทบถึงผลผลิตข้าว, ผลไม้และกาแฟ และการทำประมง ซึ่งเป็นปัจจัยเลี้ยงชีวิตของผู้คนจำนวนมากในกลุ่มประชากรลุ่มแม่น้ำโขง 65 ล้านคน "ทั่วทั้งภูมิภาคนี้อุณหภูมิกำลังเพิ่มขึ้น และได้เพิ่มขึ้นแล้ว 0.5-1.5 องศาเซลเซียสในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา" ข่าวรอยเตอร์อ้างข้อความในรายงาน ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ กล่าวว่า ในขณะที่หลายพื้นที่ของภูมิภาคนี้จะมีฤดูฝนที่สั้นลง แต่คาดว่าปริมาณน้ำฝนโดยรวมกลับจะเพิ่มขึ้น หมายความว่าฝนที่ตกก็จะมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะคุกคามต่อผลผลิตทางการเกษตร และทำใหิเกิดน้ำท่วมและดินถล่มตามมา พื้นที่ลุ่มน้ำโขงที่รายงานนี้กล่าวถึงนั้น นับรวมตั้งแต่ที่ราบสูงทิเบตในจีนลงมายังพม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม จากนั้นได้ไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เป็นแหล่งปลูกข้าวราวครึ่งหนึ่งของเวียดนาม และเป็นแหล่งผลิตกุ้งประมาณ 60% แต่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและน้ำเค็มหนุน ได้กระทบต่อปริมาณผลผลิตและอาจทำให้เกษตรกรไร้ที่ทำกิน ประชากรจำนวนมากอาศัยในที่ลุ่มต่ำ ตามแนวชายฝั่งและในพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง เช่นในนครโฮจิมินห์ซิตี, ฮานอย และกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้ภูมิภาคเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่ออุทกภัย, การรุกล้ำปนเปื้อนของน้ำเค็ม และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น รายงานกล่าวด้วยว่า ภัยแล้งและอุทกภัยที่เกิดถี่ขึ้นจะสร้างความเสียหาย ขนานใหญ่ต่อชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ ในช่วงฤดูแล้งจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำหนักหน่วงขึ้นด้วย "อุณหภูมิสูงขึ้นได้ทำให้พื้นที่เพาะปลูกลดขนาดลง ขณะที่พายุ, น้ำท่วม และภัยแล้ง กำลังทำลายผลผลิตทั่วทั้งลุ่มน้ำโขง การขาดแคลนน้ำจะจำกัดการผลิตภาคเกษตร และคุกคามต่อความมั่นคงด้านอาหารด้วย" รายงานนี้เสริม บรรดาผู้แทนจากประมาณ 180 ประเทศ กำลังประชุมกันที่สำนักงานยูเอ็นในกรุงเทพฯ เพื่อพยายามหาความตกลงร่วมกัน ในการขยับขยายความร่วมมือต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อน โดยพวกเจ้าหน้าที่กำลังพยายามนิยามเนื้อหาที่จะใช้เป็นพื้นฐานของการทำสนธิ สัญญาว่าด้วยโลกร้อนฉบับใหม่ ที่ยูเอ็นหวังว่าจะสามารถหาความเห็นพ้องต้องกันได้ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ประเด็นหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงฉบับใหม่นี้ คือการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ยากจน ในการปรับตัวเข้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่ด้านนอกศูนย์การประชุมของยูเอ็น มีชาวนาไทย, เกษตรกร, ชาวประมง และชนพื้นเมืองจากหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และเนปาล รวมประมาณ 2,000 คน มาชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยทุ่มเทมากขึ้นในการจำกัดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก "เรามาที่นี่เพื่อถ่ายทอดเสียงของชาวนาต่อยูเอ็น" ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรจากอินโดนีเซียตะโกนอยู่ด้านนอกศูนย์ประชุม ประเทศกำลังพัฒนากล่าวโทษชาติร่ำรวยว่า ไม่ยอมริเริ่มด้วยการทำข้อตกลงลดระดับการปล่อยก๊าซให้หนักหน่วงกว่านี้ และต้องการให้ประเทศร่ำรวยรับปากทุ่มเงินนับพันล้านดอลลาร์ช่วยชาติยากจน ให้ปรับตัวรับผลกระทบและสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม. จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 6 ตุลาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
อาเซียนกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ![]() “ โลกของเราขณะนี้ร้อนขึ้นกว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ศตวรรษที่ 19 เป็นศตวรรษที่ร้อนที่สุดในรอบพันปี ทศวรรษที่ 1990 เป็นห้วงเวลาที่ร้อนที่สุดของโลก ปีที่ร้อนที่สุดทั้ง 7 ปี ล้วนเกิดขึ้นในทศวรรษนี้ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงช่วงสิ้นทศวรรษที่ 21 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าช่วงใดๆ ในรอบ 2 ล้านปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนส่งแรงสะเทือนไปทั่วทุกทวีป ตั้งแต่หลังคาโลกยันใต้ถุนโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การละลายของธารน้ำแข็ง อุทกภัยครั้งใหญ่ ผลผลิตทางการเกษตรที่ลดต่ำลง และการเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงจนมิอาจควบคุมได้ หากเราไม่หยุดยั้งภาวะโลกร้อนตั้งแต่ตอนนี้.... ” หลายฝ่ายออกมาเคลี่อนไหวเพื่อให้เกิดการป้องกันและแก้ไขญหาโลกร้อน โดยตระหนักถึงความเฉียบพลันของผลกระทบที่อาจเกิดอย่างรุนแรงไม่วันใดวัน หนึ่งในไม่ช้า ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องขาดความร่วมมือและรับผิดชอบร่วมกัน เช่นในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 15 ที่ผ่านมาที่ชะอำ-หัวหิน กลุ่มกรีนพีชที่ได้เคลื่อนไหวรณรงค์ โดยกลิ้งลูกโลกยักษ์ 2 ลูก พร้อมกับชูป้ายข้อความ “Asean : U turn the Earth หรือ อาเซียนสามารถยูเทิร์นโลกได้” จากบริเวณหน้าโรงแรมเชอราตัน ซึ่งเป็นศูนย์ข่าวอาเซียน ตรงไปยังโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา และเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ที่ส่งสัญญาณให้ผู้นำ 10 ประเทศอาเซียน เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยนายธารา บัวคำศรี ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็น ว่า อาเซียนได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสมาแล้ว จากเหตุการณ์พายุกิสนาที่ถล่มประเทศฟิลิปปินส์ แต่อาเซียนกลับเพิกเฉยต่อสัญญาณภัยครั้งนี้ จึงขอเรียกร้องให้ผู้นำ 10 ประเทศอาเซียนรวมตัวกันเพื่อปกป้องและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งยุติการทำลายป่าไม้และลดการผลิตสารคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละประเทศ “เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่ผู้นำอาเซียนจะผนึก กำลังร่วมกัน เพื่อสนับสนุนให้เกิดข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความเข้ม แข็งในการประชุมสุดยอดที่โคเปนเฮเกนในเดือนธันวาคมนี้ การผนึกกำลังนี้ เป็นสัญญาณของการมีส่วนสำคัญต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่จำเป็น การประกาศยุติการทำลายป่าไม้โดยสิ้นเชิงและให้ความสำคัญเร่งด่วนต่อทางเลือก จะนำพาสังคมของเราออกไปจากกับดักของระบบเศรษฐกิจที่มีฐานอยู่บนเชื้อเพลิง ฟอสซิลและการปล่อยคาร์บอนอย่างมหาศาล” แต่เมื่อถามถึงจุดยืนของอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น นายธาราเห็นว่า เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ยังเป็นเรื่องทั่วๆ ไป และขาดแผนปฎิบัติการที่ชัดเจน ดังนั้น ในการประชุมสุดยอดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเดือนธันวาคมนี้ จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกในการเดินให้พ้นจากขอบเหวของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นอันตราย ทั้งนี้ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่าง น้ำมัน ถ่านหินและก๊าซ ล้วนเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ การทำลายป่าเขตร้อน ยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาถึงร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าการปล่อยก๊าซจากรถไฟ เครื่องบินและรถยนต์ของโลกรวมกันทั้งหมด สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มกรีนพีซ มี 3 เรื่อง คือ 1)ขอให้ผู้นำอาเซียนผนึกกำลังกดดันให้ผู้นำของประเทศอุตสาหกรรมทั่วโลก ยอมรับข้อตกลงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาล 2) ผู้นำอาเซียนสนับสนุนให้เกิดข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เข้ม แข็ง ในการประชุมสุดยอด ที่กรุงโฮเปนเฮเกน ในเดือนธันวาคมนี้ 3)ร่างคำแถลงการณ์ร่วม ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 15 และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 5 ต้องนำไปสู่แผนปฏิบัติได้จริง และยกให้แผนการรับมือสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเป็นวาระเร่งด่วนของอา เซียน และเมื่อประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 สิ้นสุดลง ผลลัพธ์ของการประชุมครั้งนี้ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาโลกร้อน/การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ เกาหลีใต้ (ประเทศคู่เจรจา)จะให้การสนับสนุนทางการเงิน จำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้ข้อริเริ่มว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนของเอเชียตะวันออกเพื่อแก้ไขปัญหา โลกร้อน (East Asia Climate Partnership Initiative) ขณะที่การจัดการกับปัญหาภัยพิบัตินั้น ญี่ปุ่น(ประเทศคู่เจรจา) ก็ประกาศให้เงินสมทบเพิ่มเติมจำนวน 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่กองทุนอาเซียน-ญี่ปุ่นว่าด้วยการบูรณาการ (Japan-ASEAN Integration Fund) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน นอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมา สิ่งที่กรีนพีซ คาดหวังก็คือ ความสนใจที่มีร่วมกันของอาเซียนในการปกป้องป่าไม้และการเปลี่ยนเปลงสภาพภูมิ อากาศในภูมิภาค จะทำให้อาเซียนสนับสนุนข้อเรียกร้องของกรีนพีซในการที่จะจัดสรรงบประมาณ ประจำปี อย่างน้อย 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2563 เพื่อยุติการทำลายป่าในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งถือเป็นการลงมือปฎิบัติอย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศและให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 30 ตุลาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
หวั่นแผ่นน้ำแข็งทุนดราละลายหมด ปลดปล่อยมีเทนมหาศาลทำโลกเปลี่ยนฉับพลัน "ดร.อานนท์" เผยสถานการณ์ที่ต้องจับตาในเขตทุ่งหญ้าทุนดรา หวั่นน้ำแข็งใต้ผืนดินละลายหมด ปลดปล่อยมีเทนมหาศาลสู่บรรยากาศ ทำภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงอย่างฉับพลัน อุณหภูมิสูงขึ้นได้ 10-20% ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไม่ถึง 1 องศาเซลเซียส ผศ.ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ความเห็นกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยนั้น ยังไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมยกตัวอย่างการใส่สูทในห้องประชุม แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศ พร้อมทั้งเผยถึงการทำงานกับชุมชนเพื่อการปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ โดยได้ไปให้ความรู้แก่ชุมชนเล็กๆ ในจังหวัดร้อยเอ็ด กระบี่ แม่ฮ่องสอน "อย่าง จ.กระบี่ ก็มีความต้องการที่อยากจะปลูกข้าว แต่คงวิถีชีวิตมุสลิม และการใช้ชีวิตชายฝั่ง เราก็ไปดูว่าจะทำอย่างไรให้เขาอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง แนะวิธีปลูกข้าวอินทรีย์ หรือการทำให้เขาได้มีน้ำจืดใช้ เป็นการลงไปจัดการในภาพเล็ก แต่ในบางอย่างเราต้องเอาภาพใหญ่ลงไปภาพเล็กให้ได้ เช่น ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นจะมีปริมาณน้ำฝนเท่าไหร่ มีภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง จริงๆ ชุมชนในอดีตก็มีวิถีชีวิตที่พัฒนาให้สอดคล้องกับภูมิอากาศ แต่ช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมามีกระแสจากภายนอกที่เข้าไปทำให้เกิดการเปลี่ยน และการเปลี่ยนกลับมาให้เหมือนเดิมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย" ผศ.ดร.อานนท์กล่าว พร้อมกันนี้ ผศ.ดร.อานนท์ยังได้ให้ข้อมูลระหว่างเสวนา "วิกฤติโลก เมื่อขั้วโลกเหนือไม่เหลือน้ำแข็ง" เมื่อวันที่ 29 ต.ค.52 ณ อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (โยธี) ว่า มีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังจับตาและเป็นกังวล นั่นคือแผ่นน้ำแข็งถาวร (permafrost) ในเขตทุ่งหญ้าทุนดราของแถบอาร์กติก ซึ่งเป็นน้ำแข็งอยู่ใต้ดิน ที่ช่วยกักเก็บก๊าซมีเทนจากการเน่าเปื่อยของซากสิ่งมีชีวิตในอดีตนั้น จะละลายและปลดปล่อยก๊าซมีเทนออก โดยก๊าซมีเทนมีความสามารถในการกักเก็บความร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ถึง 21 เท่า ปัจจุบันมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า แผ่นน้ำแข็งดังกล่าวเริ่มละลายแล้ว และมีก๊าซมีเทนอยู่ใต้ดินจริง หากก๊าซมีเทนทั้งหมดหลุดออกมา จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยอุณหภูมิโลกอาจเพิ่มได้ถึง 10-20% อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าฉับพลัน ขณะที่ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% จึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตา แต่การเข้าไปก็บข้อมูลในเขตทุ่งหญ้าทุนดรานั้นทำได้ยาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่มีคนอาศัย และเข้าไปศึกษาได้ในช่วงฤดูร้อนเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น "เดิมที่ทุ่งหญ้าทุนดรามีชั้นน้ำแข็งถาวรเป็นพื้นที่ 12 ล้านตารางเมตร แต่ตั้งแต่ปี 1900 มา พื้นที่น้ำแข็งหายไปแล้วเกือบ 20% เหลือเพียง 10 ล้านตารางเมตร และอีก 100 ปีข้างหน้า ถ้ามองโลกในแง่ร้าย มนุษยชาติไม่สามารถตกลงที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหากันได้ น้ำแข็งถาวรจะแทบไม่เหลือเลย แต่มองโลกในแง่ดีหน่อย น้ำแข็งถาวรก็ยังคงอยู่ แต่เหลือเพียง 5 ล้านตารางเมตร" ผศ.ดร.อานนท์กล่าว ส่วนความกังวลว่า น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายหมดไปนั้น ผศ.ดร.อานนท์กล่าวว่าแนวโน้มของน้ำแข็งขั้วโลกจะลดลงจนหายไปในช่วงฤดูร้อน ของซีกโลกประมาณเดือน ก.ย. แต่เมื่อถึงฤดูหนาวน้ำแข็งก็จะกลับมาใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใน แถบอาร์กติกอย่างแน่นอน อีกทั้งน้ำแข็งถาวรหรือน้ำแข็งที่มีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไปของขั้วโลกเหนือก็มีปริมาณลดลงอย่างชัดเจนด้วย จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
โลกร้อนทำพิษ ก้อนน้ำแข็งนับร้อยลอยเข้าแดนกีวี ![]() ผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็งของออสเตรเลีย ระบุ จนท.พบก้อนน้ำแข็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 200 เมตร จำนวน 100-200 ก้อน ลอยมุ่งหน้าสู่พื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้ ของนิวซีแลนด์.. เหตุภัย ธรรมชาติผลพวงจากภาวะโลกร้อนนับวันยิ่งทวีความรุนแรง สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 23 พ.ย. อ้างการเปิดเผยของผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็งของออสเตรเลีย ระบุเจ้าหน้าที่พบก้อนน้ำแข็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 200 เมตร จำนวน 100-200 ก้อน ลอยมุ่งหน้าสู่พื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้ ของนิวซีแลนด์ เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียกล่าวว่า กลุ่มก้อนน้ำแข็งชุดนี้แตกตัวออกจากก้อนน้ำแข็งขนาดประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร ที่แตกออกมาจากน้ำแข็งขั้วโลกใต้ อีกที ซึ่งสาเหตุมาจากอากาศและน้ำทะเลในบริเวณขั้วโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจาก ภาวะโลกร้อน นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ปี 2549 แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางการนิวซีแลนด์ได้ประกาศเตือนภัยไปยังผู้ที่ต้องการเดินเรือผ่านบริเวณ ทะเลดังกล่าวให้ใช้ความระมัดระวัง ด้านกองทุนสัตว์ป่าโลก หรือดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ รายงานผลการศึกษาระบุว่าหากปัญหาโลกร้อนยังไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว จะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 0.5 ถึง 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2593 ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 0.5 เมตร สร้างความเสียหายแก่เมืองท่าเรือสำคัญกว่า 136 แห่งทั่วโลก คิดเป็นมูลค่ากว่า 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 924 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานถึงความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในรัฐกลันตันและ ตรังกานูของมาเลเซีย ระบุชาวบ้านกว่า 12,000 รายต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย หลังเกิดน้ำท่วมเนื่อง จากฝนตกหนักระลอกสอง ถนนหลายสายถูกตัดขาด บางพื้นที่เกิดเหตุดินถล่ม แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภัยขั้นสูงสุด ให้ประชาชนเตรียมรับมือกับพายุที่กำลังก่อตัวในทะเลจีนใต้ และอาจพัดเข้าชายฝั่งตะวันออกในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์กว่า 2,000 คน จาก 80 ประเทศ ที่ร่วมกันวิจัยสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกมาเป็นเวลากว่า 10 ปี เปิดเผยงานวิจัยไขความลับก้นมหาสมุทร ลบล้างความเชื่อว่าก้นทะเลมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้อย โดยระบุว่าค้นพบสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ใต้ ทะเลลึก 200-5,000 เมตร ที่แสงแดดส่องไม่ถึงเป็นจำนวนกว่า 17,650 สายพันธุ์ อนึ่ง รายงานวิจัยฉบับเต็มนี้จะถูกเปิดเผยแก่สาธารณชนใน 4 ต.ค. 2553 จาก : ไทยรัฐ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกละลาย อีกสัญญาณภาวะโลกร้อน-นักวิทย์ฯอึ้ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของสหรัฐพบว่า แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันออกละลายเร็วมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สร้างความแปลกใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่คิดว่าแผ่นน้ำแข็งขนาดยักษ์นี้จะ ละลายเร็วเหมือนแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกที่มีขนาดเล็กกว่า ออสติน (เอเอฟพี/รอยเตอร์ส) - วารสารเนเจอร์จีโอไซเอินซ์ ตีพิมพ์รายงานของศูนย์วิจัยอวกาศ มหาวิทยาลัยเท็กซัส ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากโครงการค้นหาแรงโน้มถ่วงและทดลองสภาพอากาศหรือ grace ของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซา) ดาวเทียมคู่แฝดของโครงการนี้เคยพบว่า แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกและแผ่นน้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์กำลังละลายอย่าง รวดเร็ว หากสองแผ่นนี้ละลายหมดจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีก 6-7 เมตร แต่หากแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันออกละลายหมดจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 50-60 เมตร นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่คิดว่าแผ่นน้ำแข็งนี้จะละลายเพราะอยู่ในบริเวณที่ อากาศเย็นจัด ภาพถ่ายดาวเทียมชี้ว่า ช่วงปี 2545-2549 แผ่นน้ำแข็งนี้อยู่ในสภาพเดิม แต่หลังจากปี 2549 เป็นต้นมาละลายมากถึงปีละ 57,000 ล้านตัน ขณะที่แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกและแผ่นน้ำแข็งเกาะกรีนแลนด์ละลายปีละ 132,000 ล้านตัน และ 273,000 ล้านตันตามลำดับ ด้าน ดร.ริชาร์ด อัลลี นักธรณีวิทยาน้ำแข็งและธารน้ำแข็งชั้นนำของโลกเตือนว่า การอ่านข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมต้องรอบคอบ มีความเสี่ยงพลาดได้ เพราะทวีปแอนตาร์กติกามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว แผ่นน้ำแข็งหนาขึ้นมากในยุคน้ำแข็งล่าสุดเมื่อ 20,000 ปีก่อน และเมื่อแผ่นน้ำแข็งละลายแรงกดต่อหินใต้น้ำลดลงทำให้หินถูกดันสูงขึ้น ขณะที่รายงานของกองทุนสัตว์ป่าโลก หรือดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัทประกันภัยอลิอันซ์ของเยอรมนีระบุว่า หากอุณหภูมิในปัจจุบันจนถึงปี 2593 เพิ่มขึ้นระหว่าง 0.5 - 2 องศาเซลเซียส จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นราวครึ่งเมตร และจะทำให้เมืองท่าขนาดใหญ่กว่า 136 เมืองทั่วโลก ได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 930 ล้านล้านบาท) และหากนโยบายการปกป้องสภาพอากาศในปัจจุบันไม่ได้รับการแก้ไข มีความเป็นไปได้ที่อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสในปี 2593 นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ว่า ระดับน้ำทะเลนอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ อาจเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 15 เซนติเมตร จาก : แนวหน้า วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 24-11-2009 เมื่อ 10:10 |
|
#8
|
||||
|
||||
|
รู้จริงกับภาวะโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นเชิงลึกอย่างไรในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ By โดย คลอเดีย คอร์นวอลล์ ............................................................................................................. โลกของเราร้อนขึ้นจริงหรือ มนุษย์เป็นต้นเหตุใช่ไหม คำถามจากนักวิชาการซึ่งซุ่มเงียบนี้แพร่ออกไปสู่หนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือ และบล็อกต่างๆจนเป็นประเด็นร้อน แต่หากพิจารณาให้รอบคอบ จริงๆแล้ว นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นว่าอย่างไร รีดเดอร์ส ไดเจสท์จึงตัดสินใจหาคำตอบ หลายรายงานสรุปว่าร้อนขึ้นจริง ตั้งแต่ปี 2393 เป็นต้นมา เกิดปีที่ร้อนที่สุด 11 ครั้งในช่วงปี 2538 ถึง 2549 เมื่อปีก่อน คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ของสหประชาชาติ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2550 ร่วมกับอัล กอร์ รายงานว่า โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าเมื่อปี 2393 ประมาณ 0.75 องศา แม้ตัวเลขจะดูไม่มาก แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้สภาพภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างใหญ่หลวง โลกในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายมีอากาศเย็นกว่าปัจจุบันประมาณห้าองศาเท่านั้น เนื่องจากอากาศอบอุ่นขึ้น สัตว์และพืชจึงขยายเขตการกระจายพันธุ์ไปสู่ขั้วโลกเพื่อค้นหาถิ่นอาศัยที่เย็นกว่า ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 นักวิจัยชาวอังกฤษพบปลาเขตร้อนที่ไม่เคยพบมาก่อนในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เมื่อปี 2544 ชาวประมงจับปลาสากได้ในบริเวณนอกชายฝั่งคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งอยู่ไกลกว่าเขตการกระจายพันธุ์ปกติของปลาชนิดนี้มาก ในปี 2548 องค์การศึกษาธารน้ำแข็งโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่ซูริกในสวิตเซอร์แลนด์แถลงว่า ธารน้ำแข็งในยุโรปลดปริมาตรลงครึ่งหนึ่งจากที่เคยมีเมื่อปี 2393 เดือนมีนาคม 2550 นักวิจัยชาวรัสเซียรายงานการพบชั้นดินเยือกแข็งที่ไม่คงตัวในแถบไบคาล มองโกเลีย และจีน ในเดือนตุลาคม 2550 นักวิจัยชาวอังกฤษแสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นเป็นสาเหตุให้โลกมีความชื้นเพิ่มขึ้นร้อยละ2.2 ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โลกเคยร้อนเท่านี้ไหม เคย แถมยังร้อนกว่านี้ด้วย เมื่อ 450,000 ถึง 800,000 ปีก่อน กรีนแลนด์เคยเป็นผืนป่า ดังนั้น อุณหภูมิต้องอบอุ่นกว่าปัจจุบันพอสมควร และยังมีช่วงเวลาอื่นๆอีกด้วย ทำไมต้องกังวลด้วย ที่น่าเป็นห่วงก็ตรงความเร็วที่อุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลง ในอดีต อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2519 อุณหภูมิสูงขึ้นเร็วกว่าช่วงศตวรรษใดๆในรอบ 1,000 ปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศทางตอนเหนือของโลก เช่น แคนาดา หรือรัสเซีย อากาศที่อบอุ่นขึ้นอาจช่วยเพิ่มพืชผลทางการเกษตรมากขึ้นและประโยชน์อื่นๆ อะไรทำให้โลกร้อนขึ้น ไอพีซีซีสรุปว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกและปรากฏการณ์เรือนกระจก กว่า 25 สมาคมวิทยาศาสตร์และสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของกลุ่มประเทศจี 8 รับรองผลสรุปนี้ แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนยังไม่เห็นพ้องโดยแย้งว่าผลกระทบจากมนุษย์มีน้อยมาก ปรากฏการณ์เรือนกระจกคืออะไร ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ชาร์ลสันแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตันอธิบายว่า ปรากฏการณ์นี้ "มีอยู่ในตำราวิทยาศาสตร์มากว่าร้อยปีแล้วและได้รับการทดสอบอย่างถี่ถ้วน" ก๊าซจำพวกหนึ่งจะทำให้ชั้นบรรยากาศกักพลังงานความร้อนให้อยู่บนผิวโลก หากปราศจากปรากฏการณ์เรือนกระจก อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะอยู่ที่ -18 องศาเซลเซียส แทนที่จะเป็น 14.6 องศาซึ่งกำลังสบาย ก๊าซเรือนกระจกคืออะไร ก๊าซเรือนกระจกหลัก ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (ซีเอฟซี) และไอน้ำ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ ยกเว้นซีเอฟซีซึ่งเป็นสารทางการค้า การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เผาป่า และเผาไร่จะเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ เช่นเดียวกับบ่อขยะ โรงกลั่นน้ำมันและเหมืองถ่านหิน การกระทำของเรายังส่งผลกระทบต่อไอน้ำทางอ้อม เมื่อโลกร้อนขึ้น น้ำจะระเหยเป็นไอน้ำมากขึ้น ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นแค่ไหน "ตั้งแต่เริ่มยุคอุตสาหกรรม คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 35" กาวิน ชมิดท์ นักอุตุนิยมวิทยาแห่งสถาบันวิจัยอวกาศก็อดดาร์ดของนาซา กล่าว "มีเทนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า ไนตรัสออกไซด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 17" นักวิทยาศาสตร์เป็นห่วงเรื่องคาร์บอนไดออกไซด์เพราะเป็นก๊าซที่มีมากที่สุดซึ่งมีผลกระทบกับเราโดยตรง ขณะเราควบคุมการปล่อยสารซีเอฟซีและมีเทนได้แล้ว แต่ยังควบคุมก๊าซนี้ไม่ได้ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศยังคงสูงขึ้นประมาณร้อยละ 0.4 ต่อปีจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 ของพลังงานที่เราต้องการ คาร์บอนไดออกไซด์จะกระจายหายไปเองไหม "ก๊าซนี้ไม่หายไปเอง แต่จะอยู่ได้หลายร้อยปี" ชมิดท์แห่งนาซากล่าว แต่ละปีทั่วโลกปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 23.5 กิกาตัน (หนึ่งกิกาตันเท่ากับหนึ่งล้านล้านกิโลกรัม) โชคดีที่ปริมาณดังกล่าวจะยังคงอยู่ในบรรยากาศเพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือธรรมชาติจะดูดซับไป แหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ใหญ่ที่สุดคือมหาสมุทร ซึ่งจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อยออกมามากกว่าหนึ่งในสี่ทุกปี ขณะนี้ มหาสมุทรดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 50 เท่าของที่มีอยู่ในบรรยากาศและสิบเท่าของที่มีในสิ่งมีชีวิตบนบก แต่ยังไม่ชัดเจนว่ามหาสมุทรจะเก็บกักอย่างปลอดภัยได้มากกว่านี้เท่าไร เคน คาลไดรา นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศประจำสถาบันคาร์เนกีแห่งวอชิงตันในรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า คาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทรจะกลายเป็น กรดคาร์บอนิกซึ่งกัดกร่อนโครงร่างที่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนตของสัตว์ทะเล ป่าและพืชพรรณดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบหนึ่งในสี่ เมื่อพืชสังเคราะห์แสงก็จะสลายคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นออกซิเจนที่พืชคายออกมาและคาร์บอนที่พืชนำไปสร้างเซลล์ ศาสตราจารย์เดวิด เอลสเวิร์ตแห่งมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์นซิดนีย์ ออสเตรเลีย กำลังศึกษาว่าต้นไม้และพืชจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นโดยการปลูกต้นยูคาลิปตัสในห้องที่เพิ่มระดับคาร์บอนไดออกไซด์ให้สูงขึ้น นอกจากก๊าซเรือนกระจก มีปัจจัยอื่นอีกไหมที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลกและการเปลี่ยนแปลงการเอียงของแกนหมุนของโลกซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นแบบแผนเปลี่ยนแปลงการรับแสงอาทิตย์ของบริเวณต่างๆบนโลก และอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมยุคน้ำแข็งจึงเกิดเป็นช่วงๆ ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานที่มีความผันแปรเล็กน้อยด้วย เมื่อความเข้มของดวงอาทิตย์สูง จุดดับบนดวงอาทิตย์จะเพิ่มจำนวนขึ้นและดวงอาทิตย์สว่างขึ้น แต่นักวิจัยแห่งสถาบันแมกซ์พลังก์เพื่อการวิจัยระบบสุริยจักรวาลกล่าวว่าความผันแปรในความเข้มของดวงอาทิตย์ไม่ได้ทำให้อุณหภูมิช่วงที่ผ่านมานี้สูงขึ้น ในปี 2547 พวกเขาสังเกตพบว่าขณะอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ไม่ได้สว่างมากไปกว่าเดิมเลย อนุภาคขนาดเล็กที่ภูเขาไฟปล่อยออกมาและมลพิษจากอุตสาหกรรมสามารถสะท้อน พลังงานบางส่วนจากดวงอาทิตย์กลับออกไปสู่อวกาศทำให้อากาศเย็นลง ในปี 2534 ภูเขาไฟพินาทูโบในฟิลิปปินส์พ่นเถ้าออกมาสู่ชั้นบรรยากาศมากจนอุณหภูมิลดลงครึ่งองศาเซลเซียสเป็นเวลาสองปี ไอน้ำและเมฆมีบทบาทเช่นกัน แต่ยากจะคาดการณ์ผลกระทบได้ น้ำที่ระเหยจากมหาสมุทรที่อบอุ่นจะเกิดเป็นเมฆที่ทั้งสามารถเก็บกักความร้อนและสะท้อนความร้อนออกไปในอวกาศ "เมฆชั้นต่ำมีแนวโน้มจะทำให้โลกเย็นลง" ศาสตราจารย์ชาร์ลสันกล่าว "เมฆชั้นสูงจะทำให้โลกร้อนขึ้น" วงจรย้อนกลับส่งผลถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและยากจะคำนวณ เช่น เมื่อโลกร้อนขึ้น ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งในทะเลละลาย พื้นผิวโลกก็จะสะท้อนแสงออกไปอวกาศน้อยลง โลกจะร้อนขึ้น น้ำแข็งก็ละลายมากขึ้น โลกจึงยิ่งร้อนขึ้นไปอีก เป็นต้น (อ่านต่อข้างล่าง)
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-11-2013 เมื่อ 22:25 |
|
#9
|
||||
|
||||
|
รู้จริงกับภาวะโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นเชิงลึกอย่างไรในเรื่องการเ ปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (ต่อ) ......................................................................................... อะไรทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวการให้โลกร้อนขึ้น นักวิจัยหลายคนสรุปว่า ลำพังธรรมชาติไม่เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิสูงขึ้นตลอด 30 หรือ 40 ปีที่ผ่านมา บรูซ เบาเออร์ซึ่งศึกษาระบบภูมิอากาศโบราณที่ศูนย์ข้อมูลโบราณอุตุนิยมวิทยาโลกในโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด กล่าวว่า "หากจะหาสาเหตุ วิธีเดียวที่คุณจะคำนวณสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้คือต้องรวมผลกระทบจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเข้าไปด้วย" ทฤษฎีก๊าซเก็บกักความร้อนระบุว่าหากปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากขึ้น อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศระดับต่ำและที่ผิวโลกจะเพิ่มขึ้น โทมัส คาร์ล ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ สำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ กล่าวว่า "หลักฐานยังชี้ให้เห็นผลกระทบของมนุษย์ที่มีต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้น" ริชาร์ด ลินด์เซน ศาสตราจารย์ด้านอุตุนิยมวิทยาแห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่า "ผลกระทบ (จากการสร้างก๊าซเรือนกระจก) นั้นมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงตามปกติของสภาพอากาศ" ลินด์เซนเชื่อว่าการที่อุณหภมิสูงขึ้นตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมาเกิดจาก "ความผันแปรตามธรรมชาติ" เราสามารถคาดการณ์ได้ไหม "ตอนนี้ไม่ได้" เขายืนยัน แล้วในอนาคตเราจะคาดการณ์ได้ไหม "ยังไม่มีหลักฐานมากนัก" สเตฟาน ราห์มสตอฟ ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ของมหาสมุทรที่สถาบันพอตสดัมเพื่อการวิจัยผลกระทบของสภาพอากาศในเยอรมนีไม่เห็นด้วย ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ เดือนกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว ราห์มสตอฟชี้ให้เห็นว่า การคาดการณ์อุณหภูมิของไอพีซีซีสอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบัน ในปี 2533 ไอพีซีซีคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี 2549 อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นระหว่าง 0.15 ถึง 0.37 องศา ขณะอุณหภูมิที่เพิ่มจริงก็อยู่ในช่วงดังกล่าวคือ 0.33 องศา นักวิทยาศาสตร์มั่นใจในข้อสรุปของตนแค่ไหน เมื่อถามว่ามนุษย์ทำให้โลกร้อนขึ้นใช่ไหม คาร์ล วุนช์ ศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์กายภาพ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่า "จากที่ผมเห็นน่าจะใช่ แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีส่วนน้อยที่เกิดจากธรรมชาติ" หมายความว่าเราควรรอดูอย่างนั้นหรือ วุนช์ตอบว่าไม่เลย เขาเปรียบให้เห็นว่าเราซื้อประกันอัคคีภัยไม่ใช่เพราะเชื่อว่าบ้านจะไฟไหม้ แต่เพราะเป็นความเสี่ยงที่เราเลี่ยงได้ ในปี 2549 อดีตหัวหน้าเศรษฐกรของธนาคารโลก นิโคลาส สเทิร์น เขียนรายงานหนา 700 หน้าเสนอรัฐบาลอังกฤษ สรุปว่ายิ่งลงมือเร็วเท่าไรงานก็ยิ่งง่ายเท่านั้น ในอนาคตอุณหภูมิจะสูงแค่ไหน ตามความเห็นของไอพีซีซี เมื่อถึงปี 2643 อุณหภูมิเฉลี่ยอาจสูงขึ้นถึง 5.8 องศาเซลเซียส แต่รายงานของไอพีซีซียังเสนอว่า เราสามารถรักษาระดับอุณหภูมิที่สูงกว่าก่อนยุคอุตสาหกรรมสององศาซึ่งพอยอมรับได้ หากทุกปีเราลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงเกินกว่าร้อยละหนึ่งเพียงเล็กน้อยของระดับปัจจุบัน เมื่อถึงปี 2593 เราจะลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาลงได้ครึ่งหนึ่ง เราจะลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร การใช้พลังงานทางเลือกและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นแบบอย่างที่ดีจากการออกกฎหมายและให้แรงจูงใจทางการเงิน รัฐนี้คงระดับการใช้ไฟฟ้าต่อหัวได้เท่ากับเมื่อปี 2513 ขณะรัฐอื่นๆมีอัตราการใช้ต่อหัวสูงเกือบสองเท่า ปัจจุบัน การบุกรุกแผ้วถางป่าในเขตร้อนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกราวร้อยละ 20 จากที่เราปล่อยออกมา ปีเตอร์ ฟรัมฮอฟฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์และนโยบายของสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้ห่วงใยโลก กล่าวว่า "เราจะลดภาวะโลกร้อนไม่ได้หากไม่ลดการทำลายป่าด้วย" การอนุรักษ์ป่าเขตร้อนยังมีประโยชน์เป็นสองเท่าเพราะป่าดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มเมฆที่ช่วยให้ร่มเงา นักวิทยาศาสตร์อยากจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศเพื่อลดปริมาณคาร์บอน โอมาร์ ยากี ศาสตราจารย์ ด้านเคมีคิดค้นฟองน้ำคริสตัลที่มีรูขนาดนาโนและสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบสองเท่าของน้ำหนัก ถังที่บรรจุคริสตัลนี้สามารถเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าถังขนาดเท่ากันที่ไม่มีคริสตัลถึงเก้าเท่า ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งใช้ปล่องควันดักมลพิษ ยากีหวังว่าภาคอุตสาหกรรมจะนำฟองน้ำของเขาใช้ไปดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ยังดูดซับก๊าซนี้จากอากาศได้ด้วย "วัสดุที่เราทำขึ้นมีความเฉพาะเจาะจงต่อคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งสามารถดูดซับก๊าซจากบรรยากาศได้" การค้นพบนี้ได้รับการตีพิมพ์อย่างกว้างขวาง ล่าสุด ในวารสารวิทยาศาสตร์ เดือนเมษายน 2550 แม้บริษัทน้ำมันจะถูกกล่าวหาอยู่บ่อยๆว่าเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน บางบริษัทก็กำลังหาทางแก้ไข เมื่อปี 2548 บริษัทน้ำมันบีพีของอังกฤษร่วมกับโซนาทราชของแอลจีเรียและสแทตออยล์ของนอร์เวย์เริ่มฝังคาร์บอนไดออกไซด์ที่แหล่งน้ำมันอินซาลาห์ในแอลจีเรียแทนที่จะปล่อยออกสู่บรรยากาศ ในก๊าซธรรมชาติที่ขุดเจาะที่นั่นมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ด้วย ตามที่โรเบิร์ต ไวน์ โฆษกของบีพี กล่าว คาร์บอนไดออกไซด์ 17 ตันจะถูกฝังลึกลงไปใต้ดิน 1,800 เมตร เทียบได้กับการเลิกใช้รถยนต์ 250,000 คัน "หากคุณเชื่อว่าปัญหาหนึ่งต้องการการแก้ไข คุณจะต้องแสดงให้เห็น" ไวน์กล่าว วิทยาศาสตร์ของสภาพอากาศเป็น "วิทยาศาสตร์ซับซ้อนที่สุดแขนงหนึ่ง" วุนช์กล่าว แม้เราจะไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 100 ปีข้างหน้า แต่ "มีความเสี่ยงที่จะเป็นไปได้ ผมคิดว่าการไม่ทำอะไรเลยนั้นช่างไร้สติสิ้นดี" ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.readersdigestthailand.co....B8%AD%E0%B8%99
__________________
Saaychol |
![]() |
|
|